เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
alone in the mountainsnichised
ความโกรธแค้นของป่าสนและคำขอโทษกลางทุ่งหญ้า
  • ดวงอาทิตย์สูงตรงศรีษะ พริมหยีตามองฟ้า เดินมาตั้งนานไม่ยักเจออะไรที่แอนนากับชาลีเตือนเธอ พริมหยิบขวดน้ำที่ห้อยอยู่ข้างตัวขึ้นมาจิบ ถ้าไม่นับความหวาดระแวงที่พริมสลัดไม่หลุด ทริปนี้ก็น่ารื่นรมณ์พอควร ลาคแลนแบกของจำนวนมาแทนพริม ต้ังแต่เตนท์ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องครัวพกพา ในเป้ใบใหญ่ที่พริมสะพายอยู่มีเพียงสัมภาระส่วนตัว เสื้อผ้า น้ำ และของว่างนิดหน่อย พริมวาดฝันถึงมื้อเที่ยงที่จะได้ทอดเบคอนบนยอดเขาพร้อมทิวทัศน์ระดับโลก แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาเลือกปักหลักที่ในหุบเขาเนื่องจากต้องการแนวเขาที่กำบังลมและแหล่งน้ำ

    พวกเขาติดตั้งเตนท์เรียบร้อยบนลานที่ไม่กว้างมากนัก บริเวณรอบๆ มีไม้พุ่มโอบล้อมชวนให้พริมรู้สึกอบอุ่น บางต้นมีดอกไม้เล็กๆ สีขาวดูน่ารักที่พริมไม่รู้จักชื่อ พริมนั่งมองผึ้งตัวอ้วนเกาะอยู่บนดอกไม้ใจลอยไปถึงความฝันบางอย่างที่พริมนึกไม่ออก 

    อยู่ดีๆ รอบตัวก็เงียบเชียบ เหลือเพียงพริมคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้แต่น้ำในลำธารก็หยุดนิ่ง พริมมองไปรอบๆ จากทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ค่อยๆ กลายเป็นป่าสนหนาทึบ เงาของร่มไม้มืดครึ้มจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า อากาศเย็นชื้นทำให้พริมหายใจลำบาก บรรยากาศเงียบงันเย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง

    หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพริมจากในป่าลึก เธอสวมเสื้อผ้าแปลกตา ใบหน้าคมเข้ม ดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมหยักโศกยาวเลยกลางหลัง ผิวสีน้ำตาล แต่รูปร่างผอมเรียว โครงหน้าเรียวเล็ก เหมือนลูกผสมระหว่างโพลินิเชียนและชาวยุโรป

    “สวัสดีพริม ฉันคือตัวแทนของหุบเขารังกิตาตา เหล่าวิญญาณในหุบเขาแห่งนี้ล้วนบอกเล่าเกี่ยวกับเธอให้ฉันฟัง พวกเราตกลงกันแล้วว่าเธอคือผู้ส่งต่อความแค้นของพวกเราที่มีต่อมนุษย์” หญิงสาวลึกลับกล่าว

    “เกิดอะไรขึ้นกับทุ่งหญ้าทัสซอครอบๆ กัน”

    “ป่าสนเหล่านี้คือสภาพก่อนที่มนุษย์จะเหยียบย่างเข้ามายังสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่าเอาทีอารัว (Aotearoa) เซ็นทรัลโอทาโก้เป็นพื้นที่ป่าสนเขียวฉอุ่ม แต่เมื่อมนุษย์รู้จักไฟ เขาก็ใช้มันทำร้ายเซ็นทรัลโอทาโก้ จนกลายเป็นภูมิภาคที่แห้งแล้งที่สุดในนิวซีแลนด์ และระบบนิเวศของ southern alps ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูจากการเผาไหม้ ภูมิศาสตร์ของดินแดนแห่งนี้จึงเปลี่ยนไปตลอดกาล”

    ทันใดนั้นรอบตัวของพริมก็เกิดไฟลุกท่วม ป่าสนกลายเป็นทะเลเพลิง เสียงของนกหลากหลายชนิดกรีดร้อง พริมทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้กำลังเกิดขึ้นในความเป็นจริง แต่ไฟก็โหมกระหน่ำจนน่าหวาดหวั่น เงาของนกนานาชนิดทั้งบินและเดินเท้าเข้ามาล้อมรอบพริม เบื้องหลังเป็นไฟไหม้ลุกโชน เงาของสัตว์เหล่านั้นยืดยาวบิดเบี้ยวตามเปลวเพลิง พริมทำอะไรไม่ถูก

    ชาลีในร่างของกวางเดินมาข้างๆ เธอ เสียงของเขาดังขึ้นกึกก้องไปถึงหญิงสาวลึกลับคนนั้น 

    “รับน้องให้มันเบาๆ หน่อย เพื่อนฉันกลัวหมดแล้วเห็นไหม” ชาลีกล่าว

    “ได้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมาหน่อยแล้วทำซ่าหรือ เจ้ากวางแดง”

    “ฉันเองก็โกรธแค้นมนุษย์ไม่ต่างจากเธอหรอกมีอา แต่เรานำป่าสนกลับมาไม่ได้แล้ว นิวซีแลนด์เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล และถึงแม้เราจะนำป่าสนกลับมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็เก็บรักษาผึ้ง bumblebee ที่สูญพันธุ์ไปจากอังกฤษไว้ที่นี่ได้นะ”

