กลับมาที่ตารางเรียนของน้องวัยมัธยม ฉันเกือบจะดีใจแล้วที่เห็นวิชาพระพุทธศาสนาหายไปจากตาราง โดยมีวิชาจริยธรรมที่ฟังดูเป็นกลางทางศาสนาเข้ามาแทนที่ แต่พอได้เห็นแบบเรียนที่ได้มาฟรีๆ (ไม่รู้ว่ากระทรวงฯแจก หรือมันรวมในค่าทำเนียน เอ๊ย! ธรรมเนียมอยู่แล้ว) ว่าเป็นหนังสือพระพุทธศาสนา ที่สอนซ้ำๆ เดิมๆ ทุกเทอมปี ว่าด้วยพุทธประวัติและหลักธรรม ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่างอะไรกับสมัยที่เราเรียนอยู่เลยเพื่อนฉันที่โรงเรียนใกล้วัดเล่าถึงสมัยเรียนว่า ทางโรงเรียนจะเชิญพระอาจารย์ให้มาสอนทุกเทอม โดยมีวิธีวัดผลคือสวดมนต์และนั่งสมาธิ ถามว่าประโยชน์ของมันคืออะไร? กล่อมเกลากิริยา? พักสายตา? ทำไมไม่ให้เรียนการแสดง การพูด หรือพัฒนาบุคลิกภาพแบบประเทศที่พัฒนาแล้วเขาทำกันล่ะ ไม่เห็นประเทศเขาจะบังคับเด็กมัธยมเรียนเรื่องศาสนาเลย หรือประโยชน์ที่แท้จริงของมันนี้คือใช้สวดไล่ผี? แล้วถ้าผีฟังภาษาบาลีไม่ออกล่ะ? อย่าว่าแต่ผีเลย ผู้เรียนผู้สอนเองจะมีสักกี่คนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ครูบางคนไม่ได้จบเอกบาลีสันสกฤตมาด้วยซ้ำ สภาพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ
แล้วระหว่างที่เด็กพุทธสอบเก็บคะแนน เด็กศาสนาอื่นทำอะไรนอกจากนั่งอยู่เฉยๆ ที่พวกเขาสอบผ่านมาได้ก็เพราะท่องจำไปสอบข้อเขียน โดยมีคำถามคาใจว่าทำไมกูต้องมาท่องจำอะไรที่กูไม่ศรัทธาวะ ถึงจะเป็นศาสนาประจำชาติ แต่พุทธประวัติแบบที่เราท่องจำกันเป็นตุเป็นตะในแบบเรียนก็เป็นรูปแบบการเขียนชีวประวัติบุคคลสำคัญตามวิธีคิดแบบฝรั่งที่มีมาเมื่อไม่นานนี้เองนะ เราถึงได้เคารพเชิดชูตัวบุคคลมากกว่าคำสอนไง แล้วอีกอย่าง เราควรเคารพความเชื่อของผู้อื่น ฉันเองเคยเรียนโรงเรียนคริสต์ แม้วิชาบังคับจะเป็นคริสต์ศาสนา แต่ก็ยังใจกว้างพอที่จะจัดกิจกรรมตามวันสำคัญทางศาสนาอื่นๆ ให้เด็กที่แตกต่างหลากความเชื่อได้ทำตลอด
ฉันไม่ได้ว่าการเรียนการสอนศาสนาไม่ดีและไม่มีประโยชน์ กลับกัน ฉันเชื่อว่า ทุกศาสนามีแง่มุมที่ตีความได้ว่าต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาวะเหนือธรรมชาติและคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
มนุษย์นำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เป็นจารีต ศีลธรรม แม้ภายหลังจะมีการตรากฎหมายบ้านเมืองขึ้นก็ตาม และเพราะไม่มีใครสามารถเชื่อมั่นและเข้าใจในทุกสิ่งได้ เราจึงต้องมีที่พึ่งทางใจ แต่ถึงกระนั้น หลายคนก็ยังไม่วายที่จะหาที่พึ่งทางอื่นอยู่ดี เช่น พวกที่ขูดหวยตามต้นไม้ จอมปลวก และสัตว์แปลกพิการ พวกบูชาเครื่องรางวัตถุที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตนแต่ก็พยายามโยงเข้ามาให้เกี่ยว พิธีกรรมที่พยายามเอาพุทธไปใส่ในพราหมณ์ รวมถึงความรักและศรัทธาในตัวบุคคลหรือองค์กรที่ผลิตสินค้าชื่อดังด้วย
อีกวิชาที่เรียนซ้ำไปซ้ำมา นั่นก็คือ ประวัติศาสตร์ไทย ที่นอกจากจะเรียนเพื่อให้รู้ที่มาที่ไปของเราแล้ว ยังเรียนเพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยม การสำนึกต่อบุญคุณของบรรพบุรุษ (เฉพาะที่มีอำนาจและบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่า) โดยไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงการเขียนประวัติศาสตร์เพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจในการปกครองคนในชาติ คนต่างจังหวัดหลายคนไม่รู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เพราะประวัติศาสตร์ชาติไทยสถาปนาขึ้นเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ถ้าประวัติศาสตร์โลกก็ว่าไปอย่าง มีให้เรียนตั้งแยะ ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมโกโรโกโสฮิปโปโปแมคคาเดเมีย พรมเปอร์เซียอะไรนั่น (เห็นรึยังว่าการศึกษาประวัติศาสตร์โลกในระดับประถมมัธยมไทยมันสำคัญแค่ไหน) ศึกษาเชื้อชาติ-ชนชั้นอื่นๆ ให้มาก เน้น Local และ Global ได้อีก เด็กไทยจะได้เข้าใจท้องถิ่นและต่างแดน รู้ทันสถานการณ์โลกกว่านี้ จะได้ไม่ไปล้อเลียนสีผิวเพื่อนต่างชาติ ไม่ไปลดทอนความเป็นคนของเพื่อนร่วมชาติด้วยการด่าคนด้วยกันเป็นสัตว์ และไม่ใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะพรรคนาซีเพื่อความโก้เก๋โดยไม่รู้ที่ไปที่มาเหมือนที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in