8 สิงหาคม 2562
ในใจมีเรื่องทุกข์ใจมากมายแต่หาทางออกไม่ได้ อยากออกจากบ้านแต่ไม่รู้จะไปไหน ตอนแรกคิดว่าอาจจะไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟแต่ฝนเหมือนจะตก อีกใจเลยว่าจะไปไหว้พระแม่อุมาที่วัดแขก แต่ตอนนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ 514 ผ่านไปแต่พอดีติดไฟแดงก็ไม่ได้ไปขึ้น นั่งอยู่แบบนั้น คิดแล้วคิดอีกไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายก็เดินไปขึ้น 514 ก่อนสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวนิดเดียว ขึ้นไปบนรถตอนแรกว่าจะไปวัดแขกเพราะ 514 คันนี้ผ่านสีลม แต่เปลี่ยนใจลงประตูน้ำแทนเพราะไม่ได้ไปไหว้พระพิฆเนศและพระตรีมูรตินานแล้ว ที่สำคัญวันนี้วันพฤหัสบดีด้วย ก็เสียค่ารถไป 25 บาท ความจริง 514 จะมีรถสีส้มและสีน้ำเงิน สีส้มจะถูกกว่า
ระหว่างเดินทาง พอมาถึงช่วงปลายๆ ลาดพร้าว มองฟ้าแล้วคิดเปลี่ยนใจจะลงต่อรถไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟดีไหม ลังเลๆ เพราะตระเวนไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นที่นี่ ชีวิตก็เหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็ไปตามแผนเดิมคือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประตูน้ำ
มาถึงประตูน้ำประมาณบ่าย 4 โมงกว่าๆ ก็ไหว้พระแม่อุมาตรงแถวป้ายรถเมล์หน้า Big C ก่อน แล้วเดินไปตึกเกษรพลาซ่า ชั้น 4 ซึ่งถ้าเดินขึ้นไปอีก 2 ชั้นจะเป็นที่ทำงานเก่า เข้าไปไหว้พระแม่ลักษมี ตอนที่เดินเข้าไปคนเยอะพอสมควร ก็คิดว่าอาจเพราะเป็นวันพฤหัสบดีหรือเป็นช่วงคนเยอะพอดี ก็ไหว้ขอพรเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่ทุกข์ใจ หาทางออกไม่ได้ เหมือนเรามีอะไรในใจก็ไปเล่าให้ท่านฟัง ก็ไหว้ด้วยธูป 9 ดอกแต่ไม่ได้จุดเพราะเขาห้ามจุดธูป แล้วก็ไปไหว้องค์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านหลังและศาลเจ้าที่ + ศาลตายายอีกด้าน ขอพรบอกเรื่องที่ต้องการและบอกเล่าทุกข์ใจหาทางออกไม่ได้ แล้วมานั่งพักแถวนั้นคนเดียว คืออายุก็เยอะแล้วแหละ และมีเรื่องในใจทุกข์ใจหลายอย่าง บอกใครหรือทำไรไม่ได้ก็ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และบอกความในใจออกไป
