เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
alone in the mountainsnichised
คำเตือน
  • พริมลืมตาตื่นขึ้นมาสู่เช้าวันใหม่ด้วยความเคว้งคว้าง พยายามเรียบเรียงความรู้สึกของตนเองจากความฝันเมื่อคืน ลาคแลนไม่อยู่ที่เตียงข้างตัวเธอแล้ว เขาส่งข้อความมาหาเธอทางเมสเซนเจอร์ว่าออกไปจัดการรั้วของเขตล่าสัตว์กับเจคอีกเช่นเคย เหมือนกับว่าจริงๆ แล้วเหตุด่วนที่เจคกลับมาเยี่ยมบ้านท่าทางจะเป็นการช่วยงานพ่อของเขาเสียมากกว่า ตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา พริมไม่ได้รู้สึกว่ามีความจำเป็นอะไรที่ลาคแลนจะต้องพาเธอมาเยี่ยมในช่วงเวลานี้เลยสักนิด

    พริมบิดขี้เกียจ เหยียดแขนขาให้หายเมื่อย เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เดินไปยังห้องนั่งเล่นเห็นแมรี่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ พริมจึงเดินไปที่ห้องครัว วันนี้อาหารเช้าไม่ได้มีอะไรพิเศษ บนเคาน์เตอร์ห้องครัวมีกล่องซีเรียล โยเกิร์ต นม พีชเชื่อมวางอยู่ พริมจัดการผสมแต่ละอย่างเข้าด้วยกัน กดกาแฟดำ แล้วนั่งทานเงียบๆ ที่โต๊ะเล็กๆ ในห้องครัวข้างหน้าต่างบานใหญ่บานเดิม

    ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใส แดดยามสายทำให้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดเท่าที่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นได้ พริมรู้สึกอยากออกไปข้างนอก เมื่อเก็บจานอาหารเช้าและแก้วกาแฟของตนเรียบร้อย จึงเดินไปหยิบกล้องในกระเป๋า บอกแมรี่สั้นๆ ว่าจะออกไปข้างนอก แมรี่พยักหน้า ไม่ตอบคำ แต่มองเธอด้วยสายตาครุ่นคิด พริมรู้สึกไม่สบายใจอย่างไม่มีเหตุผล พริมรู้ความคิดของผีบ้านนี้มากกว่าความคิดของคนในครอบครัวนี้เสียอีก

    วันนี้พริมใส่รองเท้าหุ้มส้นสำหรับเดินป่าเตรียมพร้อม ตั้งใจว่าจะเดินเล่นเข้าไปในหุบเขารอบๆ แม่น้ำ แต่จากคราวก่อนที่เดินไปทางทิศตะวันตก วันนี้เธอเดินมาทางทิศตะวันออก พระอาทิตย์ส่องแสงแยงตาจนพริมต้องควานหาแว่นกันแดดมาใส่ กล้องที่สะพายอยู่เริ่มกวัดแกว่งตามจังหวะเดินเตือนเธอถึงการมีอยู่ของมัน

    ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปไม่มากนัก พริมเดินมาหยุดยืนข้างไม้ยืนต้นสูงใหญ่ต้นหนึ่ง ใบแหลมเรียวเล็ก มีหนาม สูงกว่าพริมหลายช่วงตัว เหมือนว่าจะเป็นต้นคานูก้า พริมพยายามเสิร์ชหารูปของต้นไม้ชนิดนี้ในมือถือ แต่อินเตอร์เน็ตก็ใช้งานไม่ได้เหมือนเคย เมื่อพริมเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น จึงมองเห็นผู้หญิงรูปร่างใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นที่พริมตัดสินใจแล้วว่ามันคือต้นคานูก้า เธอคนนั้นหน้าตาเหมือนชาวโพลินีเชียน พริมทึกทักเอาว่าเธอเป็นชาวเมารี แต่แถวนี้ไม่น่ามีคนเมารีอยู่มานัก ดูจากประชากรที่โบสถ์วันก่อน

