เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หมูติดปีก STORYKittikorn Kitpaiboonchai
เมื่อความสุขของเรากลืนกินป่าของเรา
  •           หากพูดถึงธรรมชาติ หลายๆคนก็คงจะนึกถึงต้นไม้และถ้าหากนึกถึงต้นไม้ ก็คงหนีไม่พ้น สิ่งที่เรียกว่า “ป่า” คำว่าป่า ในความคิดของเรา ก็คงเป็นสถานที่ที่มีต้นไม้สีเขียวมากมายขึ้นรายล้อมกันเต็มไปหมด รวมทั้งสัตว์ป่าต่างๆ ป่านั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นควบคู่กับโลกใบนี้ อีกทั้งป่ายังเกิดมาก่อนที่มนุษย์จะเกิดมาบนโลกเสียอีกด้วย การเติบโตของยุคสมัย และพัฒนาการของมนุษย์ที่มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ป่ากลับเป็นสิ่งที่ไม่ได้เติบโตควบคู่ไปกับมนุษย์

    ในแต่ละวันสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้เติบโตและก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วทั้งสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ เทคโนโลยี และวิถีชีวิต แต่ละอย่างล้วนก้าวขึ้นมาได้นั้น ปัจจัยส่วนใหญ่มีมนุษย์อย่างเราๆเป็นตัวขับเคลื่อนด้วยเกือบทั้งหมด การเติบโตนั้นเกิดจากการที่มนุษย์ต้องการที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ๆและความสุขสบายในการใช้ชีวิต แต่บนความสะดวกสบายที่ว่า ดันกลายเป็นตัวบั่นทอนการเติบโตของป่าลงอย่างเห็นได้ชัด คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าไม่เคยเด็ดใบไม้สักใบ หรือต้นหญ้าสักต้น สำหรับบางคนแล้วอาจคิดว่านี่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ไม่เห็นเป็นไร ใครๆก็เคยทำ งั้นเราลองตั้งคำถามดูว่าทำไมการที่ยุคสมัยเติบโตขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนของป่ายิ่งลดน้อยลง

    เพราะว่าคำว่าไม่เป็นไรหรือการคิดน้อยเกินไปนี่แหละ ถือเป็นการกระทำเล็กๆที่ทำให้มันเริ่มก่อตัวขยายไปเรื่อยๆจนไปถึงปัญหาใหญ่ๆ มนุษย์เราทำลายป่าไปจำนวนมากเพื่อใช้ในการสนองสิ่งต่างๆให้แก่เรา ทั้งการตัดต้นไม้เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือไปจนถึงการแอบลักลอบบุกรุกป่าเพื่อตัดต้นไม้และนำไปขายเพื่อสนองตัณหาให้กับตัวเอง ในตอนนี้ป่าไม้ในบ้านเราลดลงแล้วเฉลี่ยปีละ หนึ่งร้อยล้านไร่ต่อปี

    ในขณะที่มีบางหน่วยงานที่เห็นคุณค่าของป่าขึ้นมา ก็ได้จัดแคมเปญต่างๆที่ชวนให้คนในประเทศหันมาช่วยกันปลูกป่า โดยการนำคนที่มีชื่อเสียงมาร่วมโครงการ และการใช้สัญลักษณ์มือเพื่อเป็นตัวช่วยปลุกจิตสำนึกในการรักป่าให้แก่หลายๆคน เราคงสังเกตได้ว่าก่อนหน้านี้ทางโลกโซเชียลมีการโพสรูปชวนให้มาปลูกป่าโดยมีการทำท่าประกอบซึ่งใช้มือชูห้านิ้วเป็นสัญลักษณ์แทนต้นไม้นั่นเองซึ่งก็มีคนที่สนใจอยู่จำนวนมาก แต่บนความสนใจนั้นกลับมีบางคนที่มองว่าเป็นเรื่องสนุก โดยถ่ายรูปและแสดงท่าโชว์ห้านิ้วเพื่อให้คนมากดถูกใจหรือให้คนมาคอมเมนต์ แต่การแสดงออกและการกระทำนั้นกลับสวนทางกัน โดยที่ต้องการจะตามกระแสแต่กลับไม่ได้มีจิตใจที่อยากจะรักษาป่าเลยแม้แต่น้อย

    นี่จึงเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่ามนุษย์เราต้องการที่จะอนุรักษ์ป่าจริงๆหรือเพียงแค่ต้องการจะแสวงหาความสุขให้แก่ตนเองแค่นั้น 


    และอีกปัญหาคือในช่วงฤดูร้อนที่เราก็มักจะบ่นกันว่าร้อน โดยปัญหาโลกร้อนที่หลายๆคนรู้และเข้าใจดีว่า สาเหตุทั้งหมดก็เพราะคนเรานี่แหละที่ทำให้มันเกิดซึ่งก็ได้แต่บ่นกัน แต่ก็ยังดีที่มีคนบางส่วนออกมาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่หากเราลองมองดูอีกด้านว่าถ้าปัญหาเช่น โลกร้อน น้ำท่วม ภัยแล้งไม่เกิดขึ้น เราจะยังมีการมาชวนคนปลูกต้นไม้หรือเปล่าเราจะยังออกมารณรงค์ให้ไม่ลักลอบตัดไม้ทำลายป่าหรือเปล่า?

    มนุษย์เรานั้นเห็นความสำคัญของป่าไม้ก็ต่อเมื่อมันส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตของเรา ก็เปรียบได้กับสำนวนไทยที่ว่า “วัวหาย ล้อมคอก” เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก่อนเราจึงค่อยออกมาแก้ไข แล้วทำไมเราถึงไม่ทำสิ่งที่มันดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปล่ะ นี่จึงเป็นสิ่งที่อาจยืนยันได้ว่า มนุษย์เราส่วนมากนั้นยังคงเห็นแก่ตัวกันอยู่เสมอมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าใจในธรรมชาติเข้าใจในป่าและเห็นความสำคัญของป่าอย่างแท้จริง

    มาถึงตอนนี้ เราลองตั้งคำถามอีกสักคำถามว่าหากไม่มีป่าเราจะยังอยู่อาศัยบนโลกใบนี้ได้อยู่หรือเปล่า ลองย้อนกลับมามองตัวเองว่าเราให้ความสำคัญกับป่าแค่ไหนหากเราเห็นความสำคัญแล้ว แค่เราหันมาใส่ใจในคุณค่าของป่าให้มากขึ้นปลูกต้นไม้ต้นเล็กๆและเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ แค่นี้ก็ถือว่าเราได้ช่วยปกป้องป่าไว้ได้แล้วแม้น้อยนิดก็ตาม


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in