ปานหยาดน้ำผึ้ง แปลจากบทกวีนิพนธ์ภาษาอังกฤษเรื่อง 'milk and honey' ของ รูปี กอร์ นักเขียนหญิงเชื้อสายอินเดียสัญชาติแคนาดา (แปลโดยคุณพลากร เจียมธีระนาถ) เป็นหนังสือขายดีของ New York Times Bestseller ติดต่อกันหลายสิบสัปดาห์ และเป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงมากใน pinterest และ instagram (เสิร์ชแท็กชื่อเรื่องไปนี่ขึ้นรูปเยอะแยะไปหมด)
หนังสือเล่มนี้มีทั้งคนชื่นชอบและคนโจมตี ประเด็นที่เห็นอยู่บ่อย ๆ คือการที่หลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียน) เรียกมันว่าเป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์ แต่มันก็ไม่เห็นจะกวีนิพนธ์สักเท่าไหร่ (อาจจะเรียกว่ากลอนเปล่าได้) แต่ไม่อยากให้คนมองข้ามมันแค่เพราะโดนติเรื่องนี้เลย จริง ๆ แล้วเนื้อความของหนังสือน่าสนใจมาก ๆ
หนังสือแบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ่ ๆ คือ รวดร้าว หลงรัก เลิกรา และเยียวยา -- "รวดร้าว" คือการเปิดตัวมาด้วยการพูดถึงความรุนแรงและความเจ็บปวด ในฐานะเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ สถานะทางสังคมของผู้หญิงในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ความรุนแรงเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรงในครอบครัว ที่รุมเร้าจนอาจทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง บทนี้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมา รวมถึงพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวด้วย
บทที่เราขอยกมาพูดถึงคือบทต่อไปนี้
ทุกครั้งคราว
ที่คุณบอกลูกสาว
ว่าคุณดุด่าว่ากล่าว
ด้วยความรักจากใจ
เท่ากับคุณได้เสี้ยมสอน
ให้เห็นโทสะเป็นความปรารถนาดี
ซึ่งดูเข้าท่าเข้าที
จนถึงวันที่เธอเติบใหญ่
แล้วไว้ใจชายผู้ทำร้ายเธอ
เพราะพวกเขา
ช่างเสมอเหมือนกับคุณ
- ถึงพ่อผู้มีลูกสาว
ความรุนแรงในครอบครัวในรูปแบบต่าง ๆ มักถูกยกไปอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อความรัก แต่มีไม่กี่คนที่ฉุกคิดขึ้นมาว่า การโดนทำรุนแรงซ้ำ ๆ และถูกฝังหัวว่ามันคือความหวังดี อาจจะทำให้คน ๆ หนึ่งตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงวงไปซ้ำ ๆ เพราะคิดว่าคนที่ทำร้ายเธอหวังดีกับเธอก็ได้
(มันทำให้เรานึกถึงข่าวที่ศิลปินเกาหลีวง The East Light โดนโปรดิวเซอร์ทำร้าย น้องที่เป็นเยาวชนบอกกับพ่อแม่ว่าจะอดทน ต้องทนเพื่อให้ได้มีผลงาน ซี่งมันแย่มาก ๆ พอได้เห็นแผลที่น้อง ๆ โดนเอาไม้เบสบอลฟาด เอาสายกีตาร์รัดคอ มันเกินกว่าการทำเพราะหวังดีแล้ว แบบนี้มันโรคจิตชัด ๆ)
บทถัดมาคือ "หลงรัก" เป็นบทที่เอ่ยถึงความรักในรูปแบบต่าง ๆ การตกหลุมรัก ความคาดหวังต่อความรักและความสัมพันธ์
เราชอบบทนี้
เขาถามว่า คุณคิดอย่างไรกับผมเล่า
ฉันวางมือบนตักเขา
แล้วกระซิบแผ่วเบาว่า
คุณคือความหวังทั้งมวล
ครบถ้วนที่ฉันเคยวาดหวัง
ในร่างมนุษย์
จุดเด่นของรูปี คือการเขียนถึงเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา อารมณ์รัก ความปรารถนา ความใคร่ เรียกได้ว่าเปิดเปลือยความรู้สึกแบบที่ไม่ต้องตีความมากมาย มีความเป็นเฟมินิสต์เต็มเปี่ยมในทุกตัวอักษรจริง ๆ (คุณพลากรก็พยายามถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว)
