เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มากมายก่ายกองที่อยากจะเล่าsennsay
หลังจากใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมา 2 ปี
  • ห่างหายจากBlogไปนานมาก ๆ ไม่คิดว่าจะกลับมาเพราะเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ได้ซิ่วหรือลาออกจากการเป็นนักศึกษาหรอกนะ แค่พอถึงช่วงเวลาที่ระบบTCAS ประกาศรอบ 3 มันก็จะเจอเรื่องเดิม ๆ ตลอดเลย ไม่ติดสักอันดับบ้าง ติดอันดับที่ไม่อยากได้บ้าง ติดอันดับ1แต่ผู้ปกครองไม่ให้เรียนบ้าง วนมาเจอแบบนี้มา 2 ปีแล้ว

    ที่เขียนอยู่ตอนนี้ เหมือนจะประกาศรอบ 3 ที่ขอประมวลผลครั้งที่ 2 แล้ว ยินดีกับDek68 ที่ได้มหาวทิยาลัยแล้ว ยังเหลือรอบสุดท้ายรอบที่ 4 สู้ๆ 

    ที่มาเขียนครั้งนี้คือมีเรื่องเยอะมากกกกก จนถึงกลับมาเขียนBlog เพราะทวิตเตอร์กำจัดตัวอักษร เม้นจนเหนื่อย เลยมาในนี้แทน

    ทุกอย่างที่เราเขียนล้วนเป็นความคิดเห็นและความรู้สึกจากประสบการณ์ของเราเอง แล้วก็มันคงจะน่าเบื่อมาก ๆ เพราะไม่มีรูปประกอบ มีแต่ตัวหนังสือ ที่เราตั้งใจเล่ามันออกมา

    จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากเราเห็นโพสต์หนึ่งที่เด็กติดมหาลัยแล้ว แต่ผู้ปกครองไม่ให้ไปเรียน เพราะมันไกลบ้าน จะด้วยเหตุผลที่เขาเป็นห่วง กลัวลำบาก อะไรก็ตาม เราที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้าไปเรียนที่กทม. (ซึ่งจริง ๆ แล้วเรียนแถวปริมณฑล) รู้สึกไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเราไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่จริง ๆ หรอกว่าเขาห่วงลูกห่วงหลานยังไง แต่เราพูดในฐานะเด็กต่างจังหวัดเรียนไกลบ้าน สังคมใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ เหมือนกดปุ่ม Restart วาร์ปมาที่ใหม่

    ถ้าเราตัดเรื่องกำลังทรัพย์ของที่บ้าน ที่บ้านสามารถซัพพอร์ตได้ หลายบ้าน(เพื่อนแม่) เขาไม่ให้ลูกไปเรียนไกล คือพ้นภาคเหนือไม่ให้ไปละ ฟิลไกลบ้าน แม่ก็จะมาพูดให้ฟัง ละก็หลายๆความเห็นที่มีในทวิตคือ พ่อแม่กลัวลำบาก เป็นห่วงเรียนไกล แต่เขาก็ลืมคิดว่าอนาคตลูกเขาก็ต้องถึงวันที่เขาจะต้องอยู่ตัวคนเดียว แม้จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ลืมหรอกว่ามันจะถึงวันที่ลูกจะต้องอยู่โดยไม่มีเขา เขาแค่อยากจะดูแลลูกให้ดี ไม่อยากให้ลำบาก กลัวสังคมที่โหดร้ายจะทำร้ายลูกเขา

    แต่เราก็อยากให้ผู้ปกครองได้ลองให้โอกาสที่ลูกจะก้าวเดินไปในเส้นทางใหม่ เส้นทางที่ลูกเลือกเดิน ที่เขาเลือกและตื่นเต้นกับมันมาก ๆ สิ่งที่เขาพยายามจนติดมหาวิทยาลัย ติดคณะที่เขาอยากเรียน เส้นทางใหม่ทำไมเราจะไม่อยากลองเดินไปละ แน่นอนว่าอะไรที่เป็นส่ิงใหม่มันน่ากลัวเสมอ ยิ่งต้องไกลบ้าน ไปอยู่หอ ยิ่งไปในที่ที่เป็นสังคมใหม่ ไม่ใช่มัธยมปลายที่มีกลุ่มเเพื่อนจากมัธยมต้นมาด้วย เขาต้องกลัวอย่างแน่นอน แต่เขาก็พร้อมที่จะพุ่งหาความกลัวนั้น

