เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Part of memory --Love--littlemm
Part 2 : The message I haven't sent it
  • หลายปีผ่านไป

    ฉันเติบโตขึ้น เธอเองก็เช่นกัน แล้วก็เข้าสู่วัยทำงาน ฉันเริ่มเปิดใจกับอะไรมากมาย และใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ยุ่งกับงานจนหัวหมุน เช้าทำงาน เย็นกลับบ้าน ถ้าช่วงไหนไม่มีเคลียงานจนแทบไม่ได้นอน ฉันก็คงล้มตัวลงบนที่นอนและหลับไป จนถึงเช้าอีกวัน วนเข้าสู่การทำงานอีกครั้ง ฉันเป็นแบบนั้นเรื่อยๆ 

    จนวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่กระตุ้นความรู้สึกของฉันอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เป็นข่าวลือ แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในวันนั้นเองทำให้ฉันได้รู้ตัวเองจากข้อความที่ค้างเอาไว้ 

    ตัวฉันที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ และกำลังจะตรงกลับบ้าน ในมือฉันจับโทรศัพท์ไว้อยู่ กำลังจะเช็คข่าวสาร แต่แล้วสิ่งที่เห็นคือ หน้าจอโทรศัพท์คาหน้าแชทของใครคนหนึ่งทิ้งไว้ เพื่อย้ำเตือนความจำของฉันที่พึ่งจะเกิดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา และยิ่งชัดเจนเมื่อได้เห็นข้อความที่พิมพ์ทิ้งไว้

    'ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฉันได้เก็บความรู้สึกไว้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฉันเริ่มรู้สึกดีๆกับพี่ ฉันไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้บอกพี่ไหม แต่ฉันขอโทษที่เคยโกหกพี่ และพูดกับพี่ไปแบบนั้น ฉันขอโทษที่เคยทำร้ายจิตใจพี่ ฉันรู้ว่าพี่คงรับรู้อยู่แล้วว่าฉันรู้สึกยังไง ยิ้มเข้าไว้นะแม้ในวันที่แย่ก็ตาม'    

    คุณเชื่อในพลังความกล้าในช่วงที่ชีวิตเรากำลังเผชิญความกลัวไหม?  แน่นอนว่าคงมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ธรรมดาทั่วไปแล้ว คนเรามักพูดความจริงหรือสิ่งที่คิดได้อย่างกล้าหาญในตอนที่เราไร้สติ หรือเมานั่นเอง และนอกจากตอนเมาแล้ว คนเราจะแสดงทุกอย่างที่ปิดไว้ออกมาหมดก็คงเป็นในช่วงที่ไม่ว่าตัวเองจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไหม หรือ ไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้อีกไหม 

    จนกระทั่งวินาทีนี้ เมื่อสายตาฉันกวาดอ่านข้อความที่ตัวเองพิมพ์ไว้แต่ไม่ได้ส่งจนจบ และตอนนั้นเองที่รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ฉันกลับเลือกที่จะลบข้อความนั้นทิ้ง 

    แต่ฉันก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ได้กระตุ้นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจฉันและทำให้รู้ตัวเองว่า เธอคนนั้นเป็นเหมือนรักแรกของฉัน และยังคงเป็นเสมอมา ไม่เคยหายไปไหน 

    ที่ผ่านมาการโกหกตัวเอง เป็นสิ่งที่ฉันคอยพร่ำบอกผู้อื่นเสมอ แต่ฉันกลับทำมันเองโดยไม่รู้ตัวมาโดยตลอด 

    เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ไหลเข้ามาในหัว ความทรงจำฉายย้อนเหมือนกับการฉายหนังทีละฉาก ฉากที่ฉันเคยบอกเธอหลายต่อหลายครั้งว่า ฉันไม่ชอบเธอ และมันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตัวฉันนั่นเองโกหกตัวเองมาโดยตลอด 

    ถ้าหากเราไม่เมา ถ้าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ร้ายแรง เป็นเพียงแค่วันธรรมดาๆ เหตุการณ์ธรรมดาๆทั่วไป เราจะกล้าพูดในสิ่งที่คิดไหมนะ ทั้งที่จริงๆแล้วลองมานั่งคิดดู เราก็ไม่มีทางได้รู้ถึงคำตอบใดๆได้เลย ถ้าหากเราไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านั้น เราจะมีความกล้าขึ้นได้ไหมนะ