เมื่อหลงรักแล้ว ย่อมมี "เลิกรา" บทนี้ยังคงพูดถึงความรักและความสัมพันธ์ แต่เป็นการกล่าวเหมือนสอนและเตือนใจ บางบทอ่านแล้วเหมือนจะเอาสันหนังสือฟาดให้หน้าชา เรียกสติให้ตื่น เราชอบบทนี้มาก ๆ
ฉันไม่รู้จักความพอเหมาะพอดี
ยามโศก
ฉันไม่เพียงร้องไห้ แต่ร่ำไห้
ยามสุข
ฉันไม่เพียงยิ้ม แต่ชื่นบาน
ยามโกรธ
ฉันไม่เพียงโวยวาย แต่เดือดดาล
เป็นคนอารมณ์รุนแรงนั้นดี
ตรงที่เวลารักใคร ฉันจะพาเขาโบยบิน
แต่แท้จริงแล้ว
นั่นอาจไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยนัก
เพราะคนรักมักจากลา
และใครได้มาเห็นย่อมรู้ว่า
ยามร้าวรานใจ
ฉันไม่เพียงเศร้าสลด
ฉันแหลกสลาย
(ส่วนตัวชอบ ยามร้าวรานใจฉัน ไม่เพียงเศร้าสลด ฉันแหลกสลาย มาก ๆ ชอบจังหวะคำ ไม่รู้ว่าคุณพลากรตั้งใจไหม แต่ชอบจริง ๆ ค่ะ)
บทนี้เห็นภาพดี คนเรามักทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่างเกินไปจนลืมเผื่อใจ ผลกลับมาเลยรุนแรงพอ ๆ กับตอนที่เทใจให้ไป ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ยิ่งแหลกสลายมากเท่านั้น
ส่วนบทสุดท้ายคือ "เยียวยา" จะเรียกว่าเป็นบทสรุปก็ได้ หลังจากผ่านเรื่องราวอันแสนสาหัสในชีวิตกันมามาก เราว่าบทนี้เหมาะกับการส่งให้คนที่เรากำลังห่วง หรือกังวลเกี่ยวกับเขาอ่านมาก ๆ มีหลายบทที่อ่านแล้วรู้สึกให้กำลังใจ
เราชอบอันนี้ เหมาะกับคนทำงานสร้างสรรค์ดี
ไม่สำคัญว่า
มีใครกี่คน
ชื่นชอบงานศิลปะของเรา
แต่สำคัญว่า
ตัวเราเองนั้น
ชอบมันมากแค่ไหน
ซาบซึ้งตรึงใจเพียงใด
และเราทำมัน
จากใจจริงหรือไม่
จงอย่าละทิ้ง
ความจริงใจ
เพียงเพื่อ
เอาใจใคร
- ถึงกวีหนุ่มสาว
(FYI: รูปี กอร์ คือนักเขียนคนหนึ่งที่โดนโจมตีอย่างหนักเพราะงานของเธอหัวรุนแรงเกินไป และไม่เป็นที่ชอบใจของคนที่เห็นต่างกับเฟมินิสต์ เธอให้สัมภาษณ์กับเอ็มม่า วัตสัน ใน Our Shared Shelf ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสิ่งที่เธอเขียนคล้ายกับการมีคนรัก และเธอไม่ต้องการให้มือที่สามเข้ามายุ่มย่ามเรื่องระหว่างเธอกับงานของเธอ -- แนวคิดแบบนี้ก็เจ๋งดีนะ 555)
หลายคนอาจจะมองว่า เราจะมั่นหน้าในงานของเราไปไหน 55 แต่ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ อย่างน้อยเราต้องมีความเคารพในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา และภูมิใจในมัน เราคิดว่าบทนี้ตั้งใจจะสื่ออย่างนั้นนะ
พออ่านจบก็พอจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงขายดีนัก หนังสือเล่มนี้มีช่วงให้หยุดคิดหลายบทเลย บางบทอ่านไปแล้วต้องพักก่อน บางบทกระแทกใจมาก บางบทไม่ตรงใจก็อ่านผ่าน ๆ ไป แต่ภาพรวมคือของดี สมควรอ่านสักครั้ง
และอย่าลืม รักตัวเองให้มาก ๆ นี่คือหนังสือที่ตั้งใจจะสื่อเรื่องนี้อย่างชัดเจนที่สุด
แหล่งอ้างอิง
- รูปี กอร์. (2561). ปานหยาดน้ำผึ้ง. พลากร เจียมธีระนาถ แปล. เฮอร์ พับลิชชิ่ง: นนทบุรี.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in