เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ดิออนออนเดอะโรลdionyk
06 : ถิ่นที่อยู่
  •      สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกครั้งในอีพีที่ 06 นะคะ ในอีพีนี้เราจะพูดถึงความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา เพราะมีเพื่อนๆหลายคนที่อยากรู้ว่าแต่ละฝั่งแตกต่างกันมั้ย แล้วทำไมเราถึงเลือกต่อปีที่ 2 กับบ้านใหม่ ที่อยู่คนละฝั่งกับบ้านแรก วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยให้ทุกคนทราบกันนะคะ
         เริ่มจากการทำความรู้จักกับประเทสสหรัฐอเมริกากันก่อนเลยนะคะ ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งประกอบไปด้วย 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง เมืองหลวงของอเมริกาคือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่า 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 326 ล้านคน
         เพื่อนๆพอจะนึกภาพออกหรือยังคะว่าอเมริกาเป็นประเทศที่กว้างใหญ่แค่ไหน วันนี้เราจะมาพูดถึงภูมิภาค ภูมิอากาศ รวมถึงเวลาที่แตกต่างกันในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทุกคนที่ยังมองภาพไม่ออกว่าเราควรจะแมทช์ที่ไหนดี แล้วเราจะชอบรัฐและเมืองนั้นๆที่เราเลือกหรือไม่ เราจะมาช่วยกันหาไอเดียเกี่ยวกับสถานที่ในแต่ละพื้นที่ให้เพื่อนๆได้เห็นภาพกันนะคะ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยค่ะ ;)

         หลายคนอาจจะทราบและศึกษาข้อมูลในเว็บไซต์อื่นๆมาบ้างแล้ว วันนี้เราเลยจะมาสรุปย่อๆให้ทุกคนได้รู้จักกับอเมริกากันเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย เราจะบอกเล่าประสบการณ์ของเราลงในบทความด้วย เนื่องจากในปีแรกของเรา เราได้อาศัยอยู่ที่ฝั่ง EAST นะคะ ส่วนตอนนี้เราอาศัยอยู่ WEST ในโซนของ Pacific นะคะ (รัฐแคลิฟอร์เนีย) ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
         อย่างที่บอกเลยว่าอเมริกามันใหญ่มากๆ ฉะนั้นแต่ละรัฐแต่ละเมืองก็มีกลิ่นอายที่แตกต่างกัน เรามาเริ่มกันที่หัวข้อแรกกันเลยนะคะ

    1) ภูมิภาค

         เนื่องจากเป็นประเทศที่ใหญ่มากๆ การแบ่งภูมิภาคจึงแบ่งออกได้ถึง 6 ส่วนหลักๆนะคะ จริงๆแบ่งได้มากกว่านี้อีกค่ะ เช่นโซน Pacific ก็จะแบ่งเป็น Northwest ได้อีก แต่ขอพูดถึงแค่ 6 ส่วนหลักๆนี้นะคะ
         เพราะด้วยความที่มันใหญ่มากๆ ส่งผลให้เรื่องอากาศ เวลา และสภาพแวดล้อมแตกต่างกันค่ะ หากใครที่กำลังอยู่ในช่วงสัมภาษณ์กับโฮสต์ต้องดูเวลานัดหมายดีๆด้วยนะคะ ให้เขียนเวลาเรากับเวลาของโฮสต์ควบคู่กันไปเลย จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดกันเรื่องเวลา กันเราลืมด้วยนั่นแหละค่ะ ฮ่าๆ
         ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเวลากันสักหน่อยนะคะ เราได้หาแผนภาพที่พอจะทำให้ทุกคนนึกออกง่ายๆมาให้ดู เป็นไปตามด้านล่างนี้เลยค่ะ