    “ขอโทษที่รบกวนนะคะ คุณเป็นคนแถวนี้หรือเปล่าคะ ฉันชื่อพริม พอดีผ่านมาแถวนี้” พริมถามอย่างลังเล

    ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองพริม ถามขึ้นมาด้วยเสียงยานคาง “นักท่องเที่ยวหรอ”

    “เอ่อ จะเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ” พริมพยายามตอบสั้นที่สุดเพื่อตัดปัญหา

    ผู้หญิงคนนั้นยิ้มเย็น ขยับตัวเดินมาหาเธอ ส่วนโค้งเว้าในร่างกายชัดเจนแม้รูปร่างหนา ผิวสีน้ำตาล ตามแบบฉบับชาวโพลินีเชียน

    “อ้อ เธอพักอยู่กับครอบครัวนั้นสินะ” ผู้หญิงปริศนาบุ้ยใบ้ไปทางบ้านที่เธอพักอยู่

    “ใช่ค่ะ บ้านหลังนั้นเอง” พริมชี้ไปทางบ้านของพ่อแม่ลาคแลน ห่างออกไปไม่ไกลนัก 

    “อย่าไว้ใจพวกเขา ฉันบอกได้แค่นี้” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวพร้อมเดินหันหลังให้เธอกลับไปที่ต้นคานูก้า สะโพกส่ายน้อยๆตามจังหวะการเดิน ผมยาวดำหนาเป็นลอนใหญ่ยาวถึงสะโพก

    “ทำไม...ว่าแต่คุณเป็นใครคะ?” พริมเลิ่กลั่ก ถึงแม้ว่าสามวันที่ผ่านมาสัญชาติญาณจะบอกเธอว่าอย่าไว้ใจพวกเขาเช่นกัน แต่เธอเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร

    “ฉันชื่อคิริ คานูก้า ฉันเป็นวิญญาณประจำต้นไม้ต้นนี้”

    พริมยกมือลูบหน้า เอาอีกแล้ว นิสัยทักคนไปทั่วหาเรื่องให้เธออีกแล้ว

    “เอ่อ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ”

    ระหว่างทางเดินกลับพริมเลือกเดินตัดผ่านทุ่งหญ้า ไม่ได้เลาะไปตามถนนใหญ่ เมื่อสังเกตดีๆ เธอเห็นพอสซัมอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ มันหน้าตาหน้าเกลียดเหมือนหนูผีไม่มีผิด เมื่อพริมเดินไปเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจำนวนพอสซัมเยอะขึ้นจนผิดสังเกต มันค่อยล้อมวงเข้ามาหาเธอ มันส่งเสียงกรีดร้องแหลมดังระงม พริมเริ่มทำอะไรไม่ถูก ระหว่างที่กำลังคิดว่าวิ่งดีหรือไม่ เจ้ากวางชาลีก็วิ่งเหยาะๆ มาทางเธอ แล้วยืนขวางอยู่ระหว่างพริมกับพอสซัมยั้วเยี้ยบนพื้นและต้นไม้รอบด้าน

    เจ้ากวางดูเน่าเปื่อยน้อยลง เหมือนกับว่าวิญญาณของมันได้รับการซ่อมแซม มันส่งเสียงครางฮืดฮาดกลับไปยังพวกพอสซัม ก่อนที่พวกมันจะแยกย้ายหนีไป ชาลีหันมาทางพริมแล้วผงกหัวให้ พริมเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของมัน ทันใดนั้นเสียงของชาลีก็ดังขึ้นในหัวของเธอ

    “ไปเจอคิริมาแล้วสิ มีบุญวาสนาแล้วซ่าใหญ่เลยนะ” ชาลีทักทายอย่างร่าเริง

    พริมตกใจเมื่อปล่อยมือจากหน้าของเจ้ากวาง มันก็ทำเสียงโฮกฮากอีกครั้ง พริมเอื้อมมือกลับไปจับมันอีกครั้ง

