นี่แหละครับ ไม่มากก็น้อยเราต่างโตมากับการด่ากันแบบนี้ การล้วงชื่อพ่อชื่อแม่คนอื่นได้เป็นภารกิจที่เราเคยภูมิใจ การพยายามปกปิดชื่อพ่อแม่ของเราเองก็เคยเป็นเรื่องสำคัญ แต่วันดีคืนดี เมื่อถึงวัยหนึ่ง การล้อชื่อพ่อชื่อแม่ก็หายไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ได้มีคนมาห้าม (เพราะถ้ามาห้ามก็จะล้อมึงแทน) แต่เหมือนว่าต่างบรรลุกันได้เองว่าการกระทำแบบนี้โคตรไร้สาระ การรู้ชื่อพ่อชื่อแม่คนอื่นไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น รู้ไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้ทำงานเร็วขึ้น หรือช่วยให้เราไม่สอบตกเลย แถมการสุ่มสี่สุ่มห้าล้อชื่อพ่อคนที่โตๆ กันแล้วก็อาจมีสิทธิ์โดนต่อยเบ้าตาแตก หรือหนักหน่อยก็ควักปืนขึ้นมายิงได้ง่ายๆ พอเห็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานล้อชื่อพ่อแม่กันจึงได้แต่กลุ้มใจ นึกเวทนาในอนุชนคนรุ่นหลังว่าโตมาจะเป็นคนยังไง (ก็คนอย่างมึงนั่นแหละ!)
แต่ถึงจะเป็นการกระทำที่ดูเด็กๆ พบได้บ่อยในรั้วโรงเรียน เราก็อาจมองอย่างโรแมนติกได้ว่าการที่เพื่อนพยายามคุ้ยหาชื่อพ่อชื่อแม่เรานั้นเป็นเพราะต้องการทำความรู้จัก อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเรา แต่ดันแสดงออกในแนวทางปากร้ายไปหน่อย (ใช่เหรอวะ...) ดูจากคำด่าสมัยนี้สิ ห้วนสั้นกระชับเหลือแค่ว่า สัส เชี่ย ห่า รีบไปตายที่ไหน หรือพ่อมึงตายเหรอ ซึ่งแม้จะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่มีการชี้เฉพาะตัวบุคคลอีกต่อไป เป็นการด่าแค่ให้พอสะท้าน ไม่มีการปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบเก่าก่อน เห็นแล้วก็เศร้าจัง (ผู้อ่าน: “กูควรเศร้าใจกับมึงก่อนนี่แหละ มาเศร้าอะไรเรื่องไม่ถูกล้อชื่อพ่อ”)
ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ก็มีผลดีบ้างเหมือนกัน
คนเราเมื่อโตขึ้นก็มีเรื่องให้จดจำมากมาย ต่อให้กินปลาหมดทะเลก็ต้องหลงลืมกันบ้าง ยิ่งกับคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันด้วยแล้ว กว่าจะคิดชื่อได้ผ่านไปแล้วสามวัน แต่กับบางคนนี่เห็นปุ๊บ นึกออกเลย ภาพในอดีตย้อนกลับมาเป็นฉากๆ เห็นแล้วก็ได้แต่ระลึกถึงประสบการณ์ในรั้วโรงเรียน วีรกรรมสมัยยังวัยรุ่น ช่วงเวลาที่ตบหัวกันเท่าไหร่ก็ไม่มีโกรธ ตะโกนด่ากันได้อย่างสนุกปาก
เสียอย่างเดียว ชื่อที่จำได้ดันไม่ใช่ชื่อของมัน
แต่เป็นชื่อพ่อชื่อแม่มันต่างหาก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in