เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
CULTURE STRIKE ไม่ไทยแลนด์ ทำแทนไม่ได้SALMONBOOKS
พ่อชื่ออะไร บอกกันได้ไหมคนดี

  • คำด่าของคนไทยมีหลายแบบ

    ที่ได้ยินกันบ่อยๆ ก็พวกเ_ี้ยห่าสารพัดสัตว์หรือคำเรียกอวัยวะเพศ ซึ่งถือเป็นคำด่าขั้นพื้นฐาน เหมาะเอาไว้ใช้เวลาต้องการด่าใครแบบไวๆ ให้เข้าใจกันเร็วๆ ว่ากูโกรธมึงมาก

    แต่ในบางเวลาที่ไม่เร่งรีบ เราคนไทยก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ขวนขวายหาคำใหม่ๆ มาใช้ด่าที่บางครั้งก็ลึกล้ำ จนคนฟังไม่เข้าใจว่ามึงด่ากูใช่มั้ย เช่น หวีไม่มีซี่ รถไม่มีน้ำมัน มาสคาร่าราคาถูก หรือมีการเล่นคำทำเอาศัพท์แสงธรรมดากลายเป็นถ้อยคำที่ใช้ทำร้ายจิตใจกันได้ จนเวลาใช้ปกติก็ต้องแก้ตัวว่ากูไม่ได้ด่ามึงนะ อย่างคำว่า ดีออก เป็นต้น

    ถึงอย่างนั้น คำด่าข้างต้นก็มีพลังทำลายล้างแค่ในระดับผิวๆ คือโดนกันจนชิน ได้ยินกันจนคิดว่าเป็นคำสามัญธรรมดา ด่าไปก็ไม่รู้สึกรู้สา บางคนหัวเราะตอบกลับถูกใจด้วยซ้ำ

    ต้องทำยังไงถึงจะด่าคนไทยให้เจ็บสะท้านได้?

    สถาบันครอบครัวเป็นสิ่งที่คนไทยเคารพมากครับ เปรียบไปแล้วก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห้ามใครมาว่าหรือลบหลู่ ถึงขนาดมีคำพูดทำนองว่า ‘ด่ากูได้ แต่อย่าด่าพ่อแม่กู’ ออกมา เพราะนอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติเราแล้ว ยังถือเป็นการกระทำที่ข้ามชอตไปดูหมิ่นบุพการีของเราอย่างมากอีกด้วย

    คนไทยส่วนใหญ่จึงร้อนรนเป็นพิเศษเมื่อเจอประโยคคำถามประเภท “พ่อ/แม่มึงตายเหรอ” เพราะนอกจากจะเป็นคำพูดที่กรีดแทงยิ่งกว่าการโดนเอามีดจ้วงแล้ว ยังทำให้เราดูไม่ทันคนเวลาตอบไปตามความจริงว่า “ก็เปล่านะ เมื่อเช้ายังนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่เลย” พอเริ่มรู้ความก็จะเข้าใจว่าแม่งไม่ได้ถามเพื่อความเป็นห่วงเป็นใย แต่นี่มันเป็นการซ่อนรหัสในภาษา ทำให้เรางุนงงว่าเมื่อกี้ทะเลาะกันอยู่ดีๆ ทำไมมันถึงมาอ้อมค้อมถามว่าพ่อแม่เราสบายดีมั้ยนะ ทั้งที่เมื่อแปลนัยที่ซ่อนอยู่ดีๆ ก็จะรู้ว่ามันกำลังด่าว่าที่เราทำตัวเลวทรามขนาดนี้ เป็นเพราะพ่อแม่มึงตายแล้วใช่มั้ย ถึงได้ไม่มีใครสั่งสอน!
  • เรียกว่าเป็นประโยคที่กระชับ ได้ใจความ มีพลังทำลายล้างสูง เป็นเหมือนการปลุกอารมณ์ดิบเถื่อนของมนุษย์ให้ตื่นขึ้นมา

    ถึงจะดูรุนแรง แต่คำทำนองนี้ก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มคำด่าขั้นพื้นฐานของคนไทยเหมือนกัน เป็นพวกชุดคำด่าลำดับต้นๆ ที่คนชอบนำมาใช้ นานวันเข้าก็กลายเป็นคำสบถติดปากที่เทียบเท่าได้กับ ‘Motherfucker’ หรือ ‘Son of a Bitch’ ของสากลโลก เมื่อมันกลายเป็นคำธรรมดา เวลาจะด่ากันให้แสบสันต์หัวใจจึงต้องหาทางออกใหม่ๆ ซึ่งคราวนี้ หวยก็ยังออกที่สถาบันครอบครัวเหมือนเดิม แต่แอดวานซ์กว่าหน่อย และพิเศษจนไม่มีคนชาติไหนทำ นั่นก็คือการระบุชื่อพ่อ เจาะจงชื่อแม่ของคนที่เราจะโจมตี

