คืองี้...เราเป็นคนชอบผจญภัยมากๆเลยเว้ยเราเชื่อว่าสิ่งหนึ่งของการผจญภัย แม่งต้องมีความลำบากผสมอยู่ด้วยการผจญภัยจึงจะสมบูรณ์นะ
ครั้งนี้เราเลือกรถไฟยอมรับเลยก็ได้ ผมเป็นพวกอยากเที่ยวแต่ไม่มีกำลังทรัพย์ รถไฟจึงตอบโจทย์เพราะตอนช่วงนั้นรัฐบาล มีนโยบายใจดีให้นั่งรถไฟฟรีเราจึงไม่รอช้าที่จะใช้บริการเลยจริงๆนะ ด้วยความต้องการเที่ยวประกอบกับสถานีวิทยุอินดีแห่งหนึ่งเขากำลังจะจัดคอนเสริต์ที่กรุงเทพจึงเตรียมตัวจัดซื้อตั๋วคอนเสริต์จากเชียงใหม่ เย็นวันรุ่งขึ้นจึงออกเดินทาง
ที่พักนะเหรอ?ก็ติดต่อญาติไว้แล้ว แต่อยากลองนอนที่หัวลำโพงสักคืน เผื่อจะมีเรื่องให้เล่าบ้างแล้วมันก็มีเรื่องให้เราเล่าจริงๆหน่ะแหละ
เริ่มออกหอมาก็ประมาณตีห้าระหว่างก็ซื้อบะหมี่ที่ประตูช้างเผือกมาสองห่อมากันหิว(เจ้านี้เปิดเที่ยงคืนถึงเช้าอ่ะนะ)มาถึงสถานีรถไฟ ประมาณเกือบๆหกโมงเช้า เอารถไปฝากที่ตรงหวังเซเว่นฝั่งตรงข้ามสถานีซึ่งอัตราบริการนั่นสุดแสนจะถูก วันละสิบบาท
รับตั๋วรถไฟแล้วหาที่กินบะหมี่ ก็ได้ทำเลดีตรงข้างๆ รางรถไฟ นั่งปุ๊บแกะห่อบะหมี่โซ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยเชียวครับคุณผู้อ่านทุกท่านจนมีเสียงกระซิบจากที่ไหนไม่รู้ “ขอกินหน่อยด้ายหม้ายยยยย?” ผมหันขวับคิดในใจกูโดนอีกแล้วหรอเนี้ย หา..... แต่ก็โล่งอกเมื่อเสียงนั้นเป็นพี่สาวแต่งตัวฮิปปี้เซอร์ๆหน่อย เราให้เธอไปอย่างไม่ลังเลอะไรเลยคิดเพียงอย่างเดียวว่า หากบะหมี่ห่อนี้จะต่อชีวิตคนๆหนึ่งได้ เราก็ยินดีนะแต่ยี่สิบบาทครับ ล้อเล่นนะๆ ให้พี่เขาไปฟรีๆเนี้ย (ดูเป็นพระเอ๊ก...พระเอกเนาะ)
เมื่อถึงเวลาขึ้นรถก็กุรีกุจอขึ้นรถไปหาที่นั่งอย่างชำนาญ นั่งได้ก็หลับสิครับ....
(เรื่องระหว่างนี้...ก็กึ่งหลับกึ่งตื่นจนสุดเส้นทางอ่ะครับ ตามตั๋วรถไฟบอกว่าจะถึงที่หมาย สามทุ่มกว่าๆเชื่อได้ไหมนะรถไฟขบวนนี้)
ภาพตัดไปถึงกรุงเทพเลยนะ
เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้ครับเมื่อผมหลับเต็มอิ่มจากบนรถไฟ ถึงหัวลำโพงตรงเวลาครับ
ตามที่คิดไว้นะจะเดินไปเที่ยวเยาวราช แล้วกลับนอนที่หัวลำโพงแห่งนี้
ก็ทำตามแผนครับ คือเดินไปเยาวราชนะ เข้าตรอกนั้น ออกซอยนี้ ไปเรื่อยๆ ถามว่ารู้ทางหรอ ไม่นะผลสุดท้ายคือหลงสิครับ ถอดใจจึงเดินกลับไปหัวลำโพง แต่กลับถูกแหะ เก่งป่ะล่ะ
จากประสบการณ์ตรงเลยนะเราเคยนอนด้านข้างเราโดนไถ่เงินเว้ย ไม่ใช่สิเรื่องว่าค่าคุ้มครอง ค่าสถานที่ ค่า...ไรก็ช่างเถอะ เราเคยโดนแล้วเป็นอันจบแล้วกันครั้งนี้จึงเลือกมานอนด้านหน้าในขณะที่เรากำลังจะนอนเว้ย มีคนรูปร่างสมส่วนสูงประมาณร้อยหกสิบอ่ะนะหน้าเหลี่ยม ใส่แว่น อายุประมาณสี่สิบ สี่ห้า เดาๆนะ มองมาที่เรา แบบเราก็ระแวงไงไม่ยอมไปไหนสักที เราจึงทำใจดีสู้เสือเว้ย ลุกขึ้นนั่งอ่านหนังสือคิดในใจถ้ามึงจะอยู่ถึงเช้า มากูอยู่เป็นเพื่อนเอง ไม่นอนแล้ว
ในขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบๆเสียงที่คล้ายๆว่าจะเป็นมิตรก็มา “มาคนเดียวหรอน้อง”ถามอย่างกะเห็นใครมากับเราอย่างงั้นก็คิดในใจ ถ้าเราตะโกนโหวกเหวกคงไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก จึงคุยๆไปแต่พี่เขาไม่คุยเฉยเนี้ยสิ มือไม้มาลูบไล้ จับแขนจับขาเราเว้ย ดีนะที่เราปิดส่วนที่หวงแหนของเราไว้อย่างรู้ทัน(ไม่ได้แอ้มกูหรอกพี่เอ้ย) คุยไปคุยมา ก็บอกว่า “เนี้ยจริงๆแล้วเราไม่ได้หล่อหรอกนะ”ครับ ผมรู้ตัว “แต่...”นั่นไง แต่แล้วเว้ย “เราน่ารัก ไปนอนหอพี่ไหมที่นี้มันอันตรายนะ ขี้เหล้า ขี้ยา นักเลง มันเยอะ”ไปกับพี่แม่งน่ากลัวกว่าเว้ยอันนี้เราคิดนะ ไม่ได้บอกพี่เขาหรอกต้องรักษาลุคน่ารักไว้ก่อน ไหนๆเขาก็คิดว่างั้นแล้ว ไม่อยากทำลายความฝันของพี่ คะยั้นคะยออยู่นานจนพี่เขาท้อใจหรืออย่างไรเนี้ยแหละ จึงกลับไป อีกไม่ถึงสิบนาทีเว้ย
มีพี่อีกคนมาอีกคุยกันอยู่ประมาณห้านาที ก็ไป
อีกไม่นานก็มีกลุ่มวัยรุ่นมาอย่างกะนัดกันอ่ะคุณผู้อ่าน หกเจ็ดคนได้เราจึงไม่รีรอที่จะเก็บของใส่กระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปเซเว่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อยู่ที่นั้นประมาณตีสามตีสี่จึงกลับมาอยู่ด้านข้างของหัวลำโพงท่ามกลางฝูงชนผู้คนมากมาย มีแววความปลอดภัยอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
แต่เหตุการณ์สงบอยู่ได้ไม่ได้เมื่อมีเสียงโวยวายจากที่ไกลๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in