พอออกจากตึกเกษรพลาซ่า ตอนแรกว่าจะไปไหว้พระพรหม ไปยืนอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามถนนรอสัญญาณไฟแล้ว นักท่องเที่ยวก็เยอะมาก แต่ตอนลงรถเมล์ก็คิดว่าพระพรหมอาจไม่เมตตาเรา ตอนนู้นหลายเดือนก่อนมีเรื่องทุกข์ร้อนใจเรื่องงาน ว่าอยากทำงานนี้มาขอ ปรากฏไม่ได้พร้อมๆ กับเสียงานฟรีแลนด์ประจำอันเดียวที่มีไปอีกใน 2 สัปดาห์ต่อมา เลยยกมือไหว้จากฝั่งตรงข้ามแล้วเดินย้อนกลับไปที่องค์พระพิฆเนศและพระตรีมูรติ ตอนแรกก็จ่ายเงินทำบุญและเอาธูปจากที่เขามีแจก แต่อยากได้พวกมาลัยดาวเรือง พอเดินไปจะซื้อ คือแพงมาก พวงมาลัยดาวเรืองอย่างเดียว 60 บาท ถ้ามีธูปเทียน 70 บาท (ไม่แน่ใจ แค่รู้ว่าแพง) เลยย้อนกลับมาจ่ายเงินทำบุญหยอดตู้และเอาแค่ธูป 9 ดอกไปไหว้แบบไม่จุดเพราะเขาห้ามจุดและบทสวด ก็ขอเรื่องงาน, เรื่องเงินและเล่าเรื่องความทุกข์ใจให้ท่านฟัง ว่าเรามีเรื่องนี้นี้ หาทางออกไม่ได้ ทำไรไม่ได้ ไหว้พระพิฆเนศเสร็จก็ไปไหว้พระตรีมูรติต่อ ซึ่งตอนที่เดินไปดูพวงมาลัยดาวเรืองเมื่อกี้
ดูดอกกุหลาบด้วย เห็นคนเอาไปไหว้เยอะ คือดอกละ 10 บาท 9 ดอกหรือ10 ดอกนี่แหละ 100 บาท (ไม่แน่ใจ มองผ่านๆ เอาเป็นว่า แพงก็เลิกสนใจ) ก็ขอพรเรื่องงาน, เงินและบอกเล่าเรื่องทุกข์ใจหาทางออกไม่ได้ให้ท่านฟัง แล้วเดินไปนั่งแถวนั้นสักพัก แล้วเดินออกไปป้ายรถเมล์เพื่อจะกลับบ้าน แต่รถติดมาก รถก็ไม่มา ตอนแรกจะนั่งเรือ แต่ช่วงเลิกงานคนเยอะมาก เหนื่อย เลยเดินย้อนกลับมานั่งที่เดิมตรงแถวพระพิฆเนศ ก็ยกมือไหว้ขอพร บอกเรื่องราวทุกข์ใจอีกรอบเพราะไม่รู้ทำอย่างไรจริงๆ ตอนที่ไหว้ก็มีผู้หญิง + ผู้ชายคู่หนึ่งยืนขึ้น ผู้ชายก็เดินออกไปเงียบๆ แต่ผู้หญิงค้างนานมาก คือเรายกมือไหว้อยู่ ผู้หญิงก็เหล่มองมา แล้วทำท่าเสยผมแบบฉันสวย เชิดๆ คือเราก็พยายามเอนตัวยกมือไหว้ขอพรแต่ไม่มีสมาธิ แบบโมโห คือถ้าเรายืนขึ้นแบบนั้นหันมาเจอคนยกมือไหว้ซึ่งเราน่าจะขวางเขา เราคงรีบเดินหลบออกไป เพราะเขายืนบังองค์พระพิฆเนศพอดี กลายเป็นเรายกมือไหว้เขา เราเลยเอามือลง แบบหงุดหงิด คือเราขอพรๆ บอกเล่าเรื่องความทุกข์ใจเราจะจบแล้ว แล้วมาสะดุดเพราะผู้หญิงคนนี้ เสียสมาธิมาก จิตเราก็เสีย จนเขาเดินเชิดๆ ออกไปกับแฟนเขา เราเลยยกมือไหว้ต่อ แต่สมาธิเสียไปแล้ว ก็แอบหงุดหงิด