    อันที่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนริเริ่มประเพณีนี้

    สงสัยมากว่าคนผู้นั้นรู้ได้ยังไงว่าชาวไทยได้ยินชื่อพ่อชื่อแม่แล้วจะไม่มีความสุข ครั่นเนื้อครั่นตัว กระวนกระวาย คันปาก อยากจะหาชื่อพ่อไอ้คนนั้นมาเรียกมันบ้าง เพราะการใช้ชื่อพ่อแอ็กแท็กกันจะทำให้คนคนนั้นคลุ้มคลั่งเหมือนเวลากระทิงเห็นผ้าสีแดง พร้อมจะพุ่งเข้าใส่คนพูดอย่างไม่ไว้หน้า

    แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องดี (ที่จริง มันก็ไม่ดีตั้งแต่ย่อหน้าแรกแล้ว) ไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่คนไทยก็สืบทอดการล้อชื่อพ่อชื่อแม่มาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่นอกจากจะคอยบ่มเพาะให้ความรู้แก่เยาวชน ยังเป็นสถานที่ที่ทำให้ประเพณีนี้ถูกสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย

    หากเราไม่เข้าร่วม หรือทำตัวสงสารผู้ถูกล้อ ก็จะตกเป็นเป้าของสังคม โดนเพื่อนๆ จับตามอง หาว่าเป็นแกะดำ ทำตัวโลกสวยตั้งแต่เด็ก ไหนพ่อแม่มึงชื่ออะไร อ๋อ ประสานกับตวงพรนี่เอง โอเค งั้นกูล้อมึงแทนก็ได้ (ส่วนไอ้คนที่โดนก่อนหน้าก็จะมาร่วมวงล้อเราด้วย เพื่อที่คนจะได้ลืมๆ ชื่อพ่อมันไป) โอ้ นี่มันหลักการเดียวกับการล่าแม่มดชัดๆ เราจะทนอยู่ในสังคมแบบนี้ได้จริงๆ หรือ?

  • ในกรณีของผู้ล้อ การกระทำเช่นนี้ถือว่าสนุกมาก การล่วงรู้ชื่อพ่อแม่เพื่อนนั้นสำคัญราวกับรู้ว่าอาจารย์จะออกข้อสอบอะไร อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนถือไพ่เหนือกว่า แถมยังมีความบันเทิงตรงที่เราไม่ได้ล้ออยู่คนเดียว แต่มีเพื่อนทั้งห้องคอยเป็นลูกคู่

    ขณะที่คนถูกล้อ การถูกรู้ชื่อพ่อชื่อแม่นั้นเหมือนโลกกำลังจะแตก คล้ายกับการรู้ว่าจะมีอุกกาบาตชนโลก แต่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ ได้แต่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข แล้วการโดนเช่นนี้ก็น่ารำคาญมากๆ ลองนึกภาพสิครับว่าวันๆ เจอหน้าเพื่อนปุ๊บ แม่งเรียกชื่อพ่อเลย ไม่มีการเอ่ยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือจะขอยืมปากกาก็เรียกด้วยชื่อพ่ออีก คือปากหมาขนาดนี้ มึงอยากโดนปากกาจิ้มตาแทนมั้ย ลำพังโดนครั้งสองครั้งมันก็คงไม่ลำบากชีวิตเท่าไหร่ แต่บางคนนี่เจอหน้าเป็นไม่ได้ เรียกแต่ชื่อพ่อชื่อแม่ เรียกกันจนลืมไปแล้วว่าเราชื่ออะไร

    พอเป็นแบบนี้ สงครามขุดคุ้ยชื่อพ่อชื่อแม่จึงบังเกิด และเมื่อมีการตอบโต้ ศึกครั้งนี้ก็จะไม่จบที่การสงบศึก มึงเลิกล้อชื่อแม่กูแล้วกูจะเลิกล้อชื่อพ่อมึง แต่กลายเป็นการประกาศว่าต่อไปนี้กูจะล้อชื่อพ่อแม่มึงทุกโอกาส!

