เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
starry nightKhai Kung
ฉันรู้ว่าเธอนั้นเก่งและยังไหว
  • “แก เราเลิกกับน้องเค้าเค้าแล้ววะ....”

    ข้อความจากแอพพลิเคชั่นแชทส่งจากหญิงสาวคนหนึ่งตรงมายังผม ในระหว่างกำลังรอรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน นาฬิกาในมือถือตอนนั้นบอกเวลาราวๆสี่ทุ่ม ผมหยุดชะงัด แล้วพิมพ์ตอบกลับไป

    “เฮ้ยแก โอเคมั้ย ไหวป่าว” 

    ผมทิ้งตัวเองนั่งบริเวณป้ายรถเมล์ อันที่จริงตรงหน้าในขณะนี้รถที่กำลังจอดอยู่สามารถส่งผมถึงปากซอยหมู่บ้านได้โดยดี แต่ในจังหวะนี้ ผมคงรู้สึกแย่แน่ๆถ้าก้าวขึ้นรถคันนั้นไปโดยที่ปล่อยเธอไว้ เท่าที่ผมรู้ เธอคงไม่ทักผมมาหากไม่เจอเรื่องหนักหนาจริงๆ 

    “โอเค แกอยู่ไหน”
    “เราอยู่แถวเมเจอร์รัชโย แกอะ”
    “เราอยู่ร้านตรงแถวยูเนี่ยน ร้านเดิมแหละ”

     โดยไม่ต้องพูดต่อ เพียงคำว่าร้านเดิมของเธอ ผมก็เข้าใจได้แล้วว่าหมายถึงร้านไหน ผมไม่ลังเลที่จะพิมพ์ตอบกลับไป 

    “ไปคนเดียวใช่มั้ย เดี๋ยวเราแวะไป แปบนึง รอก่อน” 
    “อืม” 

    คู่สนทนาตอบมาแบบสั้นๆ ผมกดปุ่มล้อกหน้าจอแล้วเดินข้ามฝั่ง โบกรถคันใกล้ที่วิ่งผ่านมาในเวลานั้นพอดี จุดหมายของผมอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก ไม่นานเกินกว่ามิเตอร์จะกระดิกจำนวนตัวเลข ผมก็ถึงจุดหมาย 

    ใช่จริงๆ เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเศร้าหมองสะท้อนแสงไฟจากโทรศัพท์ในมือ และนิ้วที่ปาดเลื่อนหน้าจออย่างไร้จุดหมายขับให้บรรยากาศอึมครึมทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม

    “ไงแก” ผมทักและนั่งฝั่งตรงข้าม เบียร์ในขวดยังไม่พร่องมากนัก เธอคงสั่งมันมาประดับโต๊ะไว้เท่านั้น เท่าที่รู้จัก เธอไม่ใช่นักดื่มตัวยงหากเทียบกันกับผม

    “อืม เลิกกับน้องเค้าแล้ววะ วันนี้ไปเจอเค้านั่งกินข้าวอยู่กับผู้หญิงอีกคน เจ็บเหี้ยๆ” 

    เธอตอบคำถามและยกซกเครื่องดื่มในแก้วหนึ่งที บริกรนำแก้วอีกใบมาให้กับผมและจัดการรินให้ ผมยังมองหน้าเธอต่อไป ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทรกซึมบทสนทนา 

    “ไม่เปลี่ยนเลยนะ...” 

    ผมไม่รู้จะตอบเธอว่าอะไร จึงแกล้งแซวเธอไปแบบนั้น และมันคงไม่ใช่เหตุผลที่ต้องไปเซ้าซี้ให้มากความ เลิกก็คือเลิก เมื่อตัดสินใจแล้วก็เคารพการตัดสินใจของตัวเองไป ผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับเธอเพียงเท่านั้น

    “สวยเหมือนเดิมละสิ” เธอตอบกลับมา มุมปากปรากฏอมยิ้มเล็กๆ 
    “อืม” ผมตอบแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ เธอดึงเอาจากซองของผมไปตัวหนึ่ง
    “แกก็ยังเหมือนเดิม ติสต์แตกเหมือนเดิม” 

    เธอตอบแล้วพ่นควัญลุ่มใหญ่ ก่อนจะแซวผมเรื่องวันหยุดที่ผ่านมา เรื่องที่ผมโบกรถไฟฟรีจากกรุงเทพไปหัวหินเพื่อดูบอลโง่ๆ ก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพในวันรุ่งขึ้น เธอคงเห็นชีวิตผมภาพที่โพสลงเฟสบุ้ค กลับกันเป็นเธอเสียอีกที่หน้านิวฟีดไม่ค่อยมีการอัพเดตอะไรมากนัก หากจะมีก็เป็นรูปหน้าสวยๆของเธอมากกว่า