มีเรื่องทุกข์ใจมากมาย เครียด คือตกงานและมีปัญหาเรื่องส่วนตัวแบบหาทางออกไม่ได้เพราะเราทำผิดเองเลยเสียโอกาสต่างๆ และคนไม่ชอบเราเยอะ (เน้นเฉพาะคนที่เคยดีกับเรา ส่วนคนไม่ดีทั้งที่เราไม่เคยไปทำไรให้ สาปส่ง) ก็เลยนั่งอยู่แถวองค์พระพิฆเนศ นั่งมอง นั่งพูดเรื่องทุกข์ใจในใจและนั่งหลับ แต่เราก็นั่งหลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง เราก็สังเกตเห็นผู้หญิงข้างๆ เราฝั่งซ้าย หน้าตาน่ารักดี เล่นแชทอยู่ ตอนแรกเราคิดว่าภาษาญี่ปุ่นก็คิดว่าคนญี่ปุ่น เขานั่งขัดสมาธิบ้าง ชันเข่าบ้าง คือตอนแรกไม่ได้สนใจไรมาก แต่ตอนหลังสนใจเพราะเราก็นั่งนานมาก เบื่อ เครียด ทุกข์ใจไม่อยากกลับบ้าน อยากนั่งมีที่สงบๆ ไม่มีความสับสนวุ่นวาย เครียด แต่แถวนั้นคนก็เยอะ เดินผ่านไปมา แต่ไม่ได้สนใจกัน ตอนแรกๆ เราหลับตา คนฝั่งขวาก็พูดกับเพื่อนเรื่องความรักของเขา แบบให้ใจเดียวหรือไรคงไม่ใช่ บลา บลา ตอนแรกไม่ได้ฟังแต่มันนั่งใกล้เลยได้ยิน รู้สึกเครียดกว่าเดิมแต่สักพักพวกเขาก็ลุกไป เราก็นั่งหลับตาไปเรื่อยๆ ลืมตาก็สนใจมองพระพิฆเนศและมองผู้หญิงฝั่งซ้ายมือเรา ไม่รู้ทำไมเหมือนกันอยากทำความรู้จัก อยากทัก เขาก็ถอดรองเท้าเอาขาขึ้นที่ที่นั่งยาว เราก็ถอดรองเท้าแต่แรกเหมือนกัน นั่งขัดสมาธิ เท้าคางหลับตา ก็นั่งมองเขานั่งแชทเป็นพักๆ นั่งมองนั่นนี่ เราก็ไม่รู้เขารอใคร และไม่รู้ทำไมอยากทักทาย อาจเพราะเราเหงามาก ไม่มีเพื่อน นั่งคนเดียว อยากหาใครคุยด้วย แต่เรารู้เขาไม่ได้คนไทย เราก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ ก็คิดว่าจะทักไงดี แบบ HI หรือถามว่ารอใครอยู่เหรอ หรือแบบคุยด้วยจะแปลกๆ ไหม ซึ่งคงแปลก อยู่ๆ ไปทักเขา หรือน่าจะมีกระดาษจะได้เขียนภาษาอังกฤษให้ มือถือเราเป็น note มันเขียนในหน้าจอได้แต่ก็ยากอีกเพราะเขียนในหน้าจอมันคุมพื้นที่ลำบาก สุดท้ายเราก็นั่งหลับตาต่อ สักพักก็เหมือนเขาขยับตัว กระเป๋าเขาเลยเอนมาชนเรา แต่เหมือนเขาไม่สนใจ เราเลยแอบหงุดหงิดนิดนึง แต่ช่างมันเถอะ และไม่อยากคุยด้วยแล้ว หลับตาต่อ แต่สักพักเราลืมตา เห็นเขาหันมาขยับกระเป๋าออกจากตัวเรา แล้วยิ้มให้บอกว่า "Sorry" ยิ้มน่ารักมาก เราก็ไม่ได้ยิ้มต่อ แค่เออออแล้วหลับตาต่อเหมือนไม่สนใจ แต่ก็ต้องลืมตามาเขียนระบายความทรงจำว่าคนข้างๆ เรา ยิ้มน่ารัก เราอ่ะใจจริงอยากคุยด้วย คือถ้าเป็นคนไทยคุยง่ายๆ ไปแล้วว่าคุยด้วยได้ไหม? รอใครเหรอ? มาคุยแก้เบื่อระหว่างรอไหม? แต่เพราะเป็นต่างชาติ เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็แอบเหล่เขานั่งแชท นั่งมองนั่นนี่ เหม่อ เราก็มองไปรอบๆ มององค์พระพิฆเนศ มองฟ้า มองตึก และมองเขา อยากถ่ายภาพเขาเก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ไม่กล้า