         จะเห็นได้ว่าแต่ละที่จะแตกต่างกันเรื่องเวลา ถ้าให้เทียบเวลากับไทย ฝั่งทาง EAST จะใกล้กับเวลาไทยที่สุดค่ะ คือห่างกันที่ 12 ชั่วโมง ส่วน CENTRAL จะขยับห่างออกมาอีก 1 ชั่วโมงจาก EAST นั่นคือห่างจากไทย 13 ชั่วโมง ลำดับถัดมาจะเป็น MOUNTAIN ที่ห่างจากไทย 14 ชั่วโมง ตามมาด้วย PACIFIC ที่ห่างจากไทย 15 ชั่วโมง ถัดมาเป็นอลาสก้าและฮาวายตามลำดับค่ะ ทุกไทม์โซนจะห่างกัน 1 ชั่วโมงนะคะ
         เราชอบไทม์โซนของฝั่ง EAST ที่สุดค่ะ เพราะกลางวันของไทยเป็นเวลากลางคืนของที่นี่พอดี เช่นแม่เราชอบโทรมา 7 โมงเช้าของไทยตลอด เวลาของเราก็เพิ่ง 1 ทุ่มเท่านั้น เราเลยคุยได้แบบไม่ต้องฝืนตัวเองและแม่เราก็ไม่ต้องฝืนตัวเองเพื่อคุยกับเราเช่นกัน เวลาโอเคมากๆค่ะ 
         แต่ทีนี้ที่อเมริกาจะมีเทศกาลหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้น Spring และสิ้นสุดลงที่ปลาย Fall ค่ะ เรียกว่า Daylight saving อันนี้ถือเป็น culture shock อย่างหนึ่งของเราเลยค่ะ เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยนเวลา โฮสต์เลยอธิบายง่ายๆมาให้เราฟังว่าช่วงนี้เป็นช่วง Harvest ค่ะ เพราะชาวบ้านต้องการไปทำไร่ทำสวนเร็วขึ้น และใช้เวลากลางวันให้นานขึ้นเลยเปลี่ยนเวลาให้นาฬิกาเดินหน้าไป 1 ชั่วโมงค่ะ ซึ่งจะเริ่มเปลี่ยนให้เดินหน้าเร็วขึ้นตอนเวลา 02.00 น. ไปสู่ 03.00 น. แบบไม่มีนาที และจะปรับนาฬิกากลับอีกทีในช่วง Fall ให้เดินถอยหลัง 1 ชั่วโมง ตอนเวลา 01.00 น. ไปสู่ 02.00 น. ยกตัวอย่างฝั่ง EAST นะคะ ในช่วงนี้จากปกติจะห่างจากไทย 12 ชั่วโมง ก็จะกลายเป็นห่างจากไทย 11 ชั่วโมง ช่วงที่มันเริ่ม Daylight saving (ช่วง Spring) เราจะได้เห็นว่าเวลา 1 ทุ่มแล้วแต่พระอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่มีอยู่จริงค่ะ เราเคยเห็นพระอาทิตย์อยู่นานสุดถึง 2 ทุ่มเลยค่ะ ฮ่าๆ

    2) ฤดูกาล
         หลายคนคงทราบแล้วว่าแต่ละพื้นที่นั้นเรื่องสภาพอากาศแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าอเมริกาจะมีหิมะทุกที่ ฉะนั้นใครที่มี reference ว่าอยากอยู่ท่ามกลางหิมะ ก็ต้องศึกษาข้อมูลในส่วนนี้เช่นกันนะคะ เรามาดูกันดีกว่าว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีฤดูกาลกี่ฤดูนะคะ