    ภาพสุดท้ายเกี่ยวกับเธอที่ผมจำได้ คือในวันที่เธอบอกผมว่าเขากำลังคบหาดูใจกับรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ อาจจะผิดที่ผมเองในตอนนั้นพยายามคุยจีบเธอแบบทีเล่นทีจริง จนความสัมพันธ์เราก้าวเข้าหาคำว่าเพื่อนมากกว่าที่จะตัดสินใจใช้ชีวิตไปในเส้นทางเดียวกัน 

    แม้หลังจากนั้นไม่นานผมจะบอกกับเธอไปว่าที่จริงแล้วผมเองก็ชอบเธออยู่ แต่มันคงดูเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปจนเรียกได้ว่าสายเกินกว่าจะเป็นอะไรกันได้มากกว่านี้ เมื่อหัวใจมีบาดแผลจากความไม่ชัดเจน ผมจึงพยายามปลีกตัวเองออกจากวงโคจรของเธอ เดินในเส้นทางของเราต่อไป และค่อยๆหายกันไปโดยที่ยังเห็นความเคลื่อนไหวกันและกันผ่านทางโซเชียลมีเดีย

    เราคุยอัพเดตชีวิตกันยาวนานราวกับไม่ได้พบกันมาเป็นปีๆ ทั้งที่มันก็เพิ่งผ่านมาไม่นานจากการเจอกันครั้งสุดท้าย เมื่อไม่มีเรื่องจะพูด เธอจึงวนกลับมาเรื่องอดีตแฟนคนล่าสุดของเธอ น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างสังเกตเห็นได้ ผมพยายามไม่แสดงความคิดเห็น และปล่อยให้เธอจมลงในภวังค์

    “เดี๋ยวเราไปเข้าห้องน้ำแป็บนึง” ผมพูดแล้วลุกออกไป 

    วงดนตรีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังเปิดการแสดงสดบนเวที นักร้องเอ่ยปากเชื้อเชิญผู้ใช้บริการให้ขอเพลงกันขึ้นมาได้ ในระหว่างที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับเขา

    “ไปนานจัง” 

    เธอพูดขึ้นเมื่อผมกลับมาถึงโต๊ะ เบียรในแก้วของเธอหมดแล้ว พนักงานกุลีกุจอมาเติมให้เพื่อไม่ให้ขาดช่วง เรานั่งคุยกันต่อผมจึงทราบสาเหตุว่ามาคงเป็นเพราะความรู้สึกฉับพลันที่เกิดขึ้นระหว่าคนสองคน ซึ่งมันคงหอมหวานในตอนแรกเริ่ม เพียงแต่ดอกไม้เมื่อส่งความหอมหวานได้รุนแรงเพียงใด ย่อมหมายความว่ากลิ่นหอมนั้นอาจเลือนหายได้ไวไปตามๆกัน เช่นกันกับความรัก ไม่นานนักเมื่อความรักที่ไม่ได้เกิดจากการศึกษาดุใจกันอย่างลึกซึ้ง ย่อมหมายถึงคืนวันดีๆพร้อมจะเลือนหาย

    ----
    ยิ้มของเธอ คือเหตุที่ทำให้ใจสั่น
    ชอบมองมันกว่าสิ่งไหน
    ฉันชอบมอง จึงอยากจะคอยช่วย
    ให้รอยยิ้มไม่หายไป
    ----

    “เพลงนี้เพราะดีนะแก” 

    ผมพูดกับเธอ 
    และปล่อยให้เสียงเพลงเข้าแทนความเงียบ

    -----
    เห็นแววตาเธอเปลี่ยน ไม่เคยคุ้นเลย
    ให้ฉันเฉยเมยได้อย่างไร
    ฉันชอบเธอ จึงอยากจะคอยช่วย
    ให้ความเศร้าเธอหายไป
     
    -----

    “รู้ไหมเธอว่าทุกข์นั้นเบาเมื่อแบ่งให้ใครสักคน...” 

    ผมฮัมเพลงตาม ในใจลึกๆเชื่อว่าเธอน่าจะรู้จักเพลงนี้ เท่าที่เห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวลิก เธอจัดได้ว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของซีรีย์ฮอร์โมน โดยเฉพาะซีซั่นสาม และเพลงนี้เป็นเพลงประกอบซีรีย์เรื่องนั้น

    ใช่จริงๆ เธอกำลังฮัมเพลงตาม เราจ้องหน้ากัน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด แต่ไม่อยากขัดจังหวะเสียงเพลง จึงได้เพียงยิ้มให้กัน มันเป็นรอยยิ้มคุ้นเคยรอยยิ้มเดียวกันกับที่ผมเห็นเมื่อหลายเดือนก่อน แน่นอนว่ามันยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้ว่าแววตาเธอจะเศร้าเพียงใด