    เราอยากให้เขาได้ลองทำสิ่งนี้ในวันที่ยังมีพ่อแม่ มีผู้ปกครองอยู่นั่นแหละ แม้จะต้องห่างไกลกัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเขายังมีที่พึ่งอยู่ ถ้าต้องอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในวันที่ไม่มีพวกเขาอยู่แล้ว มันน่ากลัวกว่ามากเลยล่ะ

    อยากให้ทุกท่านมั่นใจในตัวลูกของท่าน พวกเขาจะพยายามใช้ชีวิตให้ดี แม้จะมีบ้างที่คิดว่า พ่อแม่เลี้ยงมาดีขนาดนี้ แต่ทำไมเขาถึงกลับทำให้ตัวเองลำบาก เขาจะอยากใช้ชีวิตให้ดี ทุ่มสุดความสามารถเพื่อตอบแทนที่ท่านเลี้ยงพวกเขามาอย่างดีแน่นอน จะใช้ชีวิตในฐานะวัยรุ่นที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยให้ดีที่สุด

    นี่คือความคิดเห็นของเราเอง ถ้าจะให้พูดแบบไม่สวยหรูเท่าข้างบนคือ ทำไมต้องห่วงขนาดนั้น ให้เด็กมันใช้ชีวิตด้วยตัวเองเถอะ แต่อย่างที่บอกไป เราไม่ได้เป็นพ่อแม่ เราไม่รู้ความรู้สึกเป็นห่วงลูกจริง ๆ หรอก เราเลยพูดในมุมมองของเด็กที่เรียนไกลบ้านเหมือนกัน

    เอาล่ะ ไหน ๆ ก็พูดเรื่องเรียนไกลบ้าน มาเล่าเรื่องของเราเองดีกว่าที่เรียนไกลบ้านมาแล้ว 2 ปีกัน

    มันต้องเล่าย้อนหน่อย จริง ๆ แล้วเราอยู่เชียงใหม่ เกิดและโตที่นี่ เรามีความคิดที่จะเรียนที่กทม ตั้งแต่ช่วงม.ต้นแล้วแหละ ไม่มีความคิดที่จะเรียนที่เชียงใหม่ หรือภาคเหนือเลย อาจจะเป็นเพราะว่า พ่อเราเป็นคนกรุงเทพ อยู่กรุงเทพ ทำให้เราไป ๆ มา ๆ เชียงใหม่ กรุงเทพ ปิดเทอมก็จะลงไปหาพ่อ ไปเที่ยว แม่เราเองก็เป็นคนที่ทำงานแบบย้ายจังหวัดไปมา บริษัทให้ไปไหน ก็ไปที่นั่น เลยไม่กลัวที่จะให้ลูกไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพ จะบอกว่าแม่เบาใจไปหย่อมหนึ่งเพราะมีพ่อที่อยู่กรุงเทพก็ว่าได้ แต่มันก็แค่ระดับหนึ่ง เนื่องด้วยพวกเขาแยกทางกันนานแล้ว และหลาย ๆ อย่าง ที่ผ่านมา แม่ก็แค่เบาใจ อย่างน้อยเกิดไรขึ้น แม่อยู่ไกล พ่ออยู่ใกล้ก็ยังดี แต่ถึงยังไง ต่อให้ไม่มีพ่อ แม่เราก็ให้อิสระเราในการเลือกที่เรียนอยู่แล้ว

    ทำให้การมาเรียนที่กรุงเทพ ไม่มีใครคัดค้าน เราเลยมีความไม่เข้าใจที่ทำไมคนถึงยังเรียนที่เชียงใหม่กัน มันเป็นความรู้สึกของคนที่อยู่มาตลอด แล้วก็อยู่กรุงเทพบ้างละมั้ง ที่รู้สึกว่าเชียงใหม่มันไม่มีอะไร ในแง่การใช้ชีวิตที่ต้องทำมาหากิน (จริงๆแล้วเราอาจจะมีติดหล่มความคิดกทม.คือแหล่งเจริญก็ได้) เรามีความคิดที่ข้างโลกในหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็ไม่เคยไปพูดใส่ใครนะ ทำไมถึงอยุ่เชียงใหม่ ทำไมยังเรียนที่เชียงใหม่