    ความที่สมองของมนุษย์เหมือนถูกออกแบบมาให้จดจำอะไรไร้สาระ เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม (รวมถึงทำไปทำไม) นี่ชอบนัก พวกทฤษฎีบทพีทาโกรัส หรือโครงสร้างแกรมมาร์ ฟิวเจอร์ เพอร์เฟ็กต์ คอนทินิวอัสเทนส์ นี่จดใส่มือเข้าห้องสอบเอา แต่ชื่อพ่อกับชื่อแม่เพื่อนนี่เหมือนถูกฝังเข้าไปในซีรีบรัมสมอง เวลาเจอเหตุการณ์อะไรที่สามารถเอาชื่อพ่อแม่เพื่อนเข้าไปมีเอี่ยวได้นี่ไม่รอช้าที่จะทำ จนบางครั้งก็สงสัยว่าสมองมึงมีแต่เรื่องพวกนี้ใช่มั้ย เรียนจบไปทำงานเป็นครีเอทีฟเถอะ สร้างสรรค์เหลือเกิน เช่น

    เข้าแถวเคารพธงชาติก็เอาละ “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อ ชาดดดดด (เน้นเสียง) เชื้อไทย เป็น ประชาาาาา (เน้นเสียง) รัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ ดำรงงงง (เน้นเสียง) คงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายยยย (เน้นเสียง ซึ่งอันหลังนี่พิเศษมาก ใช้หลักการกร่อนคำจาก ‘สมหมาย’ เหลือแค่ ‘หมาย’ นี่แหละ)” เรียกได้ว่าเป็นการร้องเพลงแบบมีชั้นเชิง มีการร้องเพลงสูงต่ำในระดับที่นักร้องโอเปร่าก็ทำไม่ได้ มีอินเนอร์ในเนื้อเพลงยิ่งกว่า อ๊อฟ—ปองศักดิ์ แถมแต่ละห้องเรียนมีโน้ตเพลงเป็นของตัวเองอีกต่างหาก (แล้วแต่ชื่อพ่อชื่อแม่ของสมาชิกในห้อง) ฟรีฟอร์มมากๆ จนประพันธกรระดับโลกมาเห็นเป็นต้องทึ่ง
  • หรือบางที เรียนๆ อยู่ แล้วชื่อพ่อใครดันผุดขึ้นมาในตำรา จากที่นั่งเรียนกันอย่างง่วงๆ ก็จะกลายเป็นเฮฮาปาจิงโกะ อ่านออกเสียงชื่อพ่อชื่อแม่กันใหญ่ (นี่มึงไปเรียนจริงใช่มั้ย)

    นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมนอกสถานที่ ทดลองเรียกชื่อบุพการีตามอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นการทดสอบสมาธิคนนั้นมากๆ ว่าจะหวั่นไหวหรือไม่ เพราะมันเรียกตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ตอนสั่งข้าวมันไก่ ตอนกำลังเข้าส้วม ตอนกำลังกลับบ้าน ตอนออกไปส่งงาน ตอนออกไปรายงานหน้าชั้น ตอนกำลังจีบสาว ฯลฯ

    เอาง่ายๆ คือฝั่งที่ล้อมันก็รุกเข้าใส่ตลอดเวลา ใช้สิทธิเสรีภาพที่ตัวเองมีกันอย่างเต็มที่ (ต้องบอกว่าชาวไทยเรียนรู้เรื่อง Free Speech กันได้เร็วมากๆ) แล้วโทนเสียงของแต่ละคนก็จัดเต็ม อารมณ์ล้วนๆ ทำให้การล้อที่ดูเหมือนว่าสนุกมีความรุนแรงราวกับระเบิดปรมาณู

    เห็นแบบนี้แล้วบางทีก็สงสาร (แต่ก็ร่วมล้อด้วยนะ...) เพราะการล้อพวกนี้บางครั้งมันก็เกิดปรากฏการณ์รวมหมู่ คือร่วมมือกันเป็นหมู่คณะ ล็อคเป้ามาเลยว่าสัปดาห์นี้จะล้อชื่อพ่อคนนี้นะ หากใครทนแรงเสียดทานไม่ไหว ก็ต้องหาวิธีตอบโต้ ซึ่งก็มีตั้งแต่วิธีเบสิคอย่างการไปหาชื่อพ่อชื่อแม่พวกมันมาล้อคืน หรือไม่ก็สร้างกลุ่มอำนาจใหม่ รวมพลังเป็นปึกแผ่น ก่อสงครามด่าบุพการี แต่ก็มีบ้างที่ฝั่งโดนกระทำทนไม่ไหว เริ่มหงุดหงิดที่พวกมึงไม่เคยเรียกชื่อที่พ่อกับแม่กูตั้งให้เลย สมองเสื่อมหรือไง วันๆ เอาแต่เรียกชื่อพ่อกู โดนหมัดกูเรียกความทรงจำสักหน่อยไหมสัส!

