เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber | #Firthgrantsean and his nightmares
Experiment | ยิ้มของคุณสวยจัง
  • Day 19 : Experiment (ยิ้มของคุณสวยจัง) | #Novelber

    Author : Sean

    Pairing : Colin Firth x Hugh Grant


    *รีเมคจากเรื่อง Warm Bodies ครัช*

    ป.ล.มันยาวมากๆ ใช้เวลาเขียนอยู่สองวัน (เปล่า จริงๆแล้วอู้55555)

    ( แถมเพลงประกอบหนังด้วยเลย : Midnight City - M83 )







    ( Colin Firth's POV )




    ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่บนทางลาดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่ผมกลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เวลาเท่าไหร่ เดินแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว


    ผมรู้แค่ว่าผมต้องหาอาหารเท่านั้น



    ผมพยายามสื่อสารกับคุณว่าผมจะเป็นคนออกมาหาอาหารเอง

    นั่นใช้เวลาอยู่นานมาก กว่าคุณจะเข้าใจภาษาของผม



    คุณดำรงชีวิตด้วยการทานอาหาร แต่สำหรับผมนั้นสามารถอดอาหารได้เป็นเวลาเกือบๆเดือน

    แต่อาหารของเราต่างกันนิดหน่อย



    คุณเป็นมนุษย์ธรรมดาๆที่ดันรอดชีวิตจากการโดนมนุษย์อย่างผมอย่างผมตามล่า..

    อันที่จริง ผมเป็นมนุษย์ที่ตายไปแล้ว..หรือที่พวกมนุษย์หายใจได้เรียกว่า ‘ซอมบี้’ นั่นแหละ



    ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องช่วยคุณไว้ แต่เมื่อตอนที่ผมเห็นคุณทำสีหน้าหวาดระแวงอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมได้สัมผัสถึงบางสิ่งที่กระตุกอยู่ข้างในอกของผม


    ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นคืออะไร..แต่มันทำให้ผมรู้สึกดี..และนั่นสามารถทำให้ผมห้ามตัวเองที่จะไม่ทำร้ายคุณได้




    ผมเดินหักมุมเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง

    เท่าที่อยู่ในระยะสายตาของผม มันมีโต๊ะมากมาย บ้างก็ตั้งอยู่ บ้างก็ล้มระเนระนาด


    แต่ใครสน?


    ผมเหยียบมันผ่านไปโดยที่ไม่ได้กลัวถึงความเจ็บปวด เพราะผมไม่ได้รับรู้ความรู้สึกแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

    ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ และหยุดที่ตู้ๆหนึ่ง กลิ่นของมันดูเหมือนอาหาร..

    ใช่ ต้องใช่แน่ๆ ผมเอื้อมมือที่ค่อนข้างไร้ความรู้สึกขึ้นมาและหยิบสิ่งของที่อยู่ในนั้น แต่มันหยิบไม่ได้..


    ทำไมล่ะ


    ผมพยายามตะกุยสิ่งของที่อยู่ข้างหน้านั้น..


    แต่เดี๋ยวนะ-


    ความรู้สึกของผมกำลังบอกว่าสิ่งที่กั้นอยู่นั้นมันคือแผ่นบางๆที่แข็งแรงมากๆเลยล่ะ




    ภาพของคุณผุดขึ้นมาอีกครั้ง นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาผลักมือให้ผมตะกุยแรงขึ้นเรื่อยๆ..จนกลายเป็นทุบสิ่งของนั้นแทน



    “เพล้ง!” 



    เสียงของสิ่งๆนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆกระจายลงมาบนพื้น ไอเย็นจากสิ่งตรงหน้าปะทะของกับใบหน้าของผม 

    ผมจ้องมองหยดสีน้ำสีเขียวดำๆที่ไหลซึมออกมาจากหลังมือของตัวเอง แต่ผมไม่ได้สนใจมันหรอกนะ


    ผมหยิบกล่องๆนั้นที่อยู่ในตู้ทรงสี่เหลี่ยมออกมา ลองแกะมันดู



    “ฮืม...”



    กลิ่นเหมือนอาหาร– แต่มันไม่ได้หอมเหมือนเนื้อของมนุษย์..

    ผมถือมันไว้อย่างนั้นและหยิบกล่องที่เหลืออีกกล่อง


    หลังจากนั้น สมองของผมก็บอกว่า ได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ควรไสหัวกลับไปหาอีกคนที่รออยู่

    นั่นทำให้ผมเริ่มออกเดินกลับไปที่ที่ผมจากมาอีกครั้ง




    ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ


    บนหัวของผม รู้สึกได้ถึงหยดน้ำเล็กๆหลายๆหยดที่ตกลงมากระทบกับเสื้อที่ผมสวมอยู่

    ซึ่งมันซึมผ่านเสื้อของผมลงมาเรื่อยๆจนกระทบกับผิวหนังซีดๆของผม


    ผมหันไปมองยังที่มาของหยดน้ำเหล่านั้น ผมมองไม่เห็นที่มาของมัน

    แต่ผมรู้ว่ามันมาจากเมฆสีขาวๆที่อยู่เหนือหัวของผม


    ผมพยายามเร่งความเร็วของตัวเองเพื่อที่จะกลับไปยังโครงเหล็กขนาดใหญ่

    ที่ที่ผมบอกให้คุณรออยู่ตรงนั้น และเป็นที่ที่ผมใช้หลบหยดน้ำที่รินไหลลงมาจากท้องฟ้า