    “แหงสิ เพราะพวกมนุษย์คนขาวมันเอาพืชและสัตว์มาด้วยตอนล่าอาณานิคม มันพยายามจะเปลี่ยนดินแดนนี้ให้เป็นเหมือนสหราชอาณาจักร แต่ดันโง่ทำผึ้งสูญพันธุ์ในบ้านเกิดของตัวเอง” เสียงของมีอาเกรี้ยวกราดกึกก้อง

    พริมคิดอะไรไม่ออก เธอเองก็เป็นคนอพยพ ทุกคนบนแผ่นดินนี้คือคนอพยพ ยกเว้นนกโมอากับนกกีวี่ จะให้เธอทำอย่างไร 

    “ไว้พบกันใหม่ พริม” มีอากล่าวลา

    ป่าสนรอบๆ ตัวค่อยๆ จางหายไป ทุ่งหญ้าทัสซอคอันแห้งแล้งกลับมาเยือนอีกครั้ง พริมได้กลิ่นเบค่อนหอมโชยมาในอากาศ เสียงน้ำมันเดือดปะทุดังอยู่ใกล้ๆ ลาคแลนกำลังทอดไข่และเบค่อนบนกระทะพกพาและเตาแก๊สอันจิ๋ว แม่รี่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าเตนท์ของเธอ สตีฟกับเจคหายไปแล้ว

    “นั่งเหม่ออะไรอยู่ตั้งนานน่ะพริม ฉันเรียกก็ไม่ตอบ” ลาคแลนถามเมื่อในที่สุดพริมก็เดินมานั่งข้างๆ เขา

    “ฉันเผลอคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” พริมตอบเบาๆ

    ดอกไม้สีขาวกอเมื่อครู่ยังคงงดงามสดชื่นเช่นเคย เจ้าผึ้งตัวอวบอ้วนหายไปแล้ว

    “นี่ ลาคแลน ที่นี่เคยเป็นป่าสนมาก่อนหรอ” พริมถามขึ้นมา

    “ใช่แล้วล่ะ จนกระทั่งชาวเมารีเริ่มมาลงหลักปักฐาน เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ป่าก็ค่อยๆ ร่อยหรอ พอคนอังกฤษมาสร้างอาณานิคม เอาสุนัข แมว ม้า วัว พอสซัมมา ทุกอย่างก็เลยยิ่งดิ่งลงเหว ระบบนิเวศแทบล่ม พื้นที่ป่าสนหดหาย จนมันปลายเป็นทุ่งหญ้าทัสซอคแห้งๆ อย่างที่เห็นนี่แหละ”

    “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ภาพจำของนิวซีแลนด์คือดินแดนที่เป็นสวรรค์ของธรรมชาติที่สมบูรณ์มากแท้ๆ”

    พริมตกอยู่ในห้วงของความคิดตัวเองอีกครั้ง มนุษย์ทุกคนก็ดูเหมือนจะรู้ว่าสิ่งที่มนุษยชาติทำส่งผลกระทบต่อธรรมชาติอย่างไรบ้าง แต่ก็ดูไม่ได้เดือดร้อนกับมันสักเท่าไหร่ พริมไม่แน่ใจว่าเธอจะบอกเล่าและส่งต่อความแค้นของสรรพสิ่งในหุบเขาแห่งนี้ต่อไปอย่างไร




    ยามบ่าย ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ พริมออกมาเดินเล่นรอบๆ กับลาคแลน แมรี่นั่งขัดปืนยาวอันใหญ่หน้าตาน่ากลัวอยู่คนเดียว เจคกับสตีฟยังไม่กลับมา ลาคแลนมองเธอแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว หรือว่าเขารู้ว่าเธอสื่อสารกับวิญญาณสัตว์และพืชในหุบเขาแห่งนี้และอยากบอกเลิกกับเขาเพราะครอบครัวแปลกๆของลาคแลน

    “พริม ฉันมีอะไรจะบอก” ลาคแลนพูดจาอึกอัก พริมมองหน้าของเขา แววตาดูรู้สึกผิด

    “มีอะไรหรอ” พริมกลั้นหายใจ

    “ฉันขอโทษที่พาเธอมาที่นี่ จริงๆ แล้วเราไม่ควรต้องมาทำอะไรแบบนี้กันเลย” 

    “ทำอะไร ฉันไม่เข้าใจ ลาคแลน” หัวใจของพริมเต้นเร็วขึ้น

    เขาส่งมีดยาวครึ่งฟุตอันนึงให้เธอ “เก็บไว้ เธออาจต้องใช้”

    คำพูดของแอนนาและชาลีที่เตือนให้เธอไม่ไว้ใจครอบครัวของลาคแลนดังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ ลาคแลนยังคงมีสีหน้ารู้สึกผิด

    “ถ้าหากจำเป็น เธอหนีไปที่ร้านพิซซ่าระหว่างทางไปโบสถ์วันนั้นนะ จำทางได้ใช่ไหม” ลาคแลนย้ำอีกครั้ง

    ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงกว่าเดิม เกือบจะลับทิวเขาที่ปลายตา

    “อย่าลืมไฟฉายด้วยนะ” ลาคแลนกล่าวทิ้งท้าย

    พวกเขาเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้สนามหน้าเตนท์อีกครั้ง ลาคแลนเปิดกระป๋องเบียร์สเปตยี่ห้อโปรด

    พริมมองมีดเล่มยาวในมือ ความหวาดหวั่นในใจบอกให้เธอหนีไปตอนนี้เลย แต่แมรี่ เจค และสตีฟกลับมาแล้ว พวกเขามองเธอด้วยสายตาเย็นชา พริมเก็บมีดไว้ที่กระเป๋าเป้ข้างตัว


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in