    “เหนื่อยมากไหม ฉันรู้ว่าเธอน่ะเก่งและยังไหว
    แต่ขอวันใดที่เธอร้องไห้
    อย่าร้องไห้คนเดียว ไม่บอกฉัน

    อยากให้รู้ ว่าฉันจะยืนและอยู่ ไม่ไปไหน
    ไม่รู้จะช่วยอะไรเธอได้
    ก็เผื่อไว้ เผื่อเธอต้องการ

    ก็ขอให้จับมือฉัน ก็ขอให้ผ่านอะไรไปด้วยกัน

    อย่าเสียใจคนเดียว”

    อาจจะเป็นเพราะเสียงเพลงหรือความอัดอั้นในใจ จู่ๆน้ำตาเธอไหลออกมา ผมเห็น และทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายื่นกล่องกระดาษชำระให้ จุดบุหรี่อีกหนึ่งตัว และปล่อยให้เสียงเพลงวนซ้ำท่อนเดิมอีกครั้ง จนเมื่อบทเพลงบรรเลงจบลง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา

    “โอเคขึ้นยัง” ผมถาม
    “อื้อ..” เธอตอบแล้วพยักหน้า
    “บอกแล้วตอนนั้นมาคบกับเราก็จบ” ผมแซว เธอยิ้มเล็กๆ แม้สีหน้าจะไม่สู้ดีนัก
    “ก็แกเคยชัดเจนกับอะไรมั้ยวะ ทีเล่นทีจริงอยู่นั้น” เธอพูดแล้วคว้าบุหรี่ในซองผมไปอีกตัวหนึ่ง ผมยิ้มเล็กๆ แต่รู้สึกบางอย่างในใจ
    “เออ ช่างแม่งเถอะ ผ่านมาแล้วป่าววะ แบบนี้ก็ดีแล้ว เบื่อๆก็ทักมาหากูแหละ”
    “ทำอย่างกับมึงเคยมีเวลาให้ใคร...”
    “เออ ถ้าอยากให้เวลากับใครมันก็ให้ได้ป่าววะ”
    “มึงเนี่ยนะจะมีเวลา แล้วนี้ยังไม่มีแฟนหรอมึง น่าสงสารวะ” 
    “สัส กูอยู่ของกูแบบนี้ก็ดีแล้ว มีก็ปวดหัวแบบมึงไง เลิกมาก็เศร้าสัสอีก”
    “แต่ตอนที่มีความรักมันก็ดีนะเว้ย ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน เวลาเหนื่อยสัสๆแล้วมีคนให้ซบแม่งโคตรดี ชีวิตกลางคืน อยู่แต่กับงานแบบมึงไม่เข้าใจหรอกว่าเวลาอยู่คนเดียวแย่ยังไง” 

    เธอทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว ผมจึงรีบเบรกบทสนทนา
    ผมคงไม่เข้าใจแบบที่เธอว่าไว้ ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไอ้ความโดดเดี่ยวแบบของเธอและแบบของผมมันเป็นแบบเดียวกันมั้ย หากความโดดเดี่ยวแยกประเภทได้ ผมคงจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีความสุขเมื่อได้อยู่คนเดียว

    เรานั่งกันอีกพักใหญ่ ก่อนเวลาจะล่วงเลยไปวันใหม่ ใครซักคนเตือนขึ้นมาว่าพรุ่งนี้เราทั้งคู้ต้องทำงานมิใช่หรือ ดังนั้นเราเรียกพนักงานชำระเงิน แม้ผมจะขยั้นขยอขอออกให้ แต่เธอก็ยังไม่เปลี่ยน อย่างไรก็ต้องหารในสัดส่วนที่เหมาะสม 

    เราแยกย้ายโดยเธอให้คำสัญญาว่ายังไหว ผมมั่นใจกับเธอโดยรูตัวว่าไม่มีสิทธ์ดูแลอะไรไปมากกว่านี้ ผมเชื่อในการเติบโตของหัวใจ เวลาจะช่วยอุดรอยร้าวและสมาดบาดแผลให้หากเราเข้มแข็งกับมันพอ

    “กลับดีๆแก มีไรโทรมา”
     "ขอบใจแกมากนะ ขอบใจที่มานั่งด้วยกัน แกเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ"

    เธอบอกผมก่อนจะปิดประตูรถแทคซี่ให้เธอเคลื่อนห่างจากผมไปไกลจนลับสายตา
    ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะได้เจอกันอีก 
    มันอาจจะยาวนานกว่าครั้งที่ผ่านมา
    ผมจึงภาวนาได้เพียงว่าขอให้เธอสามารถกลับมาร่าเริงได้โดยไว

    และทบทวนประโยคสุดท้ายที่เธอพูดไว้ซ้ำไปซ้ำมา...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in