    เราเคยตะล่อมเพื่อนด้วย ไปเรียนที่กรุงเพทด้วยกันมั้ย ไปไหมมม ไปเถอะน้าาาาา แต่สุดท้าย ในกลุ่มก็มีแค่เราที่เรียนที่กทม ส่วนที่เหลือเรียนภาคเหนือกันหมด มีไปไกลบ้าง แต่ก็ยังภาคเหนือ ขับรถไปสัก 2 ชั่วโมงก็กลับถึงเชียงใหม่อะไรงี้ละ

    ร้อยละ 98 ในรุ่นเราเรียนในภาคเหนือ อีก 1 ไปเรียนต่าประเทศ อีก 1 ลงกทม ซึ่งในมหาวิทยาลัยเรา มีมาจากโรงเรียนเดียวกัน 2 คนถ้วน รวมเราแล้ว คนละคณะด้วย ส่วนเพื่อนสนิทของเราไปเรียนแถวรังสิต ก็ไม่มีกลุ่มเพื่อนมาด้วยเลย อาจจะเป็นโรงเรียนเราเองด้วยที่ส่วนใหญ่ยังเรียนที่เชียงใหม่

    หลังจากที่เราติดมหาวิทยาลัยแล้ว เราติดศิลปากร ก็ไปจ้ะ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินทางลงกทมกัน!!!!! 

    อย่างแรกที่ติดนะ คือกลัวมาก จะหาเพื่อนยังไง จะสนิทกับเขายังไง คือเราเป็นคนที่เริ่มบทสนทนาไม่เป็น พูดไม่เก่ง กังวลมาก ๆ แต่ก็คิดว่าตัวเองต้องหาเพื่อนได้แน่นอน ไม่กลัวเหงา แต่ที่กลัวคือ กลัวแม่เหงา เพราะแม่มีแต่เราตลอด มีเราเป็นเพื่อน กลัวแม่เป็นซึมเศร้ามากกกกก ดีหน่อยที่มีแมว เราอยู่หอนอก จริงๆ คือคอนโด แม่เลยมาอยู่ด้วยประมาณ 2 เดือน เริ่มใช้ชีวิตได้

    ในวันเปิดเทอมแม่ยังอยู่ด้วย ก่อนหน้านั้นได้ตารางเรียนแล้ว เราก็จะสร้างกลุ่มที่อยู่เซคเดียวกัน จะได้เมคเฟรนง่าย ก็มี A นามสมมติ ทักมา "ไปมอด้วยกันไหม" เราก็โอเค พอถึงวันเปิดเทอมจริง ๆ เราก็บอกไปว่า เดี๋ยวแม่เราไปส่ง มาด้วยกันมั้ย A ก็บอก เดี๋ยวถามเพื่อนอีกคนก่อน นั่นก็คือ B นั่นคือจุดเริ่มต้นของกลุ่มเราเลย จังหวะแรกที่เราเจอ B เราแบบ "ใช้คนที่ทักมาบอกว่า แจโดเหมือนกันใช่ปะ" คือใช่จิงๆ สัมพันธไมติ่งมาก

    อาจจะเป็นเพราะพออยู่มหาลัยมันใช้ชีวิตด้วยกันเยอะมาก มันก็เลยสนิทกันเร็วมาก ๆ เรียนเสร็จก็มีแวะไปเที่ยวบ้าง มารวมกันที่ส่วนกลางบ้าง ไปห้องเพื่อนบ้าง ไม่เหมือนตอนเรียนมัธยมที่เจอกันตอนเรียน เลิกปัป บ๊ายบาย เจอกันพรุ่งนี้จ้า

