เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
starry nightKhai Kung
เมื่อถึงวาระสุดท้าย เราอาจกลายเป็นเพียงฝุ่นผงซึ่งไม่มีใครจดจำ
  • 1.

    นอกจากมาร์ค ซักเคอร์เบิก ผู้ก่อตั้งเฟสบุ้ค เจ็กหม่าแห่งอาลีบาบา หรือสตีฟ จ๊อบ ผู้คิดค้นโทรศัพท์เปลี่ยนโลกอย่างไอโฟน คุณรู้จักใครอีกบ้าง

    คุณรู้มั้ยว่า สตีฟ วอชเนียก คือใคร , คุณรู้มั้ยว่า เควิน ซิสตรอม เกี่ยวข้องยังไงกับอินทราแกรม , คุณรู้มั้ยว่า Youtube ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยใช้พนักงานแค่สามคน แน่ละ ถ้าคุณไม่ใช่ผู้นิยมหรือมีการงานเกี่ยวกับด้านไอทีก็คงจะมีน้อยคนที่รู้ ผู้อยู่เบื่องหลังปฎิมากรรมเปลี่ยนโลกเหล่านี้ล้วนมีที่มา เพียงแต่ว่าโลกอาจไม่โดยหยิบฉายเรื่องราวของพวกเขาให้เราได้รู้จัก

    เฉกเช่นกันกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Steve jobs ภาพอลัน ทัวริ่ง บนผนังในงานเปิดตัวคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ชายหนุ่มคนหนึ่งถามจ๊อบส์ว่านั่นคือรูปใคร จ๊อบบอกว่านั่นคือชายผู้คิดค้นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก เขาถามต่อว่าชายคนนี้สำคัญอย่างไรกับงานนี้ จ็อบส์บอกว่าไม่มีความสำคัญอะไร ในเมื่อคุณเองก็ยังไม่รู้จัก มันคงจริงอย่างที่เขาว่า หากเทียบตามจำนวนประชากรหลายล้านคนบนโลก เราจดจำผู้คนบนโลกนี้ได้ถึง 0.001 เปอร์เซนรึเปล่า

    หรือเพราะโลกหมุนเร็วไปจนเราไม่สามารถพอที่จะจดจำใครซักคนไว้ได้ในหัวใจแม้เขาจะสร้างสิ่งต่างๆยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม เราทุกคนต่างรู้ว่าโลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยสารพันปัญหา ไม่แปลกใจหากเราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ๆและไอเดียดีๆเกิดขึ้นแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ หลายอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมความคาดหวังว่าซักวันโลกจะหมุนไปในทิศทางที่ดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น “เราทำเพื่อความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ” นักสร้างสรรค์ส่วนใหญ่มีนิยามในใจไว้แบบนี้

    ในเมื่อโลกเราไม่ได้มีเวทีกว้างพอให้ที่สองยืนได้อย่างโดดเด่นนัก นักกีฬาเหรียญเงินไม่ถูกแสงจากสปอทไลท์ฉายแสงบ่อยเท่านักกีฬาเหรียญทอง และเส้นชัยในการแข่งขันอาจมีกว้างพอให้ใครซักคนยืนหยัดในจุดนั้นได้เพียงตำแหน่งเดียว ด้านล่างเวทีจะมีผู้แพ้มากเท่าไร สปอทไลท์แห่งความสำเร็จก็ไม่เคยฉายแสงส่องให้เห็นถึงอาการบาดเจ็บและร่องรอยแห่งการต่อสู้ของพวกเขา ไม่มีการอุทร ผู้แพ้ในเกมการแข่งขันก็ต้องเยียวยาตัวเอง แล้วกระนั้นที่สองจะมีความสำคัญมากแค่ไหนในวันที่มีใครซักคนยืนดำรงตำแหน่งสูงสุดบางอย่างในเวลานั้น

    เพราะที่สองไม่เคยถูกจดจำ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจหากสตีฟจ๊อบจะต้องการเป็นผู้ชนะในเวทีการแข่งขันด้านเทคโนโลยี สิ่งที่เขาเลือกคือการทำถุกวิถีทางให้ความเชื่อของเขาออกมาเป็นความจริง หากเราดูหนังเรื่องนี้ เราจะเห็นว่าจ๊อบส์ช่างเป็นคนเปี่ยมล้นไปด้วยแพชชั่น แพชชั่นที่มากล้นจนคนข้างๆหลายคนอึดอัด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ และยังทำตามความเชื่อมั่นของตัวเองต่อไปแม้ว่าจะเริ่มสูญเสียคนใกล้ตัวไปทีละคน