         - Spring : สปริงก็คือฤดูใบไม้ผลินั่นเองค่ะ ก็จะมีฝน และทุกพื้นที่ก็จะเขียวขจีจนคนอยู่ไทยแซวว่าเราอยู่แถวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์หรือเปล่า แต่ความจริงมันไม่ใช่ ฮ่าๆ เราเคยอยู่ฝั่ง EAST ในพื้นที่ที่ humidity มากๆ ฝนตกบ่อยมาก ตกทุกฤดูกาล ทำให้ทุกครั้งที่เราลงรูปจะมีคนมาแซวๆอยู่ แต่เราชอบนะคะ สดชื่นดี ฮ่าๆ และฤดูนี้จะเริ่มต้นในช่วงเดือนมีนาคม สิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายนค่ะ
         - Summer : ใครว่าอเมริกาไม่ร้อน ขอให้ถอนคำพูด ขนาดปีก่อนเราอยู่ในพื้นที่ที่ humidity มาก อากาศยังร้อนเลยค่ะ แต่โชคดีโฮสต์จ่ายค่าแอร์ไหว เราเลยสบายหน่อย เปิดแอร์ทั้งวัน ฮ่าๆ ซึ่งฤดูกาลนี้จะเริ่มต้นช่วงเดือนมิถุนายนและสิ้นสุดลงในช่วงเดือนกันยายนค่ะ
         - Fall : หรือเรียกว่าฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง ฤดูที่เรารักมากที่สุดมาถึงแล้วค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกว่าเพราะเป็นเดือนเกิดตัวเองด้วยเลยรักทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคมค่ะ ฮ่าๆ เรื่องอากาศคือดีมาก อุณหภูมิกำลังดีอยู่ในช่วงประมาณ 10 องศาเซลเซียสค่ะ ถ้าต่ำสุดที่เจอคือ 7 องศาค่ะ ไม่หนาวเกินไปและกำลังดีมากๆ เสียอย่างเดียวคือใบไม้ร่วงเยอะ ฝุ่นเลยตามมาบ้าง แต่สีสันสดใสมากๆ สีส้ม สีแดง สีเหลือง จัดเต็มมาเลย รวมถึงเทศกาลเก็บฝักทองอีก ใครไม่ได้ไปถือว่าพลาดนะคะ รับวัฒนธรรมเมกันไปเต็มๆเลยค่า ซึ่งฤดูนี้จะเริ่มช่วงกลางๆกันยายนและสิ้นสุดลงประมาณเดือนธันวาคมค่ะ
         - Winter : หน้าหนาวมาแล้วค่ะทุกคน เตรียมตัวซื้อเครื่องหนาวกันให้ดีๆนะคะ ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้มีหิมะทุกที่นะคะ โซนที่จะมีหิมะตลอดเลยคือโซนตอนบนค่ะ เรามีคนรู้จักอยู่มิชิแกน อันนี้หิมะตกตลอดในช่วงวินเทอร์ ตกแบบไม่น่าให้อภัย เพราะตกทีหิมะท่วมบ้านเลยค่ะ ออกไปข้างนอกไม่ได้เลย อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องความแปรปรวนด้วยนะคะ เป็นปัจจัยอีกอย่างเลยที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ยังไงต้องตามข่าวสภาพแวดล้อมอยู่ตลอดเวลานะคะ ซึ่งฤดูนี้เหมือนจะไม่ยาว แต่ถ้าคุณติดอยู่ในหิมะก็แย่อยู่นะคะ หนาวมาก ฤดูนี้เริ่มต้นช่วงธันวาคมจนถึงช่วงปลายกุมภาพันธ์ค่ะ

         มาย้ำกันอีกรอบในเรื่องอากาศนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกที่มีหิมะค่ะ และต้องขึ้นอยู่กับความแปรปรวนของโลกด้วย ยกตัวอย่างในส่วนของเราเลยคือปีแรกเราตัดสินใจอยู่ฝั่ง EAST เพราะอยากเล่นหิมะ อยากเห็นหิมะครั้งแรก แต่ใช่ค่ะ ปีแรกของเรา failed เพราะอากาศแปรปรวนค่ะ หิมะตกจริงๆแค่ 2-3 วัน แถมตกแบบน้อยมาก ปกคลุมตามพื้นดินแล้วหนาไม่ถึง 10 เซนติเมตรด้วยซ้ำค่ะ 
         แต่ปีนี้คือจัดเต็มมาก หิมะถล่ม ปกคลุมพื้นดินสูงถึง 1.40 เมตรกันเลยทีเดียว (ในบางพื้นที่นะคะ) ในนิวยอร์กที่เราเห็นรูปคือปกคลุมไปทุกส่วนเลยค่ะ แต่ Central Park สวยมาก ว่าแล้วก็คิดถึงเลย เราเองก็ยังเดินไม่ทั่วหรอกค่ะ มันกว้างมากๆ ฮ่าๆ 
         ยังรวมไปถึงเท็กซัสด้วยนะคะ ปกติสภาพอากาศจะร้อนเหมือนไทยเลยค่ะ เราเคยคุยกับโฮสต์ที่อยู่เท็กซัสเขาบอกว่าปกติในเท็กซัสตอนบน (โฮสต์ที่เราเคยคุยอยู่ Fortworth ค่ะ) จะมีหิมะเบาบางมากๆ 1-2 ครั้ง ตกลงมาพอให้ตื่นเต้น แต่ปีนี้พายุหิมะถล่มค่ะ มีรูปหนึ่งที่เราเห็นคือเวลาเปิดก๊อกในบ้าน น้ำจับตัวกันเป็นน้ำแข็งเลย บรื๋อ หนาวไม่ไหว แนะนำว่าเวลาสัมภาษณ์กับโฮสต์ให้สอบถามเรื่องสภาพอากาศไปด้วยเลยนะคะ เราไม่ใช่คนในพื้นที่ เอามาบอกเล่าได้แค่สิ่งที่พบเห็นในข่าวเท่านั้นค่ะ