    แต่ว่า

    มันจะบางครั้งที่เราเห็นสตอรี่ไอจีของเพื่อนสนิทที่เรียนเชียงใหม่ เขาได้ไปแฮงเอ้ากับเพื่อนมัธยมด้วยกัน เจอหน้าเพื่อนตอนมัธยม เที่ยวด้วยกัน ไปใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากใช้กับเพื่อนๆ กลุ่มนั้นบ้าง เป็นวัยที่โตขึ้น เริ่มทำอะไรได้มากขึ้น แต่เราไม่มีโอกาศได้ใช้ชีวิตแบบนั้นกับกลุ่มเพื่อมัธยม บางครั้งมันก็รู้สึกนอยมาก ๆ เลย ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีไหม กลุ่มเพื่อนเราคือกลุ่มที่ไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนหรือกลุ่มเดียวกันมาเรียนด้วยกันเลย

    ก็เลยเหมือนไม่ได้ปลีกตัวไปอยู่กับเพื่อนมัธยม เราก็คิดว่า มันก็ดีที่เราได้มาที่นี่ สังคมใหม่  ถึงในใจเราจะคิดว่า คนที่เรียนเชียงใหม่เขาก็มีสังคมใหม่กับสังคมเดิมไปพร้อม ๆ กัน

    ถึงจะผ่านมาแล้ว 2 ปี เราก็ยังมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าเดิมแล้ว

    ขอทดเรื่องเพื่อนไว้ก่อน

    มาเรื่องการใช้ชีวิตดีกว่า 2 ปี ที่ผ่านมาจะบอกว่าเสียดายไหมก็เสียดาย แต่ก็ไม่เสียดาย เราเสียดายที่ไม่ใช่ชีวิตให้สุดกว่านี้ ทำไมไม่เที่ยวให้มากกว่านี้ ทำไมไม่ทำอะไรให้มากกว่านี้ แต่พอมองกลับไปก็ โอยยย เรียนเสร็จอยากกลับห้องมาก ๆ เงินก็ไม่มี เที่ยวครั้งเดียวก็หมดแล้วสัปดาห์นี้ เราไม่ไปร้านเหล้า เพราะไม่อยากไปเสี่ยงให้โดนจับ จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบกินอะไรด้วย แต่ก็อยากไปเอาสนุก ไม่สนุกตอนนี้จะให้สนุกตอนไหน แต่ไปทีก็เสียตังเยอะ กินที่ห้องกับเพื่อนเหมือนเดิม

    ตอนนี้ที่กำลังจะขึ้นปี 3 ก็เลยคิดว่าจะใช้ชีวิตให้มากกว่านี้ แอคทีกมากกว่านี้!!!!!! 

    เราเปลี่ยนไปเยอะมาก เทียบกับมอปลาย เรากล้าแสดงออกมากขึ้น จริง ๆ เราขี้อายมาก พอมีเพื่อนที่ช่วยเสริมก็มั่นใจขึ้น ขอบคุณเพื่อนมหาลัยที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากจริง ๆ 

    ส่วนเรื่องการเรียน เราปรับตัวไม่ค่อยเยอะ แบบว่าปรับตัวไม่ยาก ค่อนข้างโอเคเลย ยกเว้นเรื่องเวลาเรียน 3 ชั่วโมงรวด ม่ายยยยยสนุก

    เล่าเรื่องตลก ๆ บ้าง เราเป็นคนเหนือที่เรียกว่าพูดไทยปะแล๊ดเมือง ขึ้นวินครั้งแรก รู้ว่า 20 บาท แต่เพื่อความชัวเลยถามอีกครั้ง "ซาวบาทใช่ไหมคะ" วินเงียบใส่ ฮือ ลืมคิงค่ะ เราพูดเมือืงใส่เพื่อนฉ่ำ ไม่เข้าใจตรงไนค่อยเอ๊ะนะ คือมันออกมาโดยไม่รู้ตัว สนุกสนานเฮฮา เหนือบ้าง ใต้บ้าง

    สังคมมหาลัย เราเจอคนค่อนข้างดีเลย มีไม่ดีไหม มันก็มีนั่นแหละ สังคมไหนก็มี เราแค่ไม่ได้เจอกับตัวแบบรุนแรง เรื่องงานกลุ่มมันมีปัญหาจริง ๆ นะ คือมีความคิดเลยว่า มันจบม.6 มาได้ยังไงอะ!!!! พอขึ้นปี 2 มันผ่านปี1 มาได้ยังไงอะ!!!! ร้อยพ่อพันแม่จริง ๆ ชีวิตหลากหลาย เจอคนแปลกเยอะมาก