    หรือนี่อาจเป็นหนทางสู่ชัยชนะบนเวทีที่มีจุดยืนได้เพียงตำแหน่งเดียว

    2.
    หลังจาดู Steve jobs จบ ผมย้อนกลับไปคิดถึงครั้งหนึ่งในช่วงเวลาสามปีก่อน ตอนที่ความต้องการบางอย่างเริ่มครุกรุ่น ช่วงวัยที่ความฝันคือเรื่องสำคัญ วัยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกของทำงานและการพิศูจน์คุณค่าตัวเองในฐานะมนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เพิ่งจะปีกกล้าขาแข็งและทะนงตนว่าข้าแข็งแกร่งพอแล้วในการออกพจญภัยในโลกชีวิตจริง

    แม้ตอนนั้นจะเป็นคนหนุ่มอายุ 20 ปลายๆที่มีงานประจำมั่นคงทำอยู่ มีเงินเดือนพอให้ลุ้นต่อลมหายใจได้เดือนต่อเดือน ไม่มีหนี้สิน มีความรักที่โอเค เพียงแต่ในจุดหนึ่งผมรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันช่างน่าเบื่อ ในแต่ละวันที่ตื่นมาแบบไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะไปทำงานเลยแม้แต่น้อย ความเบื่อหน่ายค่อยๆกลืนกินตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง ผมคิดว่าถ้ามีชีวิตแบบนี้ต่อไปคงต้องเฉาตายแน่นอน ตอนนั้นนับว่าตัดสินใจถูกที่เริ่มเบนเข็มตัวเองไปทางงานเกี่ยวกับขีดๆเขียนๆและถ่ายภาพควบคู่กับการทำงานประจำ หนำซ้ำยังไปลงเรียนมหาวิทยาลัยภาคค่ำเพื่อให้มีวุฒิปริญญาตรีประดับชีวิตอีกหนึ่งใบ ในช่วงนั้นผมไปค่ายเกี่ยวกับนักคิดนักเขียนมาบ้าง แถมยังแอบรับงานนอกแบบลับๆโดยไม่ให้ที่ทำงานรู้

    ยิ่งไปค่ายมากเท่าใด ยิ่งเปิดโลกมากเท่าไร มันยิ่งทำให้เราได้รู้ตัวว่าตัวเองกระจอกแค่ไหนในกะลาใบแคบ ยิ่งได้เจอคนหนุ่มสาวอายุเท่าๆกันกับผมในตอนนั้น ผมทั้งอึ้งและตกใจในการใช้ชีวิตของพวกเขาหลายคน ทำไมพวกเขาช่างเก่งแบบนี้ทั้งๆที่อายุขัยในโลกมนุษย์ก็ไม่ห่างกัน โลกเรามีคนเจ๋งๆซุกซ่อนตัวอยู่ขนาดนี้เลยหรือ

    จู่ๆโชคชะตาก็พาโอกาสครั้งเดียวในชีวิตมายื่นข้อเสนอให้กับผม ผลประกาศจากการส่งใบสมัครเข้าร่วมโครงการฝึกงานและมีโอกาสในการเรียนรู้ขั้นตอนการทำนิตยสารฉบับหนึ่งมีชื่อผมอยู่ในจำนวนคน 15 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย และได้กลายเป็นตัวจริง ปัญหาอย่างเดียวของผมคือจะทำอย่างไรให้สามารถไปทำงานที่นั้นได้ตลอดสามเดือนโดยที่ยังต้องทำงานประจำควบคู่ไปด้วย นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต เป็นไปได้ ผมเองก็ไม่อยากให้มันหลุดมือ