    3) Tourist Attractions / Daily’s life
         จะไม่พูดถึงในส่วนนี้ด้วยก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นข้อสำคัญเช่นกันที่ทำให้เรารับรู้ว่าแต่ละพื้นที่มีอะไร บอกเล่าประสบการณ์ของเราไปในตัวด้วย เราขออนุญาตแปะรูปแผนที่ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นนะคะว่าแต่ละรัฐมีอะไรน่าสนใจบ้าง ขอบคุณถึงเจ้าของรูปภาพด้วยค่ะ

         เราขออนุญาตพูดถึงสั้นๆในส่วนที่เราได้พบเจอจริงๆแล้วกันนะคะ ขออนุญาตเล่าเรื่องรัฐที่เคยได้ไปสัมผัสมาตามด้านล่างนี้เลยค่ะ
         - Pennsylvania : เล่าถึงรัฐที่เราเคยอยู่ในปีแรกก่อนเลย รัฐนี้เป็นรัฐที่มีประวัติศาสตร์เยอะค่ะ เป็นเมืองหลวงแรกของอเมริกาและมีบ้านพักของคนดังในประวัติศาสตร์หลายท่านอยู่ที่นี่ เช่นคนคิดค้นธงชาติอเมริกาอย่าง Besty Ross เป็นต้น ยังมีสถานที่แสดงศิลปะอื่นๆด้วยนะคะ มี Andy Warhol Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะของผู้วาดภาพกระป๋อง Campbell แถมเป็นรัฐที่อยู่ใกล้กับนิวยอร์กและดีซีอีกด้วย เราชอบสถานที่มากเลยนะคะ เดินทางสะดวกด้วย ไม่ชอบแค่อากาศที่ humid (ชื้น) ไปหน่อย จนปีก่อนเกิดปรากฏการณ์ Lantern fly ครองเมืองค่ะ ฮ่าๆ แต่โดยรวมรัฐน่ารักค่ะ ผู้คนดี สถานที่ท่องเที่ยวโอเค เดินทางสะดวก (มี SEPTA) และมีหิมะค่ะ เพราะอยู่ในโซน EAST ด้วย เผื่อใครมองๆรัฐนี้อยู่แต่ไม่แน่ใจ สามารถ DM มาปรึกษาได้ทางทวิตเตอร์เลยนะคะ
         - Newyork : เราได้ไปแค่ส่วน Manhattan นะคะ ขอเล่าแค่ส่วนนี้ค่ะ สกปรกค่ะ ฮ่าๆ แต่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากสำหรับเรา ยังคิดถึงอยู่ทุกวัน เพราะมันสะดวกมากๆ เดินก็ง่าย ด้วยการจัดเมืองเป็น Block ทำให้ทุกถนนเชื่อมกันแบบไม่สับสนเท่าไหร่ และเดินง่ายมากจริงๆนะคะสำหรับเรา Signature ก็คงจะเป็นป้าเขียว (Statue of Liberty) แต่จริงๆมีสถานที่อีกเยอะที่จะแนะนำค่ะ เราชอบมากจริงๆ แค่สกปรกไปหน่อย ฮ่าๆ ยังไงถ้ามีโอกาสจะมาเขียนบทความท่องเที่ยวใน Manhattan ของเราอีกทีนะคะ
         - New Jersey : เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงนะคะ เพราะเราแค่ผ่านเข้าไปนิวยอร์กเฉยๆ แต่เราว่ารัฐนี้เป็นรัฐที่โอเคเลยนะคะ ได้ยินมาบ้างว่าถ้าบอกว่ามาจาก Jersey เขาจะมองว่าบ้านนอก (อิงจากหนังหลายๆเรื่องค่ะ) เป็นรัฐที่ไม่ค่อยมีอะไร ใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนอยู่ต่างจังหวัด แต่การเดินทางก็สะดวกอยู่ค่ะ มีรถไฟเข้าไปนิวยอร์กได้ด้วยราคา 9.50$ ไม่ได้แรงเกินไปเลยค่ะ (เรียกว่า NJ Transit ค่ะ)