    ตัดภาพมา เข้าห้องปกครอง

    ยินดีด้วยพวกมึงได้เจอประสานกับตวงพรตัวจริงแล้วครับ
  • นี่แหละครับ ไม่มากก็น้อยเราต่างโตมากับการด่ากันแบบนี้ การล้วงชื่อพ่อชื่อแม่คนอื่นได้เป็นภารกิจที่เราเคยภูมิใจ การพยายามปกปิดชื่อพ่อแม่ของเราเองก็เคยเป็นเรื่องสำคัญ แต่วันดีคืนดี เมื่อถึงวัยหนึ่ง การล้อชื่อพ่อชื่อแม่ก็หายไปโดยอัตโนมัติ

    ไม่ได้มีคนมาห้าม (เพราะถ้ามาห้ามก็จะล้อมึงแทน) แต่เหมือนว่าต่างบรรลุกันได้เองว่าการกระทำแบบนี้โคตรไร้สาระ การรู้ชื่อพ่อชื่อแม่คนอื่นไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น รู้ไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้ทำงานเร็วขึ้น หรือช่วยให้เราไม่สอบตกเลย แถมการสุ่มสี่สุ่มห้าล้อชื่อพ่อคนที่โตๆ กันแล้วก็อาจมีสิทธิ์โดนต่อยเบ้าตาแตก หรือหนักหน่อยก็ควักปืนขึ้นมายิงได้ง่ายๆ พอเห็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานล้อชื่อพ่อแม่กันจึงได้แต่กลุ้มใจ นึกเวทนาในอนุชนคนรุ่นหลังว่าโตมาจะเป็นคนยังไง (ก็คนอย่างมึงนั่นแหละ!)

    แต่ถึงจะเป็นการกระทำที่ดูเด็กๆ พบได้บ่อยในรั้วโรงเรียน เราก็อาจมองอย่างโรแมนติกได้ว่าการที่เพื่อนพยายามคุ้ยหาชื่อพ่อชื่อแม่เรานั้นเป็นเพราะต้องการทำความรู้จัก อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเรา แต่ดันแสดงออกในแนวทางปากร้ายไปหน่อย (ใช่เหรอวะ...) ดูจากคำด่าสมัยนี้สิ ห้วนสั้นกระชับเหลือแค่ว่า สัส เชี่ย ห่า รีบไปตายที่ไหน หรือพ่อมึงตายเหรอ ซึ่งแม้จะมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่มีการชี้เฉพาะตัวบุคคลอีกต่อไป เป็นการด่าแค่ให้พอสะท้าน ไม่มีการปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบเก่าก่อน เห็นแล้วก็เศร้าจัง (ผู้อ่าน: “กูควรเศร้าใจกับมึงก่อนนี่แหละ มาเศร้าอะไรเรื่องไม่ถูกล้อชื่อพ่อ”)

    ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าการล้อชื่อพ่อชื่อแม่ก็มีผลดีบ้างเหมือนกัน

    คนเราเมื่อโตขึ้นก็มีเรื่องให้จดจำมากมาย ต่อให้กินปลาหมดทะเลก็ต้องหลงลืมกันบ้าง ยิ่งกับคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันด้วยแล้ว กว่าจะคิดชื่อได้ผ่านไปแล้วสามวัน แต่กับบางคนนี่เห็นปุ๊บ นึกออกเลย ภาพในอดีตย้อนกลับมาเป็นฉากๆ เห็นแล้วก็ได้แต่ระลึกถึงประสบการณ์ในรั้วโรงเรียน วีรกรรมสมัยยังวัยรุ่น ช่วงเวลาที่ตบหัวกันเท่าไหร่ก็ไม่มีโกรธ ตะโกนด่ากันได้อย่างสนุกปาก

    เสียอย่างเดียว ชื่อที่จำได้ดันไม่ใช่ชื่อของมัน

    แต่เป็นชื่อพ่อชื่อแม่มันต่างหาก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in