เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Resetfern's hae
Evanesce
  • 'ความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว'

    เคยได้ยินประโยคนี้ตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไร นอกจากวิ่งเล่นสนุกกับเพื่อน ในงานศพของคนที่ไม่รู้จัก

    ชั่วชีวิตเคยไปงานศพมานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เข้าใจความเสียใจในระดับนั้นสักครั้ง เพราะเกิดมาในครอบครัวที่ทุกคนยังอยู่กันพร้อมหน้า มีทั้งตา ยาย ย่า รวมไปถึงย่าทวด ส่วนปู่เราเสียไปแล้วก่อนเกิด จนเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ก็ได้ลิ้มลองความรู้สึกที่คิดว่าคงไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่านี้

    ตั้งแต่เราจำความได้ เราก็ถูกเลี้ยงมาด้วยพ่อแม่ ตาและยาย เป็นหลานคนโตที่สนิทกับตามาก แม่ไปทำงานเราก็จะอยู่กับตาตลอด ตาที่สอนวาดรูป ตาที่เล่าเรื่องราวต่างๆ ในสมัยที่เรายังไม่เกิดให้ฟัง คนที่เดินเข้าสวนถือจอบไปทำทางปั่นจักรยานคันแรกให้เรา หน้าหนาวก็ไปตัดไม้ไผ่มาทำว่าวให้เรากับน้องเล่น เรามีของเล่นสมัยเด็กไม่เคยขาด ชั่วชีวิตนี้เคยมีม้าก้านกล้วยเป็นร้อยตัวได้ เรียกว่ารวยของเล่นมาก เติบโตมาแบบผูกพันกับทุกคน จนย้ายมาเรียนไกลจากบ้าน แต่เราก็ยังโทรคุยกันตลอด ไม่ใช่แค่แม่ แต่ยังรวมไปถึงคนอื่นด้วย

    จำไม่ได้ว่าคำพูดสุดท้ายที่เราพูดกับตาคืออะไร แต่เรามักจะคุยกันด้วยเรื่องดีๆ เสมอ แต่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว วันที่ตาล้ม และไม่สามารถโต้ตอบหรือรู้สึกอะไรกับใครได้เลย ได้แต่นอนเป็นผักเป็นเวลาห้าปี

    ครั้งแรกที่รู้เรื่องคือยอมรับว่าทรุด เรานอนร้องไห้ทั้งวัน เฝ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องนี้ ภาวนาให้อะไรก็ได้อย่าพรากเขาไป นั่งรถตู้กลับบ้านไปด้วยความกลัว ร้องไห้ตลอดทางจนพี่คนขับรถตู้พาไปส่งถึงโรงพยาบาล

    วันนั้นหมอบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว จะให้เขาไปไหม แม่เราที่เป็นลูกคนโตออกมาคุยกับญาติๆ เราตกลงกันว่าจะไม่ให้เขาทรมาน เลยเซ็นต์เอกสารไม่ให้ยาต่อ แต่หลังจากเซ็นต์ อาการตาดันดีขึ้น เลยเป็นที่มาของระยะเวลาทำใจเป็นเวลา 5 ปี

    5 ปี ที่เหมือนเขาหายไปแล้ว พวกเราทุกคนได้แต่ใช้เวลาช่วงนั้นเพื่อทำใจ ต่างคนต่างรู้ว่าไม่มีหวังแล้วที่เขาจะกลับมาเหมือนเดิม

    เวลาห้าปี จะว่าไวก็ไว จะว่าแป๊ปเดียวก็ได้ เขาเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดแทนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากไข้ขึ้นครั้งล่าสุด ผ่านการถกเถียงและเสียน้ำตาของคนในครอบครัว เขาก็ได้จากเราไปอย่างสงบ

    เช่นเคย เรากลับบ้านด้วยใจที่แทบสลาย แต่ไม่ได้จะเป็นจะตายเหมือนคราวแรก ที่บ้านตกลงกันว่าห้ามใครร้องไห้โฮออกมา ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะร้องตาม ซึ่งเราคิดว่าทำไม่ได้ แต่ความจริงไม่มีน้ำตาให้ใครเห็นแม้แต่หยดเดียว

    ครอบครัวเราไม่มีใครเคยมีประสบการณ์จากงานแบบนี้ ทุกคนทำงานหนักมาก แทบไม่มีเวลาพัก ไม่มีแม้แต่เวลามานั่งร้องไห้ กลับถึงบ้านหลับเหมือนตาย

    เคยได้ยินคนบอกว่า สามวัน ห้าวัน วิญญาณจะกลับมาบ้าน เราเฝ้าถามตัวเองว่ากลัวไหม ถ้าเจอเขา เราไม่มีคำตอบ แต่ไม่เคยใครเคยเห็นหรืออะไรเลย

    เราเป็นคนกลัวงานศพ กลัวรูปที่ตั้งในงานศพ เพราะเวลาที่มองรูป สายตาคนในรูปจะมองเรากลับ แม้จะเดินไปทางไหน เป็นความกลัวมาตั้งแต่เด็กที่ฝังใจ แต่คราวนี้เรากลับมีหน้าที่ยืนข้างโลง ยกข้าวที่มีของโปรดเขาไปวางไว้ เอาหลังมือเคาะที่โลงสามที แล้วบอกเขามากินข้าวนะ ตามธรรมเนียมที่ทำมา เราแอบยืนน้ำตาไหลข้างโลงไม่ให้ใครเห็น เราชอบนั่งนิ่งๆ มองเขาที่อยู่ในโลง แม้กระทั่งตอนที่ใช้มือผลักโลงเขาเข้ากองเพลิง ตอนที่ควันไฟลอยออกมาจากปล่องเมรุ หรือตอนเก็บเถ้ากระดูกที่ยังร้อนระอุ และแม้แต่ตอนที่เราถือกระดูกเขานั่งรถกลับบ้าน เราได้แต่มอง แล้วก็มอง ไม่มีคำพูดอะไรเลย

    เราเฝ้าถามตัวเองมาจนตอนนี้ ว่าคนเราตายแล้วไปไหน ยังเป็นผี เป็นวิญญาณอยู่ในอีกภพเหมือนที่คนอื่นพูดกันไหม เขาจะรู้หรือเปล่านะ ว่าทิ้งคนที่อยู่ให้รู้สึกอย่างไร แต่ก็เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ คงต้องลองตายดูถ้ามีโอกาส

    ตอนนี้เราบอกตัวเองว่าให้ทำทุกวันให้ดีที่สุด บอกรักกันให้มากๆ อย่างน้อยเราจะได้ระลึกไว้ว่าก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะจากไป เราก็ยังเคยมอบสิ่งดีๆให้แก่กัน

    ถึงตอนนี้เราก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เรายึดติด อนาคตเราคงต้องสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดแน่นอน ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เราจะต้องเสียใจมากๆ แต่เราหวังว่าสักวันถ้าผ่านสิ่งนั้นมาได้ เราอยากจะเข้มแข็งกว่าเดิม


    fern's hae
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
love_router (@love_router)
อ่านแล้วคิดถึงแม่จัง
fern's hae (@fernhae)
@love_router คิดถึงได้แต่อย่าเศร้ามากนะคะ เราในวันนี้คือเราที่เข้มแข็งกว่าเมื่อวานค่ะ