    ผมมองเห็นเจ้าโครงเหล็กนั่นอยู่ไม่ไกลจากที่ที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ผมเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น

    แต่มันก็เร็วกว่าเวลาที่ผมเดินไม่เท่าไหร่เอง



    ผมลูบๆคลำๆสิ่งที่อยู่ใต้ป้ายตัวหนังสือที่ผมไม่สามารถอ่านออกได้ ผมดึงเลื่อนสิ่งนั้นออก


    ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น .. ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นที่อยู่ภายในนั้นแผ่เข้ามากระทบกับตัวผม

    จริงๆแล้วผมเริ่มรู้สึกหนาวและรู้สึกเย็นได้เมื่อเร็วๆนี้

    คิดว่าคงรู้สึกแบบนี้ช่วงที่พบกับคุณแรกๆ นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ผมทึ่งมากๆเลยล่ะ



    “ฮ..เฮ้” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อโผล่หน้าเข้าไปข้างในนั้น

    แต่กว่าผมจะพูดจบร่างกายของผมก็ก้าวเข้าไปในนั้นเรียบร้อยแล้ว



    “คุณหายไปเกือบสองวัน” คุณที่นั่งอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมองผม- เจ้าสิ่งที่อยู่ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมที่คุณสวมไว้ ดวงตาของคุณคู่นั้นดูคล้ำหมองกว่าครั้งล่าสุดที่ผมเห็น


     “แล้วนั่นถืออะไรมา” คุณวางสิ่งของที่คุณถืออยู่ลงในกระเป๋าและลุกขึ้นเดินเข้ามาหาผม



    “อา..หาร” ผมพยายามเค้นคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอออกมา

    ผมยื่นกล่องสี่เหลี่ยมสองกล่องที่หอบอยู่ให้กับคุณ



    “แต่นี่มันอาหารแช่แข็งนะ ผมจะกินยังไงถ้าไม่มีไมโครเวฟ” คุณหยิบมันไปจากผมแล้วเปิดดูข้างใน



    “คือ..อะ..ไร” ผมหมายถึงทั้งหมดที่เขาพูดถึง

    ทั้งอาหารแช่แข็ง ทั้งไมโครเวฟ ศัพท์พวกนั้นเหมือนผมเคยได้ยินมาก่อนแต่ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันคืออะไร



    “เครื่องที่ทำให้ของพวกนี้อุ่นน่ะสิ” คุณพูดโดยที่ไม่ได้มองมายังผม



    “อุ่น?” ผมรู้สึกเหมือนคิ้วของตัวเองกระตุกขึ้นข้างหนึ่ง

    ผมดึงแขนเขาแล้วเดินลงไปข้างล่าง



    “เฮ้..จะไปไหนน่ะ ไหนบอกว่ามันอันตรายไง” คุณส่งเสียงดังจนผมต้องหันไปหาคุณและเอานิ้วชี้แตะไว้ที่ปาก



    “เงียบ..ถือไว้” ผมหมายถึงกล่องสี่เหลี่ยมที่คุณถืออยู่

    ผมดึงแขนคุณเดินตามหลังผมมาเรื่อย



    “นี่..จะไปไหน” คุณขยับเข้ามาชิดกับแผ่นหลังของผม



    “ไปหา..ความอุ่น” ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ

    เข้าไปในสถานที่ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆกับโครงเหล็กนั่น “ใน..นี้”



    “เบาๆหน่อย ผมเจ็บนะ” คุณพยายามดึงแขนของตัวเองกลับ

    ผมปล่อยแขนคุณและเปลี่ยนไปจับฝ่ามืออุ่นๆนั่นแทน ซึ่งนั่นทำให้คุณจ้องท้ายทอยผมเขม็ง



    “ตามมา..” ผมพยายามข่มเสียงตัวเองให้เงียบที่สุด “อยู่..นั่น”

    ผมหยุดและชี้ไปยังแท่นที่ผมกับเพื่อนซอมบี้อีกคนเคยนั่งด้วยกัน



    “นั่นมันบาร์นี่” คุณปล่อยมือผมแล้วเดินตรงเข้าไปหาสิ่งที่เรียกว่าบาร์ “คุณรู้ได้ไงว่าที่นี่มีไมโครเวฟ”



    ผมขี้เกียจพูดเลยยักไหล่แทน–

    แต่จริงๆแล้วผมเคยหมุนๆเล่นแล้วเจ้านี้ก็มีไอร้อนออกมา นั่นแหละคือคำตอบของผม



    “งั้นช่างมันเถอะ” คุณมองเห็นผมยักไหล่ แล้วส่ายหัวเบาๆ

    คุณใส่เจ้ากล่องนั่นเข้าไปในเครื่องสี่เหลี่ยม คุณปิดแล้วหมุนปุ่มนั่นที่ผมเคยหมุน



    ผมเดินเข้าไปหาคุณที่ยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเรา



    “ไม่ยักจะรู้ว่าที่นี่ยังมีไฟฟ้าเหลืออยู่” คุณพูดเมื่อเห็นผมยืนอยู่ข้างๆ



    “ไฟฟ้า..คืออะไร” ผมยักไหล่อีกครั้งแล้วหันไปมองที่คุณ



    “ไฟฟ้าก็คือสิ่งที่ทำให้ไมโครเวฟหมุนไง” คุณหันมาอธิบายในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ



    “ของ..กิน” ผมเปลี่ยนเรื่อง- เค้นคำพูดออกมาจากลำคอที่แห้งผาก “ อร่อย..ไหม”



    “ไม่รู้ ยังไม่ได้กิน” คุณตอบแล้วเลื่อนมือที่ห้อยอยู่ข้างตัวขึ้นมาค้ำเอวตัวเองแบบที่ชอบทำเป็นประจำ



    “ขอกิน..ด้วยสิ” ผมจ้องมองไปยังกล่องสี่เหลี่ยมที่หมุนอยู่ในนั้น



    “ไม่ยักจะรู้ว่าคุณกินของแบบนี้ได้ด้วย” คุณหันมามองทางผม

    คุณเอียงคอและมองผมด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ



    “ไม่รู้ ยังไม่เคยกิน” ผมตอบ

    แล้วคุณก็มองผมกลับด้วยสายตาแบบ pissed off




    ทั้งผมและคุณต่างยืนมองเจ้าสิ่งที่หมุนอยู่ในนั้นอยู่นาน และสุดท้ายก็มีเสียง ติ๊ด! ดังขึ้นมา


    กล่องนั่นหยุดหมุนแล้ว




    “มัน..หยุดแล้ว” ผมพูดแล้วหันไปมองที่คุณ



    “ก็แสดงว่ามันกินได้แล้ว” คุณเปิดฝาของเครื่องสี่เหลี่ยมนั่นออก

    คุณกำลังจะหยิบสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา แต่กลับหยุดชะงักและมองหาอะไรบางอย่าง



    “หา..อะไร..อยู่” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณทำกิริยาแปลกๆ



    “มันร้อน..ผมต้องหาอะไรมารอง” คุณบอกผม



    “ต้อง..ใช้อะไร” ผมรู้ว่าหน้าที่ของผมคือต้องหาของสิ่งนั้นช่วยคุณ

    แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องหานั้นคืออะไร



    “อะไรก็ได้ที่เป็นฉนวนไฟฟ้า...ที่ไม่นำความร้อนน่ะ” ผมขมวดคิ้ว- ทำไมต้องพูดอะไรที่มันเข้าใจยากๆด้วย



    “อันนี้..ได้ไหม” ผมชี้เสื้อของตัวเอง



    “ได้ แต่จะดีเหรอ” คุณเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเหมือนต้องการถามเพื่อความแน่ใจ



    “ได้..” ถ้ามันทำให้คุณสบายขึ้น- ผมต่อคำนั้นในใจเพราะเหนื่อยจะพูดมันออกมา



    “งั้นก็ถอดมันออกมา” คุณบอกผม- ผมดึงคอเสื้อที่ผมสวมอยู่ดัง แควก!

     


    “เห้ย! ไม่ใช่ถอดแบบนั้น” คุณดึงมือผมไว้ “ใครพาถอดแบบนั้นเล่า”

    คุณเลื่อนมือไปที่ชายเสื้อของผมแล้วดึงมันย้อนขึ้นกลับมาทางหัวของผม

    “แบบนี้เขาเรียกถอดเสื้อ เมื่อกี้ที่คุณทำน่ะเขาเรียกฉีกเสื้อ”



    “ฉีกเสื้อ?” ผมสงสัยจริงๆนะไอ้คำนี้น่ะ..ว่ามันคืออะไร



    “เหมือนที่คุณฉีกเนื้อมนุษย์ไง” คุณพูดพลางเอาเสื้อผมของผมไปรองมือตัวเองกับกล่องสี่เหลี่ยมนั่น

    คุณหยิบมันออกมา



    “ผม..กินต่างหาก” ผมอธิบาย



    “ก่อนกินคุณก็ฉีกนั่นแหละ” คุณถอยออกมาจากสิ่งที่คุณเรียกว่าไมโครเวฟ

    “เอาล่ะ พาผมกลับไปที่เครื่องบินที ผมต้องไปตรวจสอบยาต่อ”



    “โอเค” ผมตอบตกลง

    และเดินเข้าไปหาคุณเพื่อที่จะจูงมือ



    “ไม่ต้องจูง เดินเองได้” คุณบอกผม นั่นทำให้มือของผมค้างอยู่บนอากาศ



    “ก็ได้” ผมเดินนำคุณไปยังทางออกของที่นี่ ตรงไปยังสิ่งที่เขาเรียกว่าเครื่องบิน




    ผมไม่ได้พูดอะไรและเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร ผมเปิดทางเข้าเครื่องบินนั่นให้เขาเข้าไปก่อน และปิดมันไว้เหมือนเดิม


    คุณเดินไปนั่งลงที่พื้น ผมเดินไปนั่งลงตามคุณ




    “ขอบคุณ” เขากล่าวถ้อยคำนั้นออกมาแล้วยื่นเสื้อให้กับผม ผมรับไว้

    ผมจ้องมองเขาเปิดสิ่งที่ครอบกล่องสี่เหลี่ยมนั่น

    เขาหยิบสิ่งที่ติดอยู่กับกล่องออกมา และหมุนมันเข้ากับเส้นในอยู่ในกล่อง



    “มองอะไร ใส่เสื้อสิ” คุณพูดทั้งๆที่เส้นพวกนั้นเต็มปาก “อยากกินด้วยหรือไง”



    “ผมกิน..ไม่ได้..” ผมส่ายหัว “กลิ่นมัน..ไม่เหมือน..มนุษย์”



    “ลองกินดู” คุณม้วนๆเส้นนั่นอีกครั้งแล้วยื่นมาข้างหน้าผม



    “ไม่..เอา” ผมส่ายหัวเร็วขึ้นแต่คุณก็ยังจ้องหน้าผม และไม่มีวี่แววว่าจะล้มเลิกความคิดนั้น

    สุดท้ายผมก็ยอมอ้าปากและงับสิ่งที่คุณยื่นมาข้างหน้า



    “แหยะ..” ผมเคี้ยวๆแล้วรีบกลืนลงคอ กลิ่นมันค่อนข้างเหม็นเลยล่ะ “ไม่อร่อย..”



    “ใครบอก อร่อยจะตาย ของพวกนี้ช่วยชีวิตผมนะ” คุณไม่สนใจผมแต่กลับก้มหน้าก้มตากินสิ่งที่อยู่ในมือ 


    “ตอนผมไปอีกฝั่งของเมืองนี้เพื่อฉีดวัคซีนให้กับมนุษย์ที่รอดจากซอมบี้ ผมก็มีของพวกนี้แหละประทังชีวิต” คุณเริ่มเล่าเรื่องเหมือนคุณไม่สนใจแล้วว่าผมจะเข้าใจคุณทุกคำพูด- แต่มีคำหนึ่งที่ผมรู้สึกสนใจ



    “ช่วย..ชีวิต?” ผมเอ่ยคำที่เขาเพิ่งพูดไป



    “ใช่..ช่วยชีวิต” คุณพยักหน้า “ เหมือนที่คุณช่วยผมอยู่นี่ไง”



    “ผม..ช่วยชีวิต?” ผมถามกลับ

    คำนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในอกผมกระตุกอีกครั้ง



    “ใช่ คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่าทำไมคุณถึงช่วยผมแทนที่จะกินเหมือนซอมบี้ตัวอื่นๆ” คุณมองหน้าผมอีกครั้ง



    “ผม..ไม่รู้” ผมยักไหล่



    “ช่างเถอะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ” คุณวางกล่องเปล่าลงกับพื้น และหยิบขวดน้ำที่อยู่ในกระเป๋าออกมาดื่ม



    “วันนี้..ทำอะไร..บ้าง” ผมนั่งมองคุณดื่มน้ำ ลูกกระเดือกของคุณไหลขึ้นลงตามจังหวะการกลืนน้ำ



    “หืม? ถามทำไม” คุณปิดฝาขวดน้ำแล้วเก็บมันไว้ที่เดิม “ก็ตรวจสอบยา”



    “ยา?” ผมเอ่ยถามถึงคำนั้นที่คุณเพิ่งพูดไป



    “ยา มีไว้เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์” คุณอธิบายแล้วหยิบสารที่อยู่ในกระเป๋าออกมา

    คุณยื่นมันมาข้างหน้าผม “ถือดีๆล่ะ อย่าทำตก”



    “แล้วมัน..ช่วยผม..ไหม?” ผมหยิบยานั่นมาจากมือของคุณ ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างรองขวดน้ำสีเขียวสว่างขนาดเล็กนั่น



    “ผมไม่รู้ ยังไม่มีการทดลองใช้กับซอมบี้” คุณยักไหล่- ดูเหมือนจะติดมันมาจากผมหรือเปล่า



    “งั้นทดลอง..กับผม” ผมยื่นขวดเล็กๆนั่นไปให้คุณ



    “นี่แค่กินสปาเกตตี้ไปคำเดียว ทำสมองกระทบกระเทือนขนาดนี้เลยเหรอ” คุณหัวเราะ



    “จริงจัง..” ผมกดน้ำเสียงของตัวเองให้ดูหนักแน่นขึ้นและจ้องหน้าคุณ



    “บ้าหน่า” คุณส่ายหัวไปมา แล้วปัดมือ “อยากตายหรือไง”



    “ตาย..อยู่แล้ว” ผมยื่นขวดนั่นเข้าไปใกล้คุณกว่าเดิม



    “มันเป็นความคิดที่บ้ามาก” คุณมองผมด้วยสีหน้าชั่งใจ “ก็ได้..ยังไงผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าวันไหนคุณจะตบะแตก ลุกขึ้นมากินสมองผม”



    “ไม่..กิน” ผมส่ายหน้าเร็วๆ



    “ไม่เชื่อหรอก” คุณหยิบขวดเล็กๆนั่นจากมือผม “ผมมียาแบบนี้อยู่สามขวด ผมจะฉีดให้คุณสองขวดก็พอ”



    “สาม..เลย”



    “ไม่ได้หรอก..เผื่อฉุกเฉินด้วย แต่ยังไงนี่มันก็งานสุดท้ายของผมแล้ว ถ้ารอดชีวิตจากที่นี่ไปได้อะนะ” คุณพูด “ผมหมายถึงถ้าจบงานนี้ ผมจะไปทำงานวิจัยแทน”



    ยังไงก็เถอะ สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจที่คุณพูดอยู่ดี

    คุณมองผมเหมือนรู้ว่าผมคงไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังพูดหรอก



    “งั้นไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวนั้น” คุณชี้ไปยังเก้าอี้ตัวที่คุณใช้นอนตลอดสามวันที่ผ่านมา

    ผมลุกขึ้นและเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ตามที่คุณบอก



    “รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมเตรียมยาก่อน” คุณหันมามองที่ผม

    ดูเหมือนคุณจะถอนหายใจ


    คุณใช้เวลาไม่นานในการเตรียมยานั่น คุณเดินมาหาผมอีกทีพร้อมกับยาในมือสามเข็ม



    “ผมไม่รู้นะว่าผมลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง” คุณทิ้งตัวลงนั่งบนพนักวางแขนของเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกัน และวางเข็มอีกเล่มหนึ่งใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ “แต่ถ้ามันทำให้คุณแย่กว่าเดิม ผมจะเป่าสมองคุณทิ้ง”



    ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นคำขู่หรือคำปลอบใจ– แต่ผมกลับพยักหน้าเป็นคำตอบ

    ผมเอื้อมมือไปจับแขนคุณเบาๆ ผมมองเห็นมือของคุณสั่นเล็กน้อย



    “ไม่..ต้อง..กลัว” ผมพูด “ผม..จะไม่..เป็นอะไร”



    “เดี๋ยวก็รู้” คุณสั่นหัว และดีดเข็มอีกเล่มที่อยู่ในมือของคุณเพื่อไล่ฟองอากาศ “ผมจะฉีดยาเข้าที่เส้นเลือดใหญ่ของคุณนะ” คุณบอกผม ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรคือเส้นเลือดใหญ่ แต่เมื่อคุณกดปลายเข็มลงบนข้อพับแขนของผม มันทำให้ผมถึงรู้สึกเจ็บนิดๆ..



    “..” ผมหลับตาแน่น



    “เพิ่งรู้ว่าซอมบี้กลัวเข็ม” คุณหัวเราะเบาๆ– ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ารู้สึกเจ็บได้ด้วย



    “เจ็บ..” เสียงของผมมันเบาจนดูเหมือนกระซิบ แต่เขากลับได้ยิน



    “เจ็บ? ผมคงต้องบันทึกลงในไดอารี่แล้วล่ะ” คุณกระตุกยิ้มที่มุมปาก นั่นทำให้ผมลืมความเจ็บไปเลย “นี่คงเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ เห็นซอมบี้เจ็บเนี่ย”



    “อ่า..ทำแบบนั้น..อีกครั้ง” ผมจ้องมองใบหน้าของคุณ เรียกร้องบอกให้คุณกระตุกมุมปากแบบนั้นอีกครั้ง



    “แบบไหน” คุณขมวดคิ้ว



    “แบบนี้” ผมยกแขนข้างที่ไม่ได้ถูกเข็มแทงขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วที่ไร้ความรู้สึกวางลงบนมุมปากของคุณ



    “ยิ้ม?” คุณเลิกคิ้ว “คุณอยากให้ผมยิ้มเหรอ”



    “นั่นแหละ..ยิ้ม” ผมพยักหน้า “สวย..”



    คุณส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร แต่คุณกลับยิ้มแทน

    เขาเรียกว่ายิ้มใช่ไหม.. คุณยิ้มให้ผม ไม่ใช่ยิ้มที่ผมบังเอิญไปมองเห็นเหมือนที่ผ่านมา


    ยิ้มนั่นทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในอกของผมกระตุกเร็วขึ้นถึงสามครั้ง จนผมต้องยกมือมาจับหน้าอกของตัวเองเอาไว้



    “เป็นอะไร” คุณวางเข็มเปล่าๆนั่นลงแล้ววางมือซ้อนหลังมือของผม ความอุ่นของฝ่ามือคุณทำให้สิ่งที่อยู่ในอกผมกระตุกอีกครั้ง

    คุณต้องรู้สึกถึงมันด้วยแน่ๆ



    “หัวใจคุณเต้นนี่” คุณเบิกตาโพลงแล้วแนบหูลงบนหน้าอกผม “เห้ย มันเต้นจริงๆด้วย”

    คุณยิ้มกว้าง บีบมือผมแน่น



    “หัวใจ?” ผมมองหน้าคุณด้วยสีหน้างงงัน



    “คุณนี่คำถามเยอะชะมัดยาดเลย หัวใจมันก็อวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายนั่นแหละ” คุณกลับมาทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง “แบบนี้ผมคงต้องบันทึกเพิ่มด้วยว่าตัวยามีผลทั้งซอมบี้และมนุษย์”



    “ลอง..อีกสองเข็มสิ” ผมเสนอ



    “อีกเข็มเดียวก็พอ” คุณหยิบเข็มอีกเล่มที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา “ผมจะฉีดเข็มเล่มนี้เป็นเล่มสุดท้าย”



    “สาม..ไปเลย” ผมโบกมือปัดๆเหมือนที่คุณเคยทำ



    “เดี๋ยวก็ตายห่าขึ้นมาจริงๆพอดี” คุณกดมือข้างที่ผมโบกลง ผมเบะปาก “เออ ถ้ามันไม่ได้ผลเดี๋ยวจะเอาไปละลายน้ำแล้วเอามาฉีดให้อีกแปดเข็มเลยเอ้า”



    “ความคิด..ดี”



    “ประชดเฟ้ย” คุณแยกเขี้ยว “เอาแล้วนะ”



    “ฮืม..” ผมพยักหน้า คุณแทงเข็มนั่นลงบนแขนของผมอีกครั้ง ลงบนจุดเดิม อ่า..ทำไมผมรู้สึกร้อนๆในตัวแบบนี้นะ



    “ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ” คุณพึมพำออกมาเบาๆ ปลายนิ้วของคุณลูบไปยังแขนซีดๆของผม



    “อะ..ไร” ความรู้สึกที่ถูกสัมผัสทำให้ผมหันไปมองสิ่งที่มากระทบกับผิวหนังของผม

    ยานี่มันทำให้ผมรับความรู้สึกดีขึ้นอย่างนั้นเหรอ



    “ดูนี่สิ” คุณชี้ไปยังเส้นสีเขียวๆดำๆบนแขนของผม น้ำเสียงของคุณดูตื่นเต้นมากๆ “มันกำลังกลายเป็นสีแดง”



    “มันคือ..อะไร”



    “เส้นเลือดของคุณยังไงล่ะ มันกำลังกลับมาทำงานอีกครั้ง” คุณจับ ‘เส้นเลือด’ บนแขนผมอีกครั้งแล้วก้มลงไปที่หน้าอกของผม “หัวใจเต้นเร็วขึ้น..แถมแรงขึ้นด้วย”



    “ร..เหรอ” ผมยักไหล่ แต่ผมรู้สึกเหมือนตาของตัวเองกำลังจะปิดยังไงไม่รู้

    “ง่วง..” ผมพึมพำ



    “คุณไม่เคยนอนนี่..ทำไมถึงง่วง” คุณกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งแล้วจับกรามผมหันซ้ายหัวขวา



    “ข้างในนี้..มันร้อน..และเจ็บ” ผมชี้หน้าอกของตัวเอง ตรงที่คุณเรียกว่าหัวใจ



    “ผมคิดว่ายานั่นกำลังทำปฏิกิริยากับร่างกายของคุณอยู่” คุณกอดอก ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง “คุณจะหลับก็ได้นะ แต่ผมขอมัดคุณไว้กับเก้าอี้นี่แล้วกัน เพื่อความปลอดภัย”



    “ตาม..สบาย” ผมพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นคืออะไร ผมแทบลืมตาไม่ขึ้น ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่



    “..คุณ..กำลัง..จะหลับ…” เสียงของคุณที่อยู่ใกล้ๆหูผมเริ่มขาดหายไปแล้ว “..เสียง..หัวใจ..คุณดังมาก”



  • ( Hugh Grant’s POV )





    ตอนนี้เขาหลับไปแล้ว...



    ผมหยิบสมุดบันทึกที่อยู่ในกระเป๋าของผมออกมาจดบันทึกอาการของคนตรงหน้าหลังจากที่ผมมัดมือและเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้กับเก้าอี้

    จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้อยากจะมัดของเขาเหมือนพวกสัตว์หรอกนะ แต่เผื่อว่าเขาเกิดอาการแปลกๆขึ้นมา ผมจะได้ตั้งตัวทัน แต่ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูสงบมากๆเลยล่ะ..


    ผมลืมแนะนำตัว ผมเป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแฮมเมอร์สมิธ (ผมเกิดที่โรงพยาบาลนั้นแหละเมื่อสามสิบหกปีก่อน)

    แต่ตอนนี้เขาไม่ถือกันแล้วล่ะว่าใครจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่มีชีวิตรอดเท่านั้น- ผมหมายถึง(ผู้ชาย)บางส่วนนะ แต่ในกลุ่มผู้มีชีวิตรอดที่เหลือ(ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) เขามักจะเรียกผมว่าหมอมากกว่า เพราะผมทำทุกอย่างตั้งแต่ล้างแผลยันทำคลอด



    บันทึกจากเมื่อสามวันที่แล้ว - ผมกับกลุ่มทีมที่หนึ่งเข้ามาตรวจสอบผู้รอดชีวิตในเมืองนี้ ผมเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกพวกซอมบี้กินไปแล้วกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ผมช่วยเธอด้วยการเป่าสมอง


    โชคดีที่เราเจอกับคลังเก็บยาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองนั้น ผมกวาดยาที่ใช้ได้เกือบทั้งหมดลงในเป้สัมภาระของผม- แต่โชคดีไม่ทันไร เหล่าซอมบี้ก็มาเยือนเราด้วยการทะลุประตูบานนั้นเข้ามา ซึ่งเป็นทางออกเดียวของห้องเก็บยา


    ผมอยู่ข้างหลังสุดเพราะผมพกปืน Hacker & Koch Mark 23 เพียงแค่สองกระบอกเท่านั้น นั่นเป็นปืนที่ปู่ของผมเคยซื้อให้ตอนที่ผมยังเด็ก (พ่อกับแม่ชอบพาผมไปปล่อยที่บ้านของปู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ และปู่จะพาผมออกไปล่ากวางในป่าทุกวันศุกร์กับวันเสาร์) จริงๆแล้วผมทำเรื่องขอปืนเพิ่มแล้วนะ แต่เขากลับให้ปืนกับพวกคุ้มกันแทน


    แต่นั่นก็ถือว่าเป็นข้อดีอยู่หน่อยหนึ่งที่ผมอยู่หลังสุด- เพราะซอมบี้กลุ่มนี้กวาดคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมไปเกือบหมด (บางคนก็หนีไปได้ด้วยการเอาซอมบี้ที่ถูกยิงกบาลทับตัวเองเอาไว้ นั่นเป็นวิธีเอาตัวรอดอีกอย่างหนึ่งที่ทางค่ายของเราได้สอนเอาไว้)



    โชคดีอยู่ไม่ทันไร โชคร้ายก็มาเยือน ผมกำลังถูกซอมบี้ตัวหนึ่งจ้องหน้าผมอยู่ มันเหลือเวลาให้ได้ผมกลั้นหายใจเพียงแค่ห้าวินาทีก็พุ่งตัวเข้ามาหาผม ผมหลับตาแน่น ภาพของพ่อกับแม่ผุดขึ้นมาในหัว ภาวนาว่าให้มันกัดทีเดียวแล้วตายไปเลย แต่พอผมลืมตาขึ้นมา ผมกลับเห็นมันคร่อมตัวผมไว้ ใบหน้าของมันซุกอยู่ที่คอของผมพร้อมกับเสียง ‘แฮ่..’ เบาๆ


    ตอนนั้นผมทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆเท่านั้น..และกลั้นหายใจเหมือนที่เคยฝึกมา ผมมองใบหน้าที่อยู่ข้างหน้าผม (มันห่างเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น) เลือดของหมอนั่นที่ถูกยิงไหลออกมาเปรอะโดนเสื้อของผม และเขาก็เอามือรองเลือดที่ไหลออกมานั้นทาตามเนื้อตัวของผม


    ‘เขากำลังทำอะไร’ คำถามแรกผุดขึ้นมาหลังจากภาพของพ่อกับแม่หายไป เขามองหน้าผมเหมือนกำลังบอกว่าให้ผมเงียบๆไว้ เขาลุกขึ้นและดึงแขนผมให้ตามเขาไป พร้อมกับเพื่อนๆซอมบี้ของเขา


    นั่นแหละคือที่มาของผม..เหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงยังมีชีวิตรอดมานั่งอยู่ในเครื่องบินเส็งเคร็ง ที่บินไม่ได้ลำนี้




    ผมวางสมุดบันทึกลงบนเบาะนั่งใกล้ๆตัว ตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มมีสีฝาดเลือดขึ้นมาแล้วเล็กน้อย เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก..เท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย นี่ถ้าวันนั้นผมพกกล้องมาด้วยคงได้ถ่ายรูปเขาเก็บแล้ว


    ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมาฟังเสียงหัวใจของตัวเองจัง มันยังไม่ใช่เสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเหมือนของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่มันเป็นเสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะช้าๆเนิบๆเหมือนเสียงหัวใจของเด็กที่ยังอยู่ในครรภ์


    ผมเพิ่งได้มองใบหน้าของเขาชัดๆ ภายใต้ผิวซีดๆนั้น ซอมบี้ตัวนี้กลับดูดีไม่น้อย ผมคิดว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่คงมีสาวติดตรึมแน่ๆ


    แต่ที่ยังติดอยู่ในใจของผมคือคำพูดของเขาที่บอกว่า ‘ยิ้ม’

    ..เขาอยากให้ผมยิ้มให้เขา แถมเขายังบอกว่ายิ้มของผมสวยด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดพวกนั้นมากหรอก อาจเป็นเพราะพิษยาหรือไม่ก็เป็นเพราะสมองของซอมบี้ที่ถือว่าตายไปแล้ว แต่พอผมมาคิดดูอีกที ซอมบี้ที่ไหนบอกให้ผมยิ้มกัน..


    เขายังไม่ได้ใส่เสื้อเลยตั้งแต่ถอดมันออกมาให้ผมใช้รองกล่องอาหารสำเร็จรูปในตอนนั้น รูปร่างของเขาดูดีไม่น้อย ตัวโตเหมือนกับหมี แถมมีกล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อหน้าท้องเหมือนกับพวกนายแบบ ผมไม่ได้คิดเชิงอนาจารนะ แต่ผมหมายถึงหุ่นดี..เหมือนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ผมเคยผ่าเท่านั้นเอง








    ( Colin Firth’s POV )




    “อ่า...” ผมรู้สึกเมื่อยตามร่างกายเหลือเกิน แต่ทำไมผมขยับแขนตัวเองไม่ได้เลย


    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ผมเห็นคุณยังคงนั่งอยู่ที่เดิม จ้องมองผมอยู่เหมือนเดิม..ไม่อยากบอกนะ แต่มันรู้สึกดีจังที่มีคุณอยู่ตรงนี้



    “ตื่นแล้วเรอะ” คุณเลื่อนแขนที่วางค้ำอยู่ตรงพนักวางแขนของเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ขึ้นมากอดอกหลวมๆ “คุณหลับไปเกือบๆสามชั่วโมงแน่ะ”



    “มัน..นานขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดเร็วขึ้น “คุณนั่งอยู่อย่างนี้..ตลอดเลยเหรอ”



    “จะไปไหนได้ล่ะ” คุณยักไหล่ “ผมเฝ้าดูอาการของคุณตลอดสามชั่วโมงนะ ตามที่คาดไว้ มันค่อยดีขึ้นตามลำดับ”



    “แล้วยังไง..”