  • รู้ตัวเอง ปล่อยผ่าน

    1 ปีผ่านไป

    วันเวลาล่วงเลยผ่านไป มีสิ่งเดียวที่ยังอยู่คือ ความลับของฉัน มันคือความในใจ สิ่งที่คิดมาโดยตลอด ที่ยังไม่เคยปรากฏออกมา ฉันคิดว่าฉันจะบอกมันออกไปตอนไหนก็ได้ หรืออาจจะเจอกันในตอนไหนก็ได้ที่พร้อม 

    แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เหตุการณ์ Covid 19 เริ่มต้นขึ้น 

    อย่าว่าแต่เดินทางข้ามประเทศเลย ในจังหวัดจะไปไหนก็ยังจำกัดเขตและเฝ้าระวังกันทั้งนั้น

    ข่าวทุกช่องต่างรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดทั้งในประเทศและรวมถึงต่างประเทศทั่วโลก แต่ละประเทศมีแต่ยอดคนติดเชื้อที่สูงลิ่วไม่แพ้กัน 

    สื่อข่าวทุกช่องรวมถึงรายการต่างๆ พูดถึงแต่เรื่องโรคระบาดนี้ ต่อให้คุณหนีจากหน้าจอทีวี แล้วเลือกที่จะใช้เวลากับหน้าจอโทรศัพท์ เพียงแค่เข้าโซเชียลก็จะเจอข่าวนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นใครคงหนีไม่พ้นข่าวนี้ กลายเป็นว่าทุกๆวันต้องคอยเช็คยอดผ่านโซเชียล 

    การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป จากที่เคยเดินทางไปไหน ก็ไม่ได้ไป ออกไปไหนสิ่งที่ต้องพกประจำคือแอลกอฮอล์ และ หน้ากากอนามัยที่ต้องสวมไว้ตลอด 

    แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือ ตัวฉันซึ่งยังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป แม้สถานการณ์จะดีหรือแย่แค่ไหนก็ตาม 

    นิ้วมือของฉันรัวอยู่ที่แป้นพิมพ์ สีหน้าที่เคร่งเครียดของฉัน กำลังมองหน้าจอตามไปด้วย เป็นการบ่งบอกได้ถึงความเร่งรีบของตัวฉันและงานของฉัน

    เพื่อที่จะ ลาออก จากงานได้โดยไม่มีอะไรค้างคา ฉันจึงต้องปั่นงานทุกอย่างให้เสร็จในช่วงสัปดาห์นี้ แม้จะยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะนั่นคือสิ่งที่ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันได้คำนวนถึงความเสี่ยงต่างๆแล้ว แต่ผลที่ออกมามันดีกว่าการอยู่ต่อ 

    ในขณะที่ฉันกำลังยุ่งกับการปั่นงานและหน้าจอโน๊ตบุ๊ค ตอนนั้นเองเสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้น ฉันเหลือบมองที่โทรศัพท์ของฉัน แค่พอให้รู้ว่าข้อความนั้นมาจากเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักและมองค้างอยู่แบบนั้น 

    ‘คุณมีข้อความใหม่’ 

    ฉันละมือข้างหนึ่งของฉันออกจากแป้นพิมพ์แล้วไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที เพราะนั่นคือข้อความจากเธอ 

    แต่ฉันยังไม่ทันได้กดอ่าน โทรศัพท์ฉันยังแจ้งเตือนข่าวหนึ่งขึ้นมา 

    'ยอดโควิดประเทศ...' และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันจึงกดไปเช็คเฉพาะจังหวัดที่ฉันอยากรู้ 

    "อืม.. ยอดสูงใช่เล่นเลย" ฉันพูดกับตัวเองในขณะที่สายตากำลังอ่านข่าว 

    แล้วสุดท้ายฉันก็หนีไม่พ้นความรู้สึกตัวเอง ทั้งๆที่ปล่อยมาอีก เป็นปีแล้วแท้ๆ ฉันก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง เธอจะสบายดีไหม 