คือเขานั่งใกล้เรามาก ตอนกระเป๋ามาโดนเรา เราก็ไม่ขยับออกด้วยอ่ะนะ ตอนแรกๆ พยายามถ่ายภาพแนวนอนเหมือนเก็บพระตรีมูรติ เขาก็มองนะ แต่เราพยายามแล้วแต่มันไม่ติดเขา เราไม่กล้าถ่ายภาพเขา มันไม่โอเค แบบอยู่ๆ ไปถ่ายภาพเขาทำไม ก็เหงามั้ง อยากหาคนคุยด้วย อยากขอไลน์ แต่ก็คิดขอไปแล้วยังไง เขาจะคุยกับเราไหม? ว่าเราแปลกๆ ไหม? และคนมากมายเดินไปมา นั่งอยู่รอบๆ ถ้าเขาไม่คุยด้วย เราดูบ้าบ้าไหม ก็นั่งคิดแบบนั้น บางทีก็อยากคุยด้วย บางทีก็ทำไมคนที่เขารอไม่มาสักทีแบบจะได้ไป คือตอนแรกที่รอรถเมล์แล้วไม่มา รถติด เราก็กะมานั่งเล่นแถวนี้รอ 2 ทุ่มค่อยไปลงเรือฝั่งตรงข้าม
รอบดึกๆ คนไม่น่าเยอะและยิงยาวไม่จอดทุกป้าย แต่เราเปลี่ยนใจแบบให้เขาไปก่อนสิ เราค่อยไปแล้วกัน เราไม่อยากเดินจากไปก่อน เราจะให้เขาไปก่อน ไม่รู้สิ ตอนนั้นเหงา มีเรื่องทุกข์ เครียดในใจ อยากหาเพื่อนคุย แต่เราจะไม่ใช่คนที่เดินจากไปก่อนหรือไม่รู้สิ อาจจะยังอยากนั่งอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะเครียด ทุกข์ใจก็ได้
ตอนนั่งอยู่ เราก็คิดเรื่องที่เราทำผิดพลาดนะ อย่างเคยมีคนเคยยิ้มให้แล้วเราเดินผ่านไป มานั่งคิดเรื่องมิตรภาพ เรื่องที่เราเสียโอกาสบางอย่างไปหรือคิดถึงบางเหตุการณ์ว่าความจริงเขาคิดไงกันแน่ แบบนั่งมองคนมานั่งไหว้พระพิฆเนศ พระตรีมูรติ แล้วเราคิดว่าเราเป็นคนคนนั้น มองเราแบบนั้น เขาคิดไรในใจกันแน่ คือสมมติเราในตอนนั้นคือคนนั่งไหว้ และเขาในตอนนั้นคือเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็นั่งคิดไป แต่คงเหงามั้ง ผิดหวังกับชีวิตมั้ง ไม่รู้ทำไงมั้ง ก็เลยเอาเรื่องอดีตเก่าๆ เรื่องที่ผิดพลาดเองมานั่งคิด แต่ทำไรไม่ได้ นอกจากคิด คิด
นั่งๆ ไปจนสองทุ่มเศษ เราก็พยายามอยากถ่ายภาพเขา แต่เขานั่งใกล้เราเลยจะให้ไปยกมือถือถ่ายภาพก็ไม่ได้ เรารอให้เขาไปก็ไม่เดินไป แบบถ่ายข้างหลังก็ได้ และจะลงว่าบางทีเราก็อยากคุยกับใครสักคน และรอที่จะมีโอกาสคุยกับเขา แต่ก็ได้แค่รอเท่านั้น ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร
นั่งไปเรื่อยๆ ก็คิดแบบเราไปต่างประเทศและอยู่คนเดียว เราก็นั่งพัก ดูนั่นนี่ เห็นเขามีมือถือ 2 เครื่อง ชาร์จแบตอยู่ด้วย มองเท้าเขาที่มีแบบผ้าตาข่ายหุ้มเท้าไว้สีน้ำเงิน รองเท้าถอดอยู่ เราเลยถ่ายภาพรองเท้าเล่นๆ แอบเห็นทางหางตา เขาก็มอง แต่ไม่รู้ว่าเราบ้าไหม?
สุดท้าย นั่งไปเราก็แอบมองเขาเป็นพักๆ ไม่สนใจเป็นพักๆ แล้วก็เหลือบไปมองมือถือเรา คืออยากถ่ายภาพเก็บไว้แม้ไม่ได้ทัก จังหวะหนึ่งเขาหันหลัง เราเลยค่อยๆ เปิดกล้องเอน แต่เขาก็หันมามองแต่เราก็ทำเป็นไม่สน ถ่ายภาพได้มา 1 รูป แต่มุมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือเหมือนโรคจิต แต่แค่อยากได้รูป และเขาไม่ไปไหนสักที คือตอนแรกเอาแบบหันหลังก็ได้ อย่างที่บอกความทรงจำและเผื่อลงโพสต์ "บางทีเราก็อยากคุยกับใครสักคนที่เราไม่รู้จัก แต่พอมานั่งอยู่ด้วยกัน เขาอยู่คนเดียว เราอยู่คนเดียว ก็อยากหาเพื่อนคุย แต่ไม่กล้าทักออกไป กลัวเขามองเราแปลกๆ"...แต่หลังถ่ายภาพเขา เราก็มองไปที่อื่น ถ่ายพระจันทร์เล่นบ้าง เขาก็มองตามที่เราถ่ายพระจันทร์ แต่เราไม่อยากให้เขาคิดเราบ้าๆ ไปแอบถ่ายภาพเขาไง
เราก็ทำเหมือนไม่สนใจเขา คือไม่อยากให้เขาว่าเราบ้าหรือมีอะไรไหมไปแอบถ่ายภาพเขา มีจังหวะหนึ่งเขานั่งชันเข่าเอาหน้าเอนมาทางเรานั่ง แต่มองเหม่อๆ ไปไกลจากตัวเรา ตอนนั้นแว่บนึงคือทักเขาสิ แต่เราเมินไป เขามองไปทางนั้น เราเลยมองตามไปทางนั้น แป๊ปเดียวเขาก็หยิบกระเป๋าลุก คือก่อนหน้านั้นก็มีท่าทีลุกและมีโทรคุยกับใครสักคน เราก็เลยรู้ว่าเขาชาติอะไรจากภาษา คือไม่ได้รู้ภาษาจีนหรือญี่ปุ่น แต่ฟังรู้ว่านี่คือภาษาจีน แต่ตอนลุก เขามองมาทางเราแล้วยิ้ม เราก็ยิ้มตอบ แต่ในใจมีเสียงว่า "เดี๋ยวสิ" แบบคือขอไลน์ได้ไหม หรือคุยกันก่อนได้ไหมแต่เราไม่ได้พูดออกไป
เขายิ้่มให้เรา ยิ้มที่สดใสน่ารักจริงใจ เราก็ยิ้มตอบอัตโนมัติ ตอนเขาเดินผ่านเราไป เราก็พยายามเปิดกล้องมือถือ แต่มือถือเราห่วยกว่าจะเปิดได้ เขาก็ไปไกลแล้ว เลยได้แต่รูปเบลอๆ มา
เรามองตามไม่กล้าถ่ายภาพอีก กลัวเขารู้ เห็นเขาเดินไปนั่งใกล้ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็คิดว่าเพื่อนเขา แต่ต่อมาดูเหมือนไม่ใช่ มองไปเห็นเขานั่งคนเดียว ในใจแว่บเลยคือเขาหนีเราไหมแบบไม่นั่งใกล้เราแล้ว เหมือนเราดูแปลกๆ โรคจิตไหม เราเลยไม่กล้ามองเขาอีก แต่พอหันไปอีกที เขาหายไปแล้ว เราก็ยังนั่งที่เดิม แบบแค่นี้ก็ดูแปลกๆ พอแล้ว ตอนนั้นข้างซ้ายเราก็มีผู้หญิงอีกคนมานั่ง ตอนแรกไม่สนใจมอง มองพระพิฆเนศอยู่ แต่เหลือบไปเห็นผู้หญิงข้างซ้ายที่มาใหม่กำลังเซลฟี่ เราเลยลุกเพราะมันติดหน้าเราซึ่งสภาพขึ้นอืดมาก เดี๋ยวเขาเอาไปดูแล้วกลายเป็นกดติดวิญญาณ