    ชีวิตมหาลัยเราดูน่าเบื่อมากเลยเนอะ เรียนกลับห้อง เรียนกลับห้อง แต่ก็รู้สึกตอนนั้นเราพยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุดแล้วล่ะ ตอนนี้ก็ทำได้แค่พยายามทำให้มันดีขึ้น

    ที่เราทดไว้เรื่องเพื่อน เราเคยคิดว่าถ้าเราเจอเพื่อนที่ไม่ดี เราคงตัดความสัมพันธ์ทิ้งไปแบบไม่ใยดี แต่ว่าที่มีอยู่มันไม่ใช่ไม่ดีน่ะสิ แค่ต่างคนต่างใช้ชีวิต แค่เราเป็นฝ่ายที่พยายามอยู่ฝ่ายเดียว มันก็ไม่ใช่แค่เราคนเดียวนะ คือพอเราเห็นว่าเพื่อนมัธยมได้เจอกันในหมาลัย เราก็อยากจะเจอเพื่อนบ้าง ก็เลยทุกครั้งที่กลับเชียงใหม่เราจะบอกละ อยู่เชียงใหม่แล้วน้า ไปเที่ยวกันไหม ไปกินอะไรกันไหม กินข้าวแล้วคุยกันเฉย ๆ ก็ได้

    แต่เกือบทุกครั้งเราก็จะเจอแต่เพื่อนคนเดิม ที่เขาก็ไม่ได้เรียนเชียงใหม่ แต่เรียนภาคเหนือนี่แหละ เวลาปิดเปิดเทอมเราไม่ตรงกัน หาวันตรงกันยากมาก ปิดเทอมครั้งหนึ่ง เจอกันได้ 1 ครั้งเพื่อนเราก็เก่งมากแล้วที่หาเวลามาเจอกันได้

    เป็นครั้งแรกที่เราพยายาม keep in touch ตลอด ก็จริงที่ตอนเรียนเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย เราเข้าใจต่างคนต่างใช้ชีวิต และการจะเจอกันมันยากเพราะอยู่คนละจังหวัด พอเรากลับบ้านเลยแบบ มา เราอยู่ใกล้กันละ มาเจอกัน!!! แต่ก็ไม่ค่อยจะสำเร็จเท่าไหร่ จนมันมีความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา เหมือนเรากำลังพยายามอยู่ฝ่ายเดียวเลย มีเพื่อนที่ทำงานพิเศษเลยหาเวลายาก หรือเพื่อนที่เขากำลังใช้ชีวิตของเขาอยู่ เข้าใจตรงจุดนั้นมาก ๆ แต่มันก็คงมาถึงจุดที่การใช้ชีวิตของเขามันไม่ได้มีมากพอแบ่งมาให้เราอะ

    เราพยายามคิดนะว่าเพื่อนเขาก็มีเหตุผลของเขา มันแค่มาถึงจุดที่เราเหนื่อยแล้ว มีครั้งหนึ่งที่เหมือนจะได้เจอกันแล้ว แต่เพื่อนคนนึงก็ดันติดธุระซะก่อน เรากับเพื่อนอีกคนก็เลยคุยกันว่าจะไปดีไหม บอกตามตรงเรารู้สึกว่า ไปกันสองคนงั้นหรอ อึดอัดอะ ทั้งที่สนิทกันมาก ๆ แค่มันกลับมีความรู้สึกนั้นขึ้นมา เพราะระยะทางที่เราห่างกัน

    เราก็คิดว่าความสัมพันธ์นี้เราก็คงไม่ได้ตัดทิ้งไป แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วแหละ ตัดพ้อเหมือนน้อยใจเลย คือใช่ค่ะ น้อยใจมาก ๆ แต่เพราะว่าเราพยายามเข้าใจถึงการใช้ชีวิตและข้อจำกัดบางอย่าง เราก็เลยจบที่ตัวเอง ทุกครั้งที่กลับบ้านเราก็ทักตลอดนะ ไปเที่ยวมั้ย ไปได้ก้ดี ไม่ได้ไปก็ชั่งมัน 