    ฉันกดไปที่แอพพลิเคชั่นสีเขียวอ่อนที่คุ้นเคย ที่เรามักจะใช้ติดต่อกัน หน้าจอปรากฏหน้าต่างสนทนาที่คุ้นเคย ทั้งจากเพื่อนที่คอยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง รวมถึง เธอคนนั้น ข้อความล่าสุดที่แสนจะคุ้นเคย ยังคงค้างอยู่แบบนั้นไม่เคยหายไปไหน บทสนทนาเดียวที่ฉันไม่เคยลบประวัติเลย คือเธอ 

    นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันยังไม่ได้ตอบข้อความเธอเลย จากหนึ่งวัน กลายเป็นสองวัน จากสองวันกลายเป็นสัปดาห์ แล้วฉันก็ปล่อยให้มันล่วงเลยมาเป็นครึ่งปีได้ 'อีกแล้ว' ที่ฉันทำแบบนี้กับเธออีกแล้ว ฉันได้แค่บอกตัวเองว่า เธอไม่เป็นไร ฉันก็แค่คนคนหนึ่งที่ยุ่ง เธอเองก็เช่นกัน เราอาจจะห่างหายแล้วลืมกันในวันหนึ่งก็ได้ ด้วยความคิดนั้น ฉันเลยไม่ได้ตอบข้อความเธอกลับ

    จนวันนี้เธอทักมาหาอีกครั้ง

    ฉันตัดสินใจจะตอบข้อความอีกครั้ง นิ้วของฉันกดไปที่แป้นพิมพ์บนหน้าจอโทรศัพท์ ร่ายเรียงความรู้สึก โดยเลือกที่จะพูดขอโทษก่อนเพราะไม่ได้ตอบข้อความมานานเกินไป

    'ขอโทษหรอ' ฉันคิดในใจ ทำไมทุกๆครั้งที่ฉันพิมพ์ตอบเธอไปจะต้องเริ่มต้นด้วยขอโทษทุกครั้งเลย 

    ฉันพิมพ์ข้อความต่อ เป็นการถามไถ่ว่า เธอเป็นยังไงบ้างในช่วงสถานการณ์แบบนี้ เมื่อข้อความถูกพิมพ์เสร็จ ในขณะที่ฉันกำลังจะเลือกกดส่ง แต่นิ้วของฉันก็เลือกที่จะไปกดตรงคำว่า ลบข้อความทิ้ง 

    ฉันพิมพ์ใหม่อีกครั้ง โดยคิดว่าจะเลือกคำที่ดีกว่านี้ รู้ตัวอีกทีฉันก็ทำแบบนั้นอยู่สองสามรอบ อย่างกับเด็กที่นั่งเด็ดกลีบดอกไม้ แล้วมานั่งดูว่าคำตอบสุดท้ายจะออกมาเป็นอะไร 

    แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่ตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี ฉันคาข้อความไว้แบบนั้น ใจฉันบอกให้กดส่ง แต่สมองของฉันมันสั่งการให้ร่างกายฉันวางโทรศัพท์ไว้แบบเดิมอยู่แบบนั้น และปล่อยมันไป

    ฉันกลับเลือกทำตามที่สมองสั่ง คือปล่อยมันไป 

    ‘พี่คะ ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ตอบข้อความเลย อย่างที่พี่รู้ สายงานของฉันมักจะยุ่งตลอด หวังว่าพี่จะเข้าใจนะคะ'

    ‘ฉันสบายดีนะคะพี่... แล้วสบายดีไหม ฉันหวังว่าครอบครัวและพี่จะสบายดีนะคะ สถานการณ์ทางนั้นดูไม่ดีเลย ไม่กระทบอะไรกับงานพี่ใช่ไหมคะ อย่าเครียดจนเกินไปนะคะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ’

    ข้อความถูกพิมพ์ค้างไว้แบบนั้น โดยที่ไม่ถูกกดส่งออกไป และไม่มีใครรู้ว่าถ้ากลับมาเปิดมันอีกครั้ง ข้อความนี้จะยังอยู่ไหม หรืออาจจะหายไปตลอดกาล

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in