เราก็เดินไปทางที่ผู้หญิงคนนี้นั่งแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เป็นทางออกไปถนนใหญ่ เราก็เดินไม่แน่ใจไปลงไปริมถนนใหญ่ มองซ้าย มองขวาก็ไม่เจอแล้ว เลยเดินกลับมาไหว้องค์พระพิฆเนศและพระตรีมูรติแล้วเข้าไปในห้าง เข้าห้องน้ำเพื่อจะกลับบ้านอันแสนไกลแล้ว
เดินออกมาเราก็ย้อนไปแถวที่นั่งหน้าองค์พระพิฆเนศอีก แต่ก็ไม่เจอเขาแล้ว เลยถ่ายภาพตรงจุดนั้นไว้แล้วกลับบ้าน
ความจริงเราอาจจำหน้าเขาไม่ได้แล้วก็ได้ จำได้แต่รอยยิ้ม มานั่งคิดบนรถเมล์
"บางทีต่อให้มีคนมากมายตรงนั้น เราก็ไม่ได้อยากคุยกับใคร อยากรู้จักใคร แต่บางทีเรากลับอยากคุยและรู้จักกับใครสักคน และคือคนคนนี้"...ไม่รู้ทำไม ก็ไม่ได้ถึงกับถูกชะตาหรือรู้สึกอะไร เพราะคนแปลกหน้ามาเจอกัน อีกอย่างเราชอบผู้ชายไม่ได้อยากคุยกับเขาเพราะไปชอบไรแบบนั้นด้วย แค่เราอยากคุย
หลายๆ ทีคือจังหวะและโอกาส ถ้าเราไม่ย้อนกลับไปและเลือกนั่งตรงนั้นก็คงไม่ได้นั่งใกล้กัน หรือเราเจอกันที่อื่น เราก็แค่ผ่านกันไป ตอนนั่งอยู่ มีช่วงหนึ่งเรามององค์พระพิฆเนศและบอกในใจ ทำความรู้จักเขาสิ แบบ Hi มาคนเดียวเหรอ มาคุยกันไหมฆ่าเวลา แต่เราก็ไม่ได้พูดกลัวเขามองแปลกๆ เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย ตอนมานั่งรถเมล์ก็จำได้เคยดูดวงตามเว็บเล่นๆ เขาบอกไปทำบุญจะเจอความรักหรือมิตรภาพ ซึ่งเราไม่ได้คิดไรตรงนี้มาก แค่ไปเพราะมีเรื่องทุกข์ หาทางออกไม่ได้ แต่เราก็ว่าดีแล้วไม่ทักเขาแม้อยากทัก เขาคงไม่อยากให้เราไปรบกวนไรเขา เราไม่รู้เขาเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ และเขาอาจมีเรื่องอะไรในใจก็ได้...แต่ความจริง ก่อนไป เขาก็ยิ้มให้เราแบบเฟรนลี่ แม้ไม่รู้เขาว่าเราบ้าไหม ที่เขาเดินจากตรงนี้ ไปนั่งตรงนั้น...แล้วหายไป...แต่ก็คิดเหมือนกันถ้าเป็นภาษาไทยคงลองทักดู ไม่ว่าเขาจะทักหรือไม่ทักกลับก็ตาม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in