    มันน่าแปลกที่ไม่นานมานี้เราได้ไปกินข้าวกับเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ตอนมอต้น พอมอปลาย แยกสายก้เลยไม่ค่อยได้คุยกันแล้ว แรก ๆ มีเกร็งกันบ้าง แต่สุดท้ายก็คุยได้อย่างราบรื่น เราก็หวังว่าวันหนึ่งที่เรากลับมาเจอเพื่อนกลุ่มเดิมอีกครั้ง จะกลับมาคุยกันสนุกสนาน เหมือนกับที่ได้คุยกับเพื่อนมอต้นอีกครั้ง

    ดูเป็นคนขี้น้อยใจมาก คือใช้เลย เซนซิทีพด้านอารมณ์มาก ๆ ด้วย ตอนมอต้นคือปล่อยหมด แต่โตขึ้นก็เก็บมันไว้ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง

    ในBlogเก่า เราเคยบอกไว้ ในช่วงเวลาที่ยังอยู่กับเพื่อนเที่ยวกันให้สนุก ถ่ายรูปด้วยกัน ถ่ายวิดีโอด้วยกันเยอะ ๆ อนาคตอาจจะไม่ได้สนิทกันเท่าเดิม หรือสนิทกันมากกว่าเดิม ยังไงแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นหลักฐานชิ้นดีเลยว่า เราเคยมีช่วงเวลาที่ดีและสนุกกับคนกลุ่มนั้นมากขนาดไหน ยังไงก็จำความรู้สึกตอนนั้นได้

    เราเป็นคนที่โหยหาอดีตมาก เหมือนพอมีอะไรที่กระตุ้นเช่น กลิ่น เพลง รูป หรือสถานการณ์ ก็จะนึกย้อนกลับไป มันสนุกมาก ๆ อะ ชอบมักๆ มันเกี่ยวกับหัวข้อไหมเนี่ย หลังจากใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยมา 2 ปี ก็ได้อยู่แหละ

    เกือบพลาดเรื่องนี้ไปแล้ว ในBlogที่แล้วเราพูดไว้ว่า

    " ใครยังไม่เจอตัวเอง สภาพสังคมในตอนนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะตามหา แต่คิดในแง่ดีเราพึ่งจะใช้ชีวิตมาแค่10กว่าปีเอง ยังมีเวลาที่เราจะได้ออกไปโบยบินอีกเยอะ อย่าคิดว่าไม่เอาไหน ไม่มีดีและอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเลยนะ 

    ถ้าใครไม่ติดคณะที่ตั้งใจไว้หรือไม่ติดที่ไหนเลย เรายังมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้อยู่ ช่วงเวลาของการเรียนรู้คือทั้งชีวิต ถ้าอยากจะลองปีหน้าใหม่อีกครั้ง ก็ลองเลย 

    ไม่ว่าทุกคนจะเป็นยังไงในตอนนี้ อนาคตเราจะเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่เรารู้เป้าหมายของเรา พยายามต่อไป มีผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง แต่เราจะได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาแน่นอน ซึ่งมันก็จะมาจากตัวเราเอง สู้ๆน้าาาาา"

    เราก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องหาตัวเองให้เจอในวัยแค่ 18 ปี เราพึ่งใช้ชีวิตมาเอง ได้เจออะไรน้อยมาก ๆ สิ่งที่ชอบตอนนี้ มันต้องเป็นตัวตัดสินเราในอนาคตเลยหรอ ดูยิ่งใหญ่จัง ทั้งที่อนาคตอะไรก็ไม่แน่ไม่นอนเลย น่ากลัวจะตาย จะให้ความคิดเด็ก 18 คนนี้ ไปตัดสินชีวิตของตัวเองในอีก 30 40 ปีข้างหน้าเนี่ยนะ คิดแค่นี้ก็กังวลไปหมดแล้ว

    เราเคยนึกอิจฉา ที่จริงแล้วตอนนี้ก็ยังอิจฉา ทำไมเราไม่เจอโรลโมเดล ไม่เจอแรงบัลดาลใจตั้งแต่เด็กนะ ตอนนี้เรายังไม่เจอโมเดลที่เราอยากจะแซงหน้าเขาเลย อยากจะเล่นไอซ์สเก็ตจัง เล่นบัลเล่ต์จัง เล่นกีฬาเป็นจัง อย่างน้อยถ้าไม่มีเป้าหมายอะไร ก็ยังไปในเส้นทางนั้นได้ แต่เราไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งเนี่ย สิ่งที่กำลังทำอยู่ พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ แล้วก็พิมพ์ ทำอะไรได้อะ พยายามพิมพ์มาตั้งแต่ประถมแล้วนะ ไม่เห็นจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เลย