         - D.C. : มาถึงคิวของเมืองหลวงกันบ้าง เราว่ามันเหมาะกับวิถีคนเมืองที่ไม่ได้วุ่นวายเท่านิวยอร์กค่ะ เราชอบนะ มีเสน่ห์ดี ถ้าอยากไปเที่ยวเมืองเก๋ๆหน่อยก็ไป Georgetown และก็มีสถานที่สำคัญเยอะด้วย ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบขาวหรือแท่งดินสอเป็นต้น และที่สำคัญใครชอบพิพิธภัณฑ์ บอกเลยว่ารักแน่นอน เพราะทุกที่เข้าฟรีค่ะ! เราชอบมากๆ ได้เปิดหูเปิดตาดี แต่เราได้ไปแค่ที่เดียวเพราะตอนเราไปมันติดโควิดค่ะ แง เศร้าอยู่เหมือนกัน ถ้าใครได้อาศัยอยู่ในเขต DMV (ดีซี/แมร์รี่แลนด์/เวอร์จิเนีย) เข้ามาเที่ยวดีซีได้เลยนะคะ เพราะ 3 รัฐนี้อยู่ใกล้กันมากๆ ขับรถไม่นานก็ถึงกันแล้วค่ะ ฮ่าๆ
         - California : รัฐสุดท้ายที่เราจะพูดถึงนะคะ เพราะเราอาศัยอยู่ในขณะนี้ค่ะ เราอยู่ในเขต Bay Area ฉะนั้นขอพูดถึงแค่ส่วนนี้เท่านั้นนะคะ เนื่องจากเป็นรัฐที่ใหญ่มาก สภาพแวดล้อมและอากาศเลยค่อนข้างจะแตกต่างกันเยอะอยู่ค่ะ ในส่วนของ Bay Area นั้นเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับไทยที่สุดในเรื่องของอากาศค่ะ หน้าหนาวจะเหมือนกับภาคเหนือภาคอีสานที่มีลมเย็นๆ แต่ไม่มีหิมะ อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 6-7 องศาเซลเซียสค่ะ มีชายหาดให้ไปเล่นได้ แต่ไม่แนะนำให้ลงทะเล เพราะหนาวมาก ทะเลที่นี่หนาวไม่อุ่นเหมือนฝั่งฟลอริดาค่ะ ฮ่าๆ เรายังไม่ได้สัมผัสกับซัมเมอร์แต่ทำใจไว้แล้วว่าไม่รอดแน่นอน น่าจะร้อนมากอยู่ค่ะ อย่างปีก่อนก็ร้อนจนไฟไหม้ป่า ส่งผลให้เกิดฝุ่นและหมอกควันปกคลุมไปทั่วพื้นที่ แย่ที่สุดในบรรดาทุกรัฐแล้วมั้งคะเนี่ย ฮ่าๆ แต่ด้วยความที่อยากเก็บประสบการณ์ในทั้งสองฝั่งของอเมริกาเลยเลือกย้ายมาที่นี่ค่ะ และก็ไม่ผิดหวังเลยนะคะ เราชอบอากาศมาก ช่วงสปริงคือเดินเล่นข้างนอกสบายมากเลย และในส่วนของการท่องเที่ยว เนื่องจากตอนนี้โควิดระบาดไปทุกหย่อมหญ้า ทำให้การมีรถขับดีกว่ามากค่ะ ฮ่าๆ สะดวกกว่ารถสาธารณะเยอะ และมีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเยอะเช่นกันค่ะ ในส่วน Bay Area ก็จะใกล้กับ San Francisco และก็สามารถขับรถไป national park อย่าง Yosemite/Squioa/Lake Tahoe ได้นะคะ หากใครเป็นสายธรรมชาติ ธรรมชาติฝั่งนี้สวยมากค่า และทั้ง 3 ที่ที่เรายกตัวอย่าง มีหิมะค่ะ ขับรถไปรับบรรยากาศหิมะกันได้ในช่วงวินเทอร์เลยนะคะ