    และการทำงานแบบเหยียบเรือสองแคมในตอนนั้นทำให้ชีวิตต้องก้าวผ่านจุดวิกฤติบางอย่าง เป็นจุดที่เรียกได้ว่าตระหนักถึงความอ่อนด้อยของตัวเองมากขึ้นไปอีก ในขณะที่หลายคนในทีมดูมีไอเดียสดใหม่ กลับกลายเป็นผมเองที่ไม่สามารถนำเสนอไอเดียอะไรแบบเฉียบคายได้แบบหลายๆคน แน่ละว่าในการทำงานเป็นทีม ย่อมไม่มีใครอยากเป็นตัวถ่วง ผมจึงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ไม่ให้เป็นภาระกับคนอื่นมากนัก

    อาจเป็นเพราะความกดดันหรือเป็นเพราะผมเองที่ไม่อาจจัดการกับชีวิตตัวเองได้ และปัญหาจากความไม่เข้าใจในรูปแบบการใช้ชีวิตของคนสองคน ผมรู้ตัวว่าผมเองก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเริ่มมีบางอย่างที่ไม่สามารถทำให้แฟนผมในตอนนั้นเข้าใจกันและกันได้ ไม่นานเท่าไร ผมจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่คบหากันมาเป็นเวลาเกือบปีด้วยตัวเอง โดยที่เหตุผลคืออะไร ผมเองในตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ว่าที่เลิกราไปเพราะใครคนใดคนหนึ่งไปมีคนใหม่ หากจะมีเหตุผลบางอย่างที่พอจะอนุมานได้ คงเป็นเหตุผลง่ายๆว่าเพราะผมต้องการเวลาทุ่มเทและพัฒนาตัวเองให้เก่งมากกว่านี้

    และเพราะเวลามันแก้ไขไม่ได้ เราจึงไม่มีสิทธ์โอดครวญกับบางสิ่งที่เราตัดสินใจลงไป

    หลังจากยุติความสัมพันธ์ ในช่วงแรก ผมรู้สึกดีมาก เหตุเพราะต่อไปนี้เราจะได้มีเวลาทุ่มเทให้กับงานการตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ไม่นานเมื่อเวลาผ่านไป พวกเราฝ่าฟันช่วงเวลาโหดหินไปได้ตามกำหนด มันทำให้ผมได้มีชื่อตัวเองไปปรากฏในนิตยสารฉบับนั้นในฐานะหนึ่งในกองบรรรณาธิการ ผมมี Portfolio เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น และดีใจทุกครั้งเวลาที่เห็นนิตยสารเล่มที่ผมและเพื่อนอีก 14 คนช่วยกันปลุกปั้นวางอยู่บนแผง และดีใจในทุกครั้งที่มีคนหยิบซื้อหา เพียงแต่ว่าอายุขัยของนิตยสารมันช่างแสนสั้นอย่างที่ผมเองก็รู้ ผ่านไปแค่เพียงสี่สัปดาห์ นิตยสารเล่มนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยฉบับใหม่ เล่มที่พวกเราตั้งใจทำกลายเป็นเพียงภาพความทรงจำ แม้เวลาผ่านไปมันอาจจะพอหาได้ตามห้องสมุดหรือร้านหนังสือมือสองก็จริงอยู่

    แต่ความสัมพันธ์กับใครบางคนที่ผมสูญเสียไป
    มันคงไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว

    หลังจากพอมีประสบการณ์ด้านนการทำงานอันน้อยนิดมาบ้าง ผมเองเริ่มรับงานนอกมากขึ้น มากจนหลายครั้งคนทางบ้านก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่กระทำ หารายได้เล็กๆน้อยๆจากงานเขียนมาเรื่อยๆ เสพงานเขียนงานภาพ ดูหนัง และเดินชมงานศิลปะเพิ่มมากขึ้นอย่างหิวกระหาย เรารู้ตลอดว่าที่ผ่านมาเราไม่เก่ง เราจึงอยากทำตัวเองให้เก่งขึ้น แม้อาจไม่ได้ทำให้มีฐานะดีจนฟู่ฟ่า แต่นั้นทำให้ผมสามารถพิศูจน์ตัวเองกับคนทางบ้านและคนรอบตัวได้ว่าเราเองก็ไม่ได้แย่

    ออกเดินทางบ่อยเท่าที่จะมีโอกาศอำนวย
    และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    “ไม่อยากออกหนังสือเป็นของตัวเองบ้างหรอ”