    เราไม่เคยมีความฝันเหมือนคนอื่นเขา ฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอลแล้วก็พุ่งไปหาฟุตบอลเลย คือมีไหม มี เราฝันอยากจะเป็นนักเขียน แต่โตมากับศิลปินไส้แห้งอะ ยูโนว? เราในสมัยเด็กยังเจอคำพูดนี้ตลอด ไม่ได้เจอเอง แต่สื่อมากมายที่ได้รับรู้ก็พูดแบบนี้ แล้วพอมาถึงวันหนึ่งที่นิเทศศาสตร์ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น เหมือนโลกสดใสขึ้นมาเลย อันนี้ทางชั้นหรือเปล่านะ ด้านการเขียน

    ตั้งเป้าละ ไป มุ่งสู่นิเทศฯ แต่แล้วมันก็พังครื้น!! สมัยก่อน คือมันก็ไม่นานมาก เป็นสาขาที่นิยมมาก ช่วงยุคต้นของGenZ เหมือนช่วงรุ่งเรื่องมาก ๆ ที่คนเริ่มเปิดกับนิเทศฯ ตอนพอมาที่รุ่นเราแล้วกลับโดนบอกว่า เรียนทำไม ล้นตลาดหมดแล้ว ไหนจะโดนญาติบอกอีก เรียนไปทำไม เห็นไหมในยูทูป เขาทำหนังสั้นได้เงินเยอะแยะ ไม่ต้องเรียนก็ทำได้ละ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มันทำให้อะไรๆก็เรียนรู้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มันดีมากเลยนะ เราก้เคืองนิดนึงนะตอนนั้น เพราะเราไปทางอื่นไม่ได้เลยนอกจากนิเทศฯ เราเรียนภาษามา แต่ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ทางอื่นก็ไม่ได้อีกเลย เก่งเลข แต่ไม่ชอบเลข 

    เราเข้ามาเรียนนิเทศโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไร เราแค่อยากเขียนนิยาย แต่เราไม่ได้อยากเรียนเขียนข่าว ไม่ได้อยากทำหนัง ไม่ได้อยากทำเอมวี ไม่ได้อยากเป็นทีมงานเบื้องหลัง เราเข้ามาโดยที่ไม่อยากทำอะไรเลย สิ่งที่เราอยากทำ กลับไม่มีในคณะ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่คิดยอมแพ้เรื่องนิยายนะ สักวันนึงก่อนตายเนี่ย ต้องเขียนให้ได้สักเรื่อง ไปให้ถึงจุดที่เราฝันไว้ให้ได้

    แต่ระหว่างทางนั้น จะทำอะไรดีเราก็ยังไม่รู้หรอก ปี 3 แล้ว ใกล้จบแล้ว เรายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากพอที่จะเข้าสู่โลกของการทำงานเลย 20 ปีบริบูรณ์แล้ว เรายังเหลวไม่เป็นท่า แต่ก็ไม่ยอมแพ้ โลกมันโหดร้ายนั่นแหละ เราเลยรักนิยายมาก ๆ ไม่อยากให้ลดคุ้นค่าของสิ่งที่เราชอบ ดอกไม้ที่รอวันผลิบานหรอ มันก็คงยังนั้นจริง ๆ แต่เราก็อยากจะขอให้ทั้งเรา และทุกคนที่รอวันนั้น มันมาถึงเร็ว ๆ ไม่มาช้าเกินไปจนอดที่จะใช้ชีวิตโดยคอมพลีทสิ่งนั้นเลยนะ

    จริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้มากนักหรอก ก็คงจะมี ถ้ามีล่ะก็ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ มีเรื่องเล่าเยอะมาก ชอบคิดประเด็นอะไรออก ละก็ทวิต แต่หลังจากนี้คงมาในนี้บ่อย ๆ แล้วแหละ
    เจอกัน Blog หน้านะคะ อาจจะเร็วๆ นี้ ถ้ามีเรื่องอะไรมาพูด เล่า เขียนอีก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in