    “หัวใจของคุณกลับมาเต้นแล้ว..แต่ก็ยังช้ากว่ามนุษย์ธรรมดา” คุณใช้ปลายนิ้วจิ้มแขนผมเบาๆ “ตัวยาไม่ได้ทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้..แต่กลับทำให้คุณสงบขึ้น ใกล้เคียงมนุษย์ขึ้น”



    “หมายความว่า..ยังไง”



    “ถ้าให้เทียบนะ..ร่างกายของคุณฟื้นตัวขึ้นมาก เต็มสิบให้แปด” คุณยิ้มกว้าง “เก่งมาก..ที่สามารถทนยานี่ได้ เพราะคนปกติรับได้เพียงแค่เข็มเดียวเท่านั้น”



    “เหอะๆ..” ผมหลุดหัวเราะออกมา “ปล่อยได้หรือ..ยัง”



    “ได้สิ” คุณพยักหน้าแล้วขยับเข้ามาใกล้ๆผมเพื่อปลดเชือกที่มัดมือผมอยู่ “ใช้เวลาอีกสักหน่อยก็กลับไปเป็นมนุษย์เหมือนเดิมแล้วล่ะ” คุณพูดไปแกะเชือกไป



    “ยินดีด้วยนะ” คุณเลื่อนมาแกะเชือกที่ข้อเท้าของผม



    “ขอบคุณนะ..”



    “ไม่เป็นไร..”



    “แล้วผมจะทำอะไร..หลังจากนี้” ผมโน้มตัวเข้าไปมองข้อเท้าของตัวเอง



    “ไม่รู้สิ ตามใจคุณเลย คุณเป็นปกติแล้วนี่..แต่คุณห้ามกินมนุษย์เหมือนเดิมนะ นั่นไม่ใช่อาหาร”



    “ผมขอไปที่ที่คุณจากมาได้ไหม..กับคุณ”



    “คุณหมายถึงที่ค่ายน่ะเหรอ” คุณเงยหน้าขึ้นและกระตุกยิ้ม “นั่นมันเสี่ยงตายมาก คุณอาจถูกยิงหัวตั้งแต่เดินเข้าไปอยู่ในระยะสายตาของทหารพวกนั้น”



    “บอกเขาว่า..ผมกำลังเปลี่ยน..” ผมพยายามนึกคำพูดที่อยู่ในหัว “ ผมเป็นผลงาน..ของคุณ”



    “คุณรู้จักเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” คุณคงคิดว่าผมเป็นพวกทึ่มๆ– แต่ไม่รู้สิ จู่ๆคำพวกนี้มันก็ขึ้นมาในสมองของผม เหมือนผมรู้จักคำพวกนี้มานานแสนนาน


    แต่ผมกลับยักไหล่แทน



    “ไม่รับประกันความปลอดภัยหรอกนะ” คุณยิ้มอีกครั้ง



    ผมพยักหน้า “ยิ้มของคุณ..สวยจัง”



    “คุณชมผมสวยสองครั้งแล้วนะ” คุณขมวดคิ้วทันที “ผมเป็นผู้ชายต้องใช้คำว่า ‘หล่อ’ สิ”



    “ไม่..คุณสวย” ผมพูดตามความจริง



    “เฮอะ” คุณกอดอกแล้วลุกขึ้นเดินไปที่กระเป๋าของตัวเอง คุณก้มลงแล้วรูดซิปกระเป๋านั่น “ยังไงก็เถอะ ถ้าไม่เป็นการเร่งด่วนเกินไป พรุ่งนี้ผมจะกลับค่าย คุณรีบพักผ่อนซะ คุณตื่นขึ้นมาเราจะเดินทางเลย”



    ผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ขาของผมมันอ่อนแรงจนทำให้ผมล้มลงกับพื้น



    “เฮ้ เป็นอะไร” คุณทิ้งของที่อยู่ตรงหน้า เข้ามาจับแขนผมไว้ “ใครให้รีบลุกแบบนั้นกัน”



    “ให้คุณ..พักก่อน” ผมหันไปทางเก้าอี้ที่ผมเพิ่งลุกออกมา

    ผมหมายถึงเก้าอี้นี่เป็นที่ของคุณ



    “ลุกขึ้นก่อน..” คุณช่วยพยุงแขนผม “ ผมนอนตรงไหนก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องยาก ผมเป็นหมอ ผมนอนได้ทุกที่”



    “แต่มันไม่..สบาย” ผมกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง “ผมอยาก..ให้คุณสบาย”



    “งั้นเดี๋ยวผมนอนตรงนี้ก็ได้ ข้างๆคุณ” คุณตบเบาะเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆกับเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่

    นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย



    “ก็ได้..”



    “ราตรีสวัสดิ์..” คุณบีบบ่าผมเบาๆและยิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมจะไม่สงสัยหรอกนะว่าทำไมคุณถึงยิ้มให้ผมบ่อยขนาดนี้ เดี๋ยวคุณจะไม่ยิ้มให้ผมอีกครั้ง..



    “ราตรีสวัสดิ์..ฮิวจ์”

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in