    พี่ในแวดวงขีดๆเขียนๆเคยถามผม เพียงแต่ว่าภาพของความกระจอกในอดีตยังคอยวนเวียนให้เรานึกถึงอยู่เสมอๆ และงานของผมเองก็ไม่ได้มีคุณค่ามากเพียงพอที่จะให้ใครซักคนจะบรรจงอ่านมันได้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกยันบรรทัดสุดท้าย หลายครั้งผมจึงปฎิเศษออกไปในเวลาที่มีใครซักคนถามขึ้นมาแบบนี้ และยังคงมีความสุขกับการเสพชื่อของตัวเองผ่านนิตยสารรายเดือนอยู่เรื่อยๆ

    ยังไม่พร้อม และยังต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ขึ้นไปอีก ผมบอกตัวเองเช่นนี้เสมอมา ในขณะที่คนรอบข้างต่างมีผลงานอันน่าจดจำเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้นทุกที

    “ตอนนี้เขียนอะไรอยู่” รุ่นพี่นักเขียนคนหนึ่งในวงสนทนาเคยถามผมขึ้นมา
    น่าเศร้าตรงที่ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้

    3.
    วันที่ผมดูหนังเรื่องนี้เป็นวันเดียวกันกับที่สภาพอากาศในประเทศกรุงเทพหนาวกว่าปรกติ อุตุนิยมออกมาตอกย้ำความหนาวด้วยจำนวนวันและปริมาณองศา เขากล่าวว่านี่คือความหนาวในรอบ 50ปีที่กรุงเทพไม่ได้ประสบมานาน ผมตื่นเต้นไม่ต่างกันกับใครอีกหลายๆคน เสื้อกันหนาวตัวเก่าในตู้ถูกรื้อค้นและหยิบมาสวมใส่

    ไม่มีเรื่องการตายของดารา ไม่มีเรื่องดราม่าการเมือง บนนิวฟีดโซเชียลเน็ตเวลิกในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกและมุขเกี่ยวกับบรรยากาศเหน็บหนาวเบียดขึ้นมาเท่าๆกับข่าวลูกเทพ

    ผมรู้ว่าอากาศเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ และรู้ว่ามันคงดำรงอยู่ไม่นาน ความต้องการโอบกอดไอยะเยือกนั้นไว้ให้นานที่สุดจึงนำพาให้ผมมานั่งอยู่บาร์เหล้าแห่งหนึ่ง เบียร์ในแก้วไม่ช่วยให้ความหนาวลดลงแม้แต่น้อย

    หญิงสาวสองโต๊ะถัดไปผลัดกันถ่ายรูปกันและกันด้วยไอโฟนรุ่นใหม่ เช่นกันกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังให้ความสนใจกับหน้าจอโทรศัพท์มากกว่าเบียร์ที่อยู่ตรงหน้า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาว เบียรในแก้วตรงหน้ายังคงรักษาระดับอุณหภูมิไว้ให้เย็นชื่นใจโดยไม่บกพร่อง

    หากไม่นับไอโฟนของผมที่หายไปในเดือนที่ผ่านมา สินค้าตราแอปเปิ้ลชนิดเดียวในตอนนี้ที่ผมมีคือแทปเลตขนาดพอดีมือ หน้าจอของมันแสดงผมอุณหภูมิในกรุงเทพมหานครตอนนี้ว่า 18องศาเซลเซียส นี่คือความหนาวในระดับที่สัมผัสได้ผ่านทางผิวหนัง

    ผมนั่งพิมพ์เรื่องนี้ในระหว่างนั่งอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงภาพยนตร์แห่งนั้น
    ในมือถือนิตยสารเล่มหนึ่งซึ่งมีชื่อผมเขียนไว้ด้วยตัวอักษรเล็กๆ ในฐานะคนเขียน
    มันเล็กเสียจนหากไม่สังเกตุคงไม่มีใครเห็น
    ผมพลิกอ่านที่ตัวเองเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ถ่ายรูปอวดผลงานตัวเองลงโซเชียลเน็ตเวลิกตามปรกติ

    รอบข้างตอนนี้ผู้คนหนาตา เพียงแต่ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นคือใคร
    ทำงานอะไร ดำรงตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด

    เช่นเดียวกันกับที่พวกเขาเองก็คงไม่รู้ว่าผมคือใคร
    และมีความสำคัญอันใดกับโลกใบนี้




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in