    “ได้ยินที่คิริบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไว้ใจเจคกับแมรี่ ลาคแลนเองก็ด้วย” ชาลีย้ำกับเธออีกครั้ง

    พริมไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เรื่องนี้ถึงเป็นประเด็นขึ้นมา เหมือนกับว่าชาลีอ่านความคิดเธอออก

    “เราพูดเรื่องนี้กับเธอในอาณาเขตของพวกมันไม่ได้ โชคดีมากที่เธอเดินออกมาเที่ยวเล่นนอกบริเวณบ้านพวกนั้น ส่วนแอนนาก็ไปไหนไกลไม่ได้อีก โชคดีที่ฉันเป็นวิญญาณเร่ร่อน”

    พริมไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้มันคือเรื่องอะไรกันแน่ แล้วทำไมพวกเขาถึงบอกเธอตรงๆ ไม่ได้นอกจากให้ระวัง ทำไมต้องทำทุกอย่างให้เป็นปริศนา

    “แล้วพอสซัมเมื่อกี้มันคืออะไรกัน” พริมพยายามดึงตัวเองกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน

    “พวกนั้นน่ะหรอ ก็เศษซากความแค้นเหมือนกับฉันอย่างไรล่ะ เพียงแต่พอสซัมน่ะเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ที่นอกจากจะถูกล่าแล้ว ยังถูกเกลียดชังจากทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์พื้นถิ่นอีก มันคือจุดต่ำสุดของเศษซากวิญญาณความแค้น พวกมันถูกนำเข้ามาจากออสเตรเลีย แต่เพราะเอาตัวรอดเก่งและควบคุมยาก มันถึงสะสมพลังงานลบมากมายแบบนี้ คะแนนวีซ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เทียบได้กับผีน้อยคนไทยในเกาหลีได้เลย ก็คือการมีอยู่ของวิญญาณพวกมันผิดกฎหมายนั่นเอง”

    พริมมองมือของตนเองที่วางทาบบนใบหน้าของเจ้ากวาง ดวงตากลมใหญ่สีดำเงางาวจ้องกลับมา สัมผัสที่เธอรับรู้ได้เหมือนกับการวาดมือผ่านไอน้ำจากกาน้ำร้อน หรือเมื่อตอนที่เธอเดินผ่านหมอกหนาจัดในหน้าหนาวในเช้าวันทำงานอันเหนื่อยล้า

    “ขอบคุณมากนะ” พริมไม่แน่ใจว่าทำไมตนเองถึงกล่าวขอบคุณ ก่อนหน้านี้มีแต่สร้างเรื่องปวดหัวให้เธอแท้ๆ

    “ว่าแต่ทำไมร่างวิญญาณของนายไม่เน่าเปื่อยแล้วล่ะ” พริมถาม วาดมือผ่านเจ้ากวาง จากศรีษะด้านหลังไปถึงลำคอ

    “เพราะความแค้นของฉันมีคนรับฟังอย่างไรล่ะ ต้องขอบคุณเธอ เมื่อตอนนั้นที่ฉันหลั่งน้ำตาเป็นเลือด เหมือนกับว่าคำสาปจากความแค้นจะเบาบางลง”

    ท้องฟ้ามืดครึ้มอีกครั้ง อากาศในนิวซีแลนด์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้แหละ สิบก่อนนาทีท้องฟ้าโปร่ง สิบนาทีต่อมาก็ฟ้าครึ้มลมแรงได้

    “ฉันต้องไปแล้วล่ะ”

    “ไม่ต้องลาหรอก เดี๋ยวเราก็เจอกันอีก”

    พริมละมือของตัวเองออกจากใบหน้าของชาลี แล้วรีบจ้ำกลับบ้านเท่าที่ขาสั้นๆ ของเธอจะพอเธอไปได้


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in