    4) Sales taxes
         ขอพูดถึงหัวข้อนี้เป็นเรื่องสุดท้ายนะคะ เอาใจขาช็อปสักหน่อยค่ะ ฮ่าๆ หลายคนที่ไม่เคยมาที่นี่ก็จะไม่รู้ว่าแต่ละรัฐมีเรทภาษีที่แตกต่างกัน ตอนแรกเราก็ไม่รู้ค่ะ แต่พอมาอยู่และช็อปเก่งเลยรู้เลยว่าข้อนี้เป็นข้อสำคัญของนักช็อปที่ควรรู้ ขออนุญาตแนบแผนผังเรทภาษีของแต่ละรัฐตามด้านล่างนี้นะคะ ขอบคุณถึงเจ้าของรูปอีกครั้งค่ะ

         อันนี้คือเรทภาษีในปี 2020 นะคะ จะเห็นว่ามี 4 รัฐที่เป็นสีเทา นั่นคือรัฐที่ไม่ต้องเสียภาษีใดๆทั้งสิ้นค่ะ ได้แก่รัฐ Oregon, Montana, Delaware, New Hampshire ตอนแรกเราอยู่ที่ PA ค่ะ เสียภาษีที่ 6% ซึ่งเราโอเคนะคะ มันยกเว้นภาษีในสินค้าบางประเภทเช่นเสื้อผ้าและ Grocery ด้วยค่ะ ถ้าให้คิดง่ายๆก็ใกล้เคียงกับไทยที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT กันที่ 7% แค่ต้องคูณ 30 เวลาตีเป็นเงินไทยเท่านั้น ฮ่าๆ
         ตอนนี้เราอยู่ CA เหมือนล่าสุดภาษีจะอยู่ที่ 9% แล้วค่ะ ไม่ได้รับการยกเว้นในเสื้อผ้าและ Grocery แบบ PA ทำให้ตอนนี้เรารู้สึกกรอบอยู่เหมือนกัน ฮ่าๆ แต่โฮสต์ซื้อข้าวให้เรากิน รวมถึงเราก็ซื้อเสื้อผ้าตอนอยู่ PA มาแล้วบ้าง นานๆทีเราถึงซื้อเสื้อผ้าใหม่ เลยพอได้อยู่ค่ะ เย่


         เป็นยังไงกันบ้างคะ ในอีพีนี้ที่เราพูดถึงถิ่นที่อยู่ พอจะเป็นประโยชน์ให้แก่ทุกคนกันได้มั้ยเอ่ย สำหรับเราจริงๆแล้วปัจจัยพวกนี้ถือเป็นเรื่องรองนะคะ เราถือเรื่องโฮสต์ดีกับเรา และเราเข้ากับโฮสต์ได้เป็นปัจจัยหลักซะมากกว่า เพียงแต่ว่าที่เราเปลี่ยนรัฐเพราะอยากรับประสบการณ์ใหม่จากที่ใหม่ และครอบครัวใหม่เท่านั้น เรายังคง keep in touch กับบ้านเก่าอยู่เสมอด้วยค่ะ ทำไงได้ รักน้องไปแล้ว ฮ่าๆ
         ต้องขออภัยที่ใช้เวลาเขียนบทความห่างจากอีพีก่อนหน้าตั้ง 2 เดือนเลย พอดีมันมีบางวีคที่น้องเราหยุด เราต้องทำงานทั้งวัน บวกกับติดพันกับอันอื่นอยู่ค่ะ ก็เลยมาซะช้า แง แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีอะไรอยากปรึกษา ทัก DM ทวิตเตอร์เรามาได้เสมอเลยนะคะ เราอยู่ในทวