เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DUOLOGUEnninewnn
FROM 10 to 29



  •  




    10.


                ตอนพัค จีฮุนอายุสิบขวบ, เขาได้เจอกับสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายของชีวิต มันแฝงตัวมาในรูปเด็กข้างบ้านแคระเกร็น ก้มมองพื้นอย่างกับคอยเฝ้ามองหาเหรียญอยู่ตลอดเวลา คิ้วขมวดมุ่นอย่างกับโบว์ผูกของขวัญ


                “แพ จินยอง – น้องชื่อแพ จินยอง” แม่แนะนำกับเขาอย่างนั้น


                ตอนนั้นเขาหน้าตาบูดบึ้งเล็กน้อย รังสีความน่าเบื่อแผ่ออกมาจากเด็กคนนั้นทั้งที่เขาอุตส่าห์ตื่นเต้น ละแวกนี้มีเด็กวัยไล่เลี่ยกับเขาอยู่บ้างแต่ล้วนเป็นผู้หญิง เพราะงั้นเขาเลยคาดหวังนิดหน่อย แต่เด็กนี่, มองก็รู้ว่ายังไงก็เล่นด้วยไม่สนุก 


                “พาน้องไปเล่นสิจีฮุน”


    ลูกชายคนเดียวที่โดนแม่เลี้ยงมาแบบเข้มงวด ถึงจะไม่ชอบแค่ไหนก็ตัดสินใจทำตามที่แม่สั่งอยู่ดี นั่นแหละ เขาเลยเดินพาเด็กสกุลแพเดินออกมาที่สนามเด็กเล่นแทน


    “อยากเล่นอะไร” เอ่ยถามคนเด็กกว่า “ถ้าไม่เล่นพี่จะได้ไปหาเพื่อน”


    “แต่แม่บอกให้พี่เล่นกับหนูนะ”


    คำว่าหนูนั่นทำให้คิ้วกระตุกไม่ยาก แทนตัวอย่างอย่างกับเด็กผู้หญิง พอคิดแบบนั้นเลยอดเอ่ยปากล้อไม่ได้


    “หนูอะไรแทนตัวเองแบบนั้นทำไม เป็นตุ๊ดปะเนี่ย” เด็กนั่นกำมือแน่น จีฮุนเลยยิ่งได้ใจก้มลงไปล้อเลียนต่ออย่างห้ามไม่ได้ “ไหน น้องหนู เงยหน้าหนะ—!”


    พลั่ก!


                คนอายุมากกว่าที่ได้ใจอยู่แค่เสี้ยววินาทีล้มตึงลงกับพื้น เมื่อเด็กก้มหาเหรียญคนนั้นเหวี่ยงกำปั้นออกมาอย่างแรง ฟาดเข้าเต็มๆ ใบหน้าของจีฮุนอย่างแรง


                “น้องหนูอะไรเล่าไอ้ปากหมา!”


                พัค จีฮุนได้รู้ในวินาทีนั้นว่าคนเราตัดสินกันจากภายนอกไม่ได้ เด็กก้มหาเหรียญคนนั้นแรงเยอะฉิบหาย!




     

    14.


                พี่มึงงง สอนเลขให้หนูหน่อย”


                “ถ้าเรียกแบบนั้นอีกพี่จะบอกแม่เราจริงๆแล้วนะ”


                “ทำไมอ่ะ พึ่มึงๆๆ”ไม่สำนึกแล้วยังจะล้อเลียนกันอีก


                พี่มึงคนนั้นถอนหายใจ จินยองเด็กก้มหาเหรียญที่รู้จักกันตั้งแต่แรกมลายหายไปตั้งแต่ต่อยเขานั่นแหละ มีเหลือแต่ความเป็นตัวปัญหา เพราะอยู่ข้างบ้านกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน โชคดีอยู่บ้างที่ช่วงหลังๆ มานี่จีฮุนเริ่มเรียนพิเศษทำให้เขาได้แยกกันกับเจ้าตัวปัญหานี่บ้าง แต่จินยองก็ยังมาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเขาบ่อยๆ เวลาเขาได้วันหยุด เอาศิลปะมาให้ทำให้บ้างเอาคณิตมาให้สอนบ้าง ปั่นทอนช่วงเวลาที่เขาควรจะได้เล่นเกมสบายๆ ไปเสียเยอะ


                เขาได้ยินเสียงเด็กข้างบ้านบ่นตะแง้วๆ อยู่ข้างหูตลอดเวลาที่เล่นเกม จนบนจอขึ้นคำว่า YOU WIN เขาเลยตัดสินใจโยนมันไว้ข้าง หันไปถามอีกฝ่ายแทน 

                

                “ไหน เอามาให้ดูดิ”

                

                เด็กนั่นเท้าคางมองเขาที่ค่อยๆ สอนคณิตศาสตร์ที่เคยเรียนเมื่อปีที่แล้วอย่างตั้งอกตั้งใจ ซะที่ไหนล่ะ เขาไม่เห็นจินยองจะสนใจเลขกับตัวแปรที่เขาเขียนๆ อยู่เลย เด็กนั่นเอาแต่จ้องหน้าเขาเสียจนเขาเอาสันมือไปฟาดหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ


                “ฟัง ไม่งั้นพี่ไม่สอนเราแล้วนะ หน้าพี่ไม่มีคำตอบ”


    ใบหน้าเล็กง้ำงอ “ก็อยากมองหน้าพี่มึงอ่ะ ไม่ได้เหรอ”


    เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะ แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนมันจะกลับมาเป็นปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    จีฮุนถอนหายใจ “มานี่ ไม่เข้าใจตั้งแต่ตรงไหน สอบไม่ได้พี่ไม่รู้แล้วนะ” ก่อนจะเริ่มอธิบายใหม่ตั้งแต่ต้น


    แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าแววตาใสแป๋วนั่นยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของตัวเองเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด




     

    17.

    เขาเริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กข้างบ้านตอนที่ตัวเองอายุสิบเจ็ด – มัธยมปลายปีสอง ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังก้าวขึ้นมาเป็นเด็กม.ปลายเต็มตัว เขาเพิ่งสังเกตว่าเขาได้ยินชื่อของแพ จินยองบ่อยขึ้นจากเพื่อนผู้หญิงในห้องตัวเองที่บอกว่าน้องทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก หรืออาจจะเป็นเพื่อนผู้ชายที่พูดถึงฝีมือการเล่นบอลของเจ้าเด็กนั่น


    แหงล่ะจีฮุนดีใจที่จินยองเล่นกีฬาบ้าง จะได้เลิกเอาแรงมาลงกับตัวเขาสักที เด็กนั่นควรรู้วิธีจัดการเรี่ยวแรงมหาศาลของตัวเองบ้าง เขาเองไม่ได้เดินกลับบ้านพร้อมๆ กับเด็กคนนั้นอีกแล้ว เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในทีมวิชาการของโรงเรียน มีเรื่องให้หัวหมุนไม่เว้นแต่ละวัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวันหยุดเราจะไม่ได้ไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านอีกคน


    “พี่มึง” และเขาก็ยังคงได้รับฉายาพี่มึงไม่เสื่อมคลาย “หนูปวดขาอ่ะ”


    “ไปทำอะไรมา”


    “วันก่อนโดนทำโทษวิ่งรอบโรงเรียนเพิ่มตั้งสี่สิบรอบ”


    “สมน้ำหน้า”  พอเขาพูดแบบนั้น จินยองก็เบ้หน้ายื่นขาออกมาพันต้นขาของเขาอย่างไม่ยอมแพ้


    “เนี่ยหนูปวดขาๆๆ” เขาเลิกคิ้วแทนคำถามว่าแล้วจะให้ทำยังไง เด็กนั่นก็ยิ้มเผล่ “นวดขาให้หน่อย”


    “จะบ้าเหรอ” เขาโวยวายบ้าง แต่เจ้าตัวปัญหาก็ไม่ยอมแพ้ จินยองแทบจะเอาเท้ามาเกยคอเขาอยู่แล้วจนเขาต้องดึงมันลง สุดท้ายเด็กนั่นก็หัวเราะคิกคักอย่างพอออกพอใจเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ


    เขาลอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายเวลาหัวเราะเสียจนเห็นฟันสีขาวเรียงตัวสวย ตาหยี หรือตอนที่เห็นรอยย่นบนจมูก ยิ่งช่วงหลังๆส่วนสูงของอีกฝ่ายก็ยืดขึ้น บุคลิกก็ดีขึ้น เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าแพจินยองค่อนข้างจะน่ามอง


    ใช่,เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้ง เวลาเหลือแค่เราสองคน เขาก็แค่มองแพ จินยองทำนั่นทำนี่เวลาที่อีกฝ่ายไม่เห็น แต่พออีกฝ่ายหันมา เขาก็แค่แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    เหมือนกับที่ผ่านๆมานั่นแหละ




     

    20.


    “จะเข้าที่นี่เหรอ”


    เขาเคาะลงบนกระดาษชื่อมหาวิทยาลัยในแห่งหนึ่งเด่นหราอยู่บนนั้น เขาไม่ได้แปลกใจที่เจ้าเด็กข้างบ้านให้ความสนใจกับมหาวิทยาลัย เด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายทุกคนทำ ตอนปีที่แล้วเขาก็ทำ


    จีฮุนแค่นึกสงสัย – ทำไมเป็นมหาวิทยาลัยที่ไกลขนาดนั้น เขาเข้าศึกษาต่อที่ใกล้บ้าน โชคดีที่ด้านมหาวิทยาลัยนั้นมีวิศวกรรมศาสตร์ที่เขาให้การสนใจตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น เพราะงั้นเขาเลยได้อยู่บ้านเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่ที่หอพักเหมือนใครเขา นั่นเป็นข้อดีเหลือแสน


    “อื้อ มองๆ อยู่”


    “ตั้งไกล” คนอายุมากกว่าเอ่ยปาก “มองแล้วเหรอว่าจะเข้าคณะอะไร”


    “มองแล้ว” และเขาโคตรแปลกใจที่เด็กคนนั้นตอบกลับมาทันควัน “คงจะเป็นนิเทศฯ มั้ง”


    “นิเทศศาสตร์?” จีฮุนทวนคำ “เอกไหนล่ะ มันมีตั้ง


    “มองเอกโฆษณาไว้”


    พัคจีฮุนกลืนน้ำลาย ตอนแรกเขาเกือบจะเอ่ยปรามาสอีกฝ่ายว่าคิดดีแล้วเหรอ ศึกษาดีแล้วหรือยัง  แต่ยิ่งจินยองตอบคำตอบทุกอย่างของเขาชัดถ้อยชัดคำแบบนั้นเขายิ่งไร้คำพูด


    เขาไม่เคยสังเกตว่าเด็กมากปัญหาคนนั้นโตขึ้นขนาดนั้น คงเพราะเราไม่ได้อยู่ในสังคมใกล้ๆ กันเหมือนตอนอยู่โรงเรียนอีกแล้ว เขาถึงไม่รู้ตัวว่าหนังสือบนโต๊ะของจินยองถูกแทนที่ด้วยหนังสือเรียนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคิดถึงเรื่องอนาคตของตัวเองมากขึ้นขนาดไหน


    กำลังจะโตขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน?

              

                 “จริงๆ นิเทศฯ ที่ม. พี่ก็มี”

                

                “ตลกละพี่มึง ที่นู่นมันดัง ถ้าไปได้ใครก็ต้องอยากไปปะวะ”

                

                เขาสิ้นคำพูดไม่รู้จะพูดอะไรต่อในเมื่อความคิดที่เขาอยากพูดออกมามันหนักเกินกว่าจะหลุดออกจากปากตัวเอง “แล้วไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ”

                

                “มันคนละเรื่องเถอะเอาจริง” จินยองขมวดคิ้วมุ่น “เอาให้หนูสอบให้ติดก่อนได้ไหม จะรีบถามอะไรเยอะแยะ”


                “เปล่า พี่แค่อา” หัวเขาตื้อไปหมด ให้ตายคะแนนสอบที่สูงลิ่วนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย “ไม่รู้สิ คิดว่าคุณน้าคงเป็นห่วง”


                คนอายุน้อยกว่ามองตาเขาตรงๆมองลึกลงไปเหมือนจะคว้านหาสิ่งที่เขาหลบซ่อนตลอดมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันไม่ยอมคลายออก ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ก่อนที่จะเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ


                “อยากจะพูดอะไรรึเปล่า พัค จีฮุน”


                เรียกชื่อเขาไม่ใช่คำที่เขาเคยชินอย่างพี่มึง แต่นั่นก็ไม่ได้มากพอเขาทำได้เพียงกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เอ่ยกลับเสียงแผ่ว


                “ไม่มีอะไร”


                แกล้งมองไม่เห็นความผิดหวังที่ปิดไม่มิดในแววตาของอีกฝ่าย




                

    23.


                แพ จินยองทำได้จริงๆ เราถึงได้ห่างกันแบบนี้


                เขากำลังจะจบชั้นมหาวิทยาลัย ช่วงนี้กำลังฝึกงานบริษัทที่อาจารย์ยื่นคำแนะนำให้เป็นบริษัทที่โดดเด่นด้านการผลิตเครื่องยนต์ห่างไกลมหาวิทยาลัยของเขาเพราะฉะนั้นเขาเลยต้องมองหาหอพัก


                บังเอิญเหลือเกินที่มันไม่ไกลจากที่พักของแพจินยองเท่าไหร่


                วันนี้เขาเลยนัดเด็กนั่นมาให้ช่วยเหลือจินยองไม่ได้อิดออดไปมากกว่าการบ่นให้เขาฟังผ่านปลายสายว่า หนีพี่มึงมานี่ยังต้องมาเจออีกเหรอ ไปฝึกงานที่อื่นไป๊ ส่วนเขาทำได้เพียงหัวเราะกลับไป ทั้งที่เขามาวนเวียนแถวนี้แค่ช่วงฝึกงานไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง


                ยอมรับว่ารู้สึกประหม่าแบบบอกไม่ถูกตอนที่คิดว่าจะได้เจอเด็กคนนั้น เราคุยกันบ้างตามเทศกาลที่ต่างฝ่ายต่างส่งข้อความอวยพรหากันหรือเวลาจินยองกลับบ้านมา แต่เราโตเกินกว่าจะมาขลุกตัวอยู่ด้วยกันทั้งวันแล้วเดี๋ยวนี้ถ้าจินยองกลับมา อย่างมากก็กินข้าวกันสักมื้อตอนเย็นช่วงที่แม่เขาชวนบ้านอีกฝ่ายมาเท่านั้น


                เขาสั่นเท้าขบคิดหลายเรื่องกับเด็กคนนั้น ตัววุ่นวายในชีวิตของเขา ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากด้านหลัง


                “พี่มึง!”


                จีฮุนกำลังจะหันไปด่าว่า ยังไม่เลิกเรียกกันแบบนี้อีกเหรอ อยู่แล้วแต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็มีคนวิ่งมากอดเขาอย่างแรงเสียจนเขาเซแทบล้มเขาเลยเปลี่ยนคำด่าแทน


    “ไอ้เด็กเวรเอ๊ย ตัวเล็กมากมั้ง”


                จินยองผละกายจากเขายิ้มเผล่แบบเด็กน้อยเฉกเช่นเดียวกับที่ได้เห็นประจำ ก้อนเนื้อในอกเขาเต้นร่ำเหมือนกับครั้งแรกๆ ทั้งที่คิดว่าทุกอย่างเจือจางลงไปมากแล้ว เขาจะโทษที่จินยองดีใจเหมือนกับเด็กๆ ทั้งที่ปากด่าเขาแทบเป็นแทบตาย หัวใจของเขายิ่งกว่าสูบลมให้พองโต


                 ก่อนที่จะโดนเจาะลมออกมาในเสี้ยววินาที


                “จินยอง” พัค จีฮุนมองคนที่เรียกชื่อความวุ่นวายของเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เขาไม่เคยเห็นหน้าเดินเข้ามาโอบไหล่อีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยปราม “เสียงดังโวยวายเลยนะเราน่ะ ไม่เอาสิ”


                เขาขมวดคิ้วมุ่น เด็กคนนั้นบ่นงุบงิบอะไรสักอย่าง ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของหางตาชี้ขึ้นเหมือนหางจิ้งจอกนั่นเคาะหน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา มองจากนอกโลกก็รู้ว่าทะนุถนอมแพ จินยองมากแค่ไหน


                “พี่มึง นี่พี่มินฮยอน พี่ที่คณะ”


                เขายิ้มเจื่อนทั้งที่คนที่ชื่อมินฮยอนยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “พัค จีฮุนครับ ยินดีที่รู้จัก”


    หน้าตาดีฉิบหายสูงอีกต่างหาก จีฮุนรู้สึกเหมือนจ้องหน้ากับแสงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสู้เลยกู


    “ไปๆเดี๋ยวพาไปดูหอแถวๆ นี้” 


    คนอายุมากกว่าพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้นเขาลอบมองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาของฮวัง มินฮยอน เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองจินยองแบบใด ทำไมเขาจะไม่รู้เล่า


    และใช่,พัค จีฮุนรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ฝึกงานนั่นแม่งบัดซบมากจริงๆ




     

    26.

    ตอนเขาอายุยี่สิบหกการจากลาวิ่งฉิวเข้ามาในชีวิตเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปในเสี้ยววินาที


    เขายืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพบนป้ายหินนั่นเขียนชื่อมารดาของเขาที่ยังใหม่เอี่ยม จีฮุนรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงแต่เขานึกว่าเขาจะซื้อเวลาได้นานกว่านี้ แม่ของเขาแก่ตัวลงมากก็จริง ไม่ได้ยังสาวและสวยสะพรั่งเหมือนกับตอนที่เขายังอยู่ประถและท่านแก่ตัวขึ้นอีกเมื่อทำงานนักเพราะการจากไปของบิดา เพียงแต่นั่นไม่ใช่สาเหตุ การด่วนจากไปของท่านได้เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพราะถนนที่ยังซ่อมไม่เสร็จและวันนั้นแม่ของเขาเป็นคนขับรถตอนกลางคืน เพียงเพื่อไปซื้อวัตถุดิบสำหรับเช้าวันถัดไป


    จีฮุนหมดสิ้นคำพูด เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเหลือตัวคนเดียวเร็วเพียงนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ


    “จีฮุนเดี๋ยวพรุ่งนี้น้าไปช่วยนะจ๊ะ เราไปพักก่อนเถอะ”


    “ครับ” เขาพยักหน้า


    พิธีศพเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่มีญาติที่ไหนเหลือแล้วประกอบกับแม่ของเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว เพื่อนสนิทมิตรสหายเท่านั้นที่มาในงาน คนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเขาตลอดก็คือครอบครัวสกุลแพที่อยู่ข้างๆกัน สองวันที่ผ่านมา เขาเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะร้องขอความช่วยเหลือจากใคร


                เขาเดินเข้ามาในบ้านอย่างอ่อนล้าเข้าไปอาบน้ำ เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขนมปังเก่าๆ กับแยมมาทาทานแทนอาหารเย็นก่อนที่จะได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง

               

                จีฮุนแบกร่างตัวเองไปดูก่อนที่จะแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่มายืนรอเป็นลูกชายบ้านข้างๆ

             

                “กลับมาแล้วหรือ” เขาได้แต่เอ่ยทักทายอย่างนั้นขณะเปิดประตู ก่อนจะเหลือบตามองที่ข้างกายกระเป๋าเดินทางยังอยู่ตรงนั้น “ยังไม่เข้าบ้านเหรอ?”


                จินยองติดต่อมาแสดงความเสียใจให้เขาตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องหากแต่ไม่สามารถปลีกตัวออกมาจากงานได้ในทันที แม้จะบอกว่าจะรีบมาให้เร็วที่สุดก็ไม่ทันพิธีศพอยู่ดี เขารู้ว่าอีกฝ่ายรีบเพราะอย่างไรก็ดี, มารดาของเขาก็เป็นเหมือนกับผู้ใหญ่คนนึงที่อีกฝ่ายเคารพ


                “อื้อ มาหาพี่ก่อน”


                “อาเข้ามาก่อนสิ” คนอายุมากกว่าทำได้แค่นั้น


                เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ จินยองเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของอีกฝ่าย เด็กกวนตีนคนนั้นเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ดีไม่ดีดูจะโตกว่าเขาเสียอีก คงเพราะทำงานด้านออแกไนซ์ที่ต้องใส่ใจหน้าตาภาพลักษณ์อยู่บ้างถึงรู้จักดูแลตัวเองขนาดนั้นความสุภาพสุขุมก็เพิ่มขึ้นเยอะเหมือนกัน ไม่มีแล้วเด็กที่มาตะโกนตะแง้วๆแบบเมื่อก่อน


                เขาบอกให้อีกฝ่ายถอดเสื้อโค้ทออก เด็กนั่นก็ทำตามอย่างไม่อิดออด “เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูไปที่หลุมศพนะ”


                แต่ก็ยังมีคนแทนตัวเองว่าหนูร่ำไป


                จีฮุนพยักหน้าเดินถือแก้วโกโก้ร้อนให้อีกฝ่าย จินยองไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการมองดูบ้านเขาที่เหลือข้าวของน้อยลงทันตา คงเพราะคนที่อยู่บ้านส่วนใหญ่ก็คือแม่ ห้องนั่งเล่นค่อนหนึ่งเป็นที่ของหล่อน ทั้งจักรเย็บผ้าหรืออะไรที่เขาไม่เคยคิดจะใช้ ตอนนี้เขาเลยเลือกเก็บมันไปเสียเยอะ


                “แล้วหยุดงานกี่วันล่ะ”


                “สักอาทิตย์นึง”


                “มาคนเดียวเหรอ?”


                “อื้ม” เด็กแสบคนนั้นพยักหน้า “มาคนเดียว เขาหยุดงานไม่ได้”


                จีฮุนเค้นหัวเราะไม่ต้องถามเลยว่าเขาที่อีกฝ่ายหมายถึงคือใคร น่าแปลกเหลือเกินเขาไม่เคยต้องเอ่ยถามจินยองว่าความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับรุ่นพี่คนนั้นเป็นแบบไหน พอๆ กับที่จินยองไม่เคยเอ่ยถามเขาว่ารู้บ้างไหมว่าสายสัมพันธ์ตรงนั้นเป็นอย่างไร


                แต่จีฮุนก็รู้ และมั่นใจว่าจินยองก็รู้


                “พี่มึง”


                คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่มองพื้น อื้อ? อะไรเหรอ”


                “พี่โอเคไหม” เสียงนั่นแผ่วเบา“ให้หนูอยู่เป็นเพื่อนไหมคืนนี้”

     

               เขาเจอกับการจากลามาแล้วสามวัน


                แต่สิ้นคำพูดนั้นเขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างที่แบกรับมันพรั่งพรูออกมา หยุดไม่ได้ ห้ามไม่ไหวเขาบอกตัวเองว่าเขาเหลือตัวเองคนเดียวแล้ว เขาต้องดูแลทุกอย่างให้ได้จัดการทุกอย่างให้เสร็จ เขาเป็นผู้ชาย เป็นลูกคนเดียว เขาต่างๆ นานาเหตุผลที่บอกตัวเองไม่ให้ร้องไห้ และมันก็พังทลายลง


                จินยองเลื่อนกายมาใกล้เขาที่ไม่ได้สะอึกสะอื้นแค่น้ำตาไหลไม่หยุด เอาแขนเล็กๆ นั่นเอื้อมมาโอบไหล่เขาและบีบเบาๆ มองเขาด้วยแววตาสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้ไปด้วยกันรอมร่อ


                “เดี๋ยวคืนนี้หนูค้างด้วย นะ โอเคไหม”


                ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ากลายเป็นอย่างงี้ได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองนอนจ้องหน้าเจ้าเด็กหน้าเล็กคนนั้นท่ามกลางความมืด เขาหยุดร้องไห้ไปนานแล้ว ทั้งที่ย้ำกับจินยองว่าเขานอนคนเดียวได้แต่เด็กนั่นก็ดื้อดึงเกินกว่าจะยอมอยู่เฉยๆ สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมแพ้อนุญาตให้เด็กคนนั้นเข้ามานอนในห้องของเขาเหมือนกับสมัยเรายังเรียนอยู่


                จินยองหลับตาพริ้ม แต่คิ้วขมวดมุ่นดูเหมือนจะนอนไม่สบายเท่าไหร่ หมอนข้างของเขาเองก็ไปอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย ไม่มั่นใจนักว่าอากาศมันหนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป หรืออาจจะแค่ไม่ชินที่


    เขากระซิบเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด “จินยอง” สิ่งที่ตอบเขากลับมามีเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอ “แพ จินยอง”


                จีฮุนไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เคยทำอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เคยเลยจริงๆ


                เขามองเด็กข้างบ้านต้นเหตุความวุ่นวาย เสียงดังโหวกเหวก คนที่ทำให้เขาเหนื่อยไม่หยุดไม่สิ้นเขาจำภาพเด็กคนนั้นที่เป็นอย่างนั้นแม้กระทั่งห่างกันไปไกล เขาเองก็ยังจำภาพแบบนั้นอยู่เสมอ ไม่ได้จางหายไปไหน


                มือหนาเอื้อมไปปัดผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนที่ลมหายจะขาดช่วงไปเล็กน้อย เมื่อดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ลืมขึ้นมา


                “อื้อ อะไรอ่ะ”


                เขาส่ายหน้า “เปล่า ไม่มีอะไร” เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา “นอนเถอะ”

                แต่เด็กนั่นทำท่าจะไม่เชื่อจินยองมองตรงมาที่เขา ฝ่าความมืดทั้งหมด จ้องลึกในแววตาที่เขาพยายามซ่อนไว้แต่เขากลับไม่กล้าพอที่จะหลบตาอีกฝ่ายในยามนี้


                “พี่มีอะไรอยากพูดไหม”


                “มะ


                “ถ้าตอบว่าไม่ หนูจะด่าพี่มึงนะ” 


                เขาหุบปากฉับทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ กะไอ้แค่การด่าเขาฟังมาจนคิดว่าถ้าเอาคำด่าที่จินยองเคยพูดกับเขาทั้งชีวิตที่ผ่านมาคงจะได้หนังสือที่ยาวพอๆกับแฮร์รี่ พอตเตอร์แล้วเชียว 

                

                “นอนไม่หลับเหรอพี่”


                “เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”


                “คิดอะไร”


                เขามองตาใสแป๋วของตัวป่วนในชีวิตทั้งที่มันมืด แต่ประกายจากแววตาอีกคนกลับชัดเจน “พี่แค่คิดว่ามันดูเหมือนวันธรรมดาวันนึง พี่ไม่เคยบอกรัก ไม่เคยแสดงออกหรือพาแม่ไปเที่ยวไกลๆ เลย”


                หนูขอโทษ” เสียงนั่นผะแผ่ว เจือไปด้วยความรู้สึกผิด “มันไม่ใช่ความผิดพี่หรอก”


                “จริงเหรอ” เขาถามย้ำ “ไม่ใช่ความผิดพี่เหรอ”


                “...”


                “ถ้าพี่พูด, ตอนนั้นเราอาจจะจับมือกันไปเที่ยวไหนกันสักที่ ไม่ต้องไปทำงานไกลๆกลับเย็นมาทานข้าวด้วยกันทุกวัน” เสียงทุ้มเอ่ยพูด หยุดไม่ได้ทั้งที่ทั้งชีวิตเขาหยุดยั้งมันไว้จากความกลัวภายในตัวเองล้วนๆ “ถ้าตอนนั้นพี่พูดไปมันจะมีอะไรเปลี่ยนหรือเปล่า”


                เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจระหว่างเราผะแผ่ว เบาหวิว เหมือนกับความหวังของเขาในตอนนี้ และมันถูกกัดกินเข้าไปช้าๆ


                “พี่กำลังพูดถึงคุณป้าหรือเปล่า”


                คำถามนั้นทำให้เขาเค้นหัวเราะในลำคอ “อื้อ” เขาทำได้แค่พยักหน้า


                “ถ้างั้นคุณป้าก็จะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก พี่พยายามได้ดีแล้ว เป็นลูกชายที่ดีที่สุดของเขาแล้ว” จินยองบอกเขาแบบนั้นคลี่ยิ้มให้เขาเหมือนในวัยเด็ก “คุณป้าต้องบอกแบบนั้นแน่”


                “แล้วถ้า” เขาเว้นวรรค สูดลมหายใจลึกนับหนึ่งถึงสามเหมือนเป็นการชะลอเพื่อตั้งคำถามกับตัวเองว่าดีจริงๆหรือที่จะเอ่ยพูดไป “แล้วถ้าพี่ไม่ได้หมายถึงแม่พี่ล่ะ”


                “...”


                “ถ้าพี่หมายถึงนาย,จะตอบพี่ว่ายังไง”


    เขาเห็นประกายวูบหนึ่งในแววตาคนตรงหน้า คงไม่ใช่จากความสดใส แต่เป็นจากความไหวหวั่น แทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา จีฮุนนับหนึ่ง, สอง, สามบอกตัวเองว่าถ้าเงียบถึงห้าวินาที เขาจะเอ่ยออกไปว่าล้อเล่นอย่างคนไม่กล้า แต่แพจินยองกลับกล้ากว่าเขา


    “ถ้าเป็นแบบนั้นหนูก็จะบอกว่ามันไม่ทันแล้ว”


    เขารู้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขารู้อยู่แล้ว


    “หนูจะบอกพี่ว่าทำไมพี่ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงทำเหมือนมองไม่เห็นสิ่งที่หนูคาดหวังมาตลอด ทำไมถึงมากล้าเอาตอนที่หนูมีความสุขดีขนาดนี้”


    เขาหมดสิ้นคำพูดไร้คำตอบโต้ใดๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีหยดน้ำตาหยดลงมา หากแต่จินยองกลับปาดมันออกไปอย่างลวกๆ ในทันที จีฮุนทำเพียงก้มหน้าลงยอมรับต่อความจริงที่ว่าที่มันไม่ทันแล้ว เป็นเพราะความขลาดกลัวของเขาทั้งสิ้น ทั้งที่จินยองเองก็พยายามส่งสัญญาณให้เขาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รับไม่รู้ ไม่แปลกเลยถ้าหากอีกฝ่ายจะไม่รอเขา


    อันที่จริง, ตอนนั้นจินยองคงรอมามากพอแล้วเสียด้วยซ้ำ


    เขาเอื้อมมือไปปาดน้ำตาอีกฝ่ายที่ไหลไม่หยุดออก “ขอโทษ” เอ่ยเอื้อนได้เพียงคำนั้น เพราะไม่มีคำอื่นใดที่คิดออกอีกแล้ว


    จินยองส่ายหน้าตอบเสียงสั่นเครือ “ไม่เป็นไร”


    เรามองหน้ากันตั้งคำถามอย่างเศร้าสร้อยว่าเหตุใด, เพราะอะไรทำไม สามคำนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เขากำลังจะลุกขึ้นไปที่ไหนก็ได้ หากแต่โดนมือของคนอายุน้อยกว่าจับไว้ก่อนเขาจึงทิ้งตัวนั่งตำแหน่งเดิม


    จินยองมองเขาตรงๆเหมือนจะพูดอะไรสักคำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


    จีฮุนเม้มริมฝีปากแน่นเขาเลื่อนมือไปแตะต้องหัวไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถามอะไรที่สุดแสนจะเห็นแก่ตัว


    “ถ้าพี่จูบนายตอนนี้นายจะบอกว่ายังไง”





     

    29.


    ตอนที่เขากำลังนับอายุว่าอีกไม่นานตัวเองจะขึ้นเลขสาม เพื่อนเขาแต่งงานมีครอบครัวไปหลายคนแล้ว ในขณะที่เขายังแบกสารร่างไปทำงาน กลับบ้านกินข้าว เข้านอน ก่อนจะแบกร่างไปทำงานใหม่ในเช้าวันถัดไป บางครั้งเขาก็มองสถานที่เก่าๆ แล้วภาพทรงจำก็ลอยขึ้นมาในอัตโนมัติ เขาเคยตั้งคำถามเคยได้รับคำตอบ และเคยเรียนรู้ว่าเราไม่ควรถามอะไรอีก


    ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะบอกว่า— เก็บเป็นความลับนะ”


    เขายังจำคำพูดนั้นได้ดีแม้ว่าจะเบาหวิวเพียงไหน เขายังจดจำมันได้แม้ว่ามันจะผ่านมากว่าสามปี  จำสัมผัสที่ควรจะเลือนรางไปกับความมืดหากแต่ยังแจ่มชัดในทุกความทรงจำ และเขาคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาดยิ่งกว่าการบอกอะไรออกไปในคืนนั้นเสียอีก


    หากเขาไม่รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงเขาก็คงไม่ต้องเศร้าหมองเช่นนี้


    พัค จีฮุนทุรนทุรายอยู่เป็นเดือน เขาอยู่ในบ้านที่มีความทรงจำของแม่ทั้งยังมีความทรงจำของความวุ่นวายนั่นอยู่ทุกส่วน เขาจะนอนในห้องของตัวเองได้อย่างไรถ้าตระหนักได้ว่านั่นคือสถานที่ที่เขาได้กดจูบมอบจุมพิตให้กับอีกฝ่ายยันเช้าของอีกวัน และจางหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น


    แพจินยองทำเฉกเช่นที่อีกฝ่ายพูด เก็บเป็นความลับ


    ใช่ไม่มีใครรู้อะไรในเรื่องของเรา เราเป็นพี่น้องเหมือนที่เขาเคยอยากให้เป็น จินยองกลับไปทำงานที่ไกลบ้านเหมือนเดิมส่วนเขาก็ติดอยู่ในวงวันแห่งนี้ เราได้เจอกันบ้างในช่วงเทศกาลเหมือนกับตั้งแต่อีกฝ่ายขึ้นมหาวิทยาลัย แต่เขารู้ เราไม่เหมือนเดิม


    ไม่มีการทักทายกันในโซเชียลมีเดีย ไม่มีการเจอกันในวันหยุดยาว


    เขาใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะโดนถีบมาจากวงโคจรชีวิตของอีกฝ่าย


    “อ้าว จีฮุน ทำไมวันนี้กลับเร็ว” เจ้าของชื่อหันขวับไปมองคุณนายสกุลแพข้างบ้านวันนี้หล่อนเดินออกมารดน้ำต้นไม้พอดีตอนที่เขากลับบ้านเร็วในรอบเดือน “ดีแล้วๆ ช่วงนี้หน้าโทรมมากเลยนะเรา”


    เขาหัวเราะ “นั่นสิครับ ไม่ไหวเลย แต่ตอนนี้คงได้พักยาวหน่อยเพราะงานใหญ่เพิ่งปิดโปรเจ็ก”


    “ก็ดีแล้วนี่นาถ้าแบบนี้ช่วงนี้ก็ว่างน่ะสิ”


    “ครับ คงได้พักหน่อย”


    “ดีเลย ขุดเจ้าจินยองออกไปข้างนอกหน่อยสิว่างๆ ตั้งแต่กลับมานี่เอาแต่นอนอยู่ห้อง”


    “ครับ?” ก้อนเนื้อในอกเต้นร่ำ เขาบอกตัวเองว่าฟังผิดไป แต่คุณน้ากลับยืนยันว่าไม่ใช่เช่นนั้น


    “เนี่ยก็เจ้าจินยองมันกลับมาแล้ว เห็นว่าทำงานฟรีแลนซ์แล้วเลยไม่มีเหตุผลจะอยู่ทางนู้นต่อ” หล่อนว่าเช่นนั้นส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับลูกชายคนเล็ก “ดูสิ มันน่าจะคิดได้ตั้งแต่เรียนจบแล้วอยู่ไกลบ้านใครจะอยากให้อยู่”


    “อา งั้นหรือครับ” นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขายังพอพูดได้หลังคลำหาเสียงตัวเองเจอ


    จีฮุนคุยกับคุณนายแพอีกนิดหน่อยก่อนที่จะขอตัวเข้าบ้านตัวเองโยนกระเป๋าโน๊ตบุ๊กไปทาง โยนถุงเท้าไปทางอย่างคนไร้ระเบียบที่อาศัยอยู่คนเดียว เดินไปต้มน้ำเพื่อจะทำรามยอนง่ายๆ โง่ๆ กินก่อนที่จะขลุกอยู่บนเตียงสักสองวันที่ได้หยุดพัก แต่ความคิดนั้นก็กลายเป็นหมันเมื่อสายตาเจ้ากรรมของเขาดันเหลือบมองไปที่ข้างๆ บ้าน


    แพ จินยองเดินออกมาพร้อมกับกางเกงวอร์มขายาว เสื้อยืดตัวเก่าๆคิ้วขมวดมุ่นหากันไม่มีผิดเพี้ยนจากเมื่อก่อน


    เขาเหลือบมองจากห้องครัวจังหวะนั้นเองที่จินยองหันมา และเราก็สบตากัน


    ยิ่งกว่าจมน้ำ ไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรไปไหม ตะโกนไปจินยองจะได้ยินหรือเปล่า หรือควรจะยิ้มเอ่ยปากทักทาย หรือควรจะทำอะไร พัค จีฮุนไม่รู้เลยจริงๆ เสี้ยววินาทีที่นานเหมือนเป็นชั่วโมงก่อนที่เด็กคนนั้นจะเบือนหน้าหนีไปหัวใจเขาฟีบลงทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรแล้วแท้ๆ แต่ไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน


    “ช้า” นั่นเป็นคำแรกที่ตอกหน้าเขาทันทีที่เปิดประตู “อะไรวะ ไม่คิดจะมาทักหนูหน่อยเหรอ”


                “อ๋อ” คนอายุมากกว่าได้แต่อ้ำอึ้ง “จะไปไหน”


                “ไปมินิมาร์ท แม่ใช้ไปซื้อของ” จินยองตอบแบบนั้น “พี่ล่ะ ทำไรอยู่”


                “ต้มรามยอนกิน”


                “อ๋อ” ตอบเขาด้วยคำเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน หรือบางทีแล้วจินยองอาจจะล้อเลียนเขาอยู่ก็เป็นได้  “เห็นแม่บอกว่าพี่มึงทำงานหนัก”


                ให้ตาย เขาสบถในใจนับพันครั้งเพียงวินาทีเดียวที่ได้ยินคำว่าพี่มึง


                “ยังไม่เลิกเรียกแบบนี้อีกเหรอ”

                

                “จะให้ทำยังไงล่ะก็เลิกเรียกไม่ได้นี่”


                ทั้งที่ไม่ได้เรียกมาตั้งสามปียังเลิกเรียกไม่ได้อีกเหรอ เขาไม่กล้าถามอะไรในใจออกไป บอกตามตรงว่ายังรู้สึกประดักประเดิดไม่ใช่น้อยกับการมายืนเด็กข้างบ้านต่อหน้าแบบนี้


                “หนูกลับมาอยู่บ้านนี้แล้วนะ”


                “อ๋อ”


                “อ๋ออีกแล้ว อ๋อทุกอย่าง รู้ดีมากไหม”


                “พี่ทำอะไรผิดวะ”


                “ไม่อ่ะ ด่าเฉยๆ หมั่นไส้”


    “แบบนี้ก็ได้เหรอ” เขาหัวเราะกับคำพูดคำจาแบบนั้น เหมือนสามปีที่ไม่ได้คุยกันไม่ได้มีผลอะไรแต่ในใจก็ยังรู้สึกวูบไหวพอประมาณ  จีฮุนมีอีกหนึ่งคำถามที่อยากถาม แล้วคนทางนั้นไปไหนเสียแล้ว


                “ได้สิ” จินยองว่าเช่นนั้น“มาทักทายเฉยๆ ไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่ว่า”

              

                 “โอเคครับ”


                ตัวตนที่วุ่นวายในชีวิตของเขายิ้มให้เขาก่อนจะหันหลังกลับไปจีฮุนกำลังจะอ้าปากร้องเรียก แต่จู่ๆ คนข้างหน้ากลับหมุนตัวกลับมาก่อน


    “โอกาสอ่ะไม่ได้มีบ่อยๆ รู้เปล่า รอบนี้ช่วยรีบทำอะไรหน่อยได้ไหม แก่กันจะตายแล้ว”


                “ฮะ?”


                “บอกแค่นี้แหละ คิดเองกลับช้าแม่ด่าแน่นอน ไปดีกว่า”


                เขาอยากจะร้องเรียกแต่ลองเจอเด็กข้างบ้านหันมาแลบลิ้นให้เขาเหมือนกับสมัยเราอยู่มัธยมปลาย เขาเองก็ทำได้แค่เค้นหัวเราะ จีฮุนเคยจะทำอะไรได้มากกว่านั้นที่ไหนถ้าอีกฝ่ายเป็นแพ จินยอง เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น


    เหมือนตอนสิบขวบที่เราเจอกัน          


    ตอนสิบสี่ที่เขาเริ่มมองเห็นความรู้สึกอีกฝ่าย


    ตอนสิบเจ็ดที่เขาไม่สามารถยอมรับตัวเองได้


    ตอนยี่สิบที่เขาปล่อยอีกฝ่ายไปไกลโดยไม่ได้รั้งไว้


    ตอนยี่สิบสามที่เขาเป็นไอ้ขี้แพ้มองจินยองรักกับคนอื่น


    ตอนยี่สิบหกที่เขาพูดมันในวันที่สายไป


    และตอนนี้เขาที่อายุยี่สิบเก้า กลับได้รับคำพูดเหมือนกับได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง


    แพจินยองเป็นแบบนั้นเสมอ เป็นตัววุ่นวายที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไปได้ทั้งดวง






    --------------------------------------

    เป็นฟิคที่เขียนตอนงานมีตวิ้งดีพค่ะ

    เลยเอามาลงเพราะคิดถึง


    ปล. จัดย่อหน้าไม่ค่อยได้ ขอโทษนะคะ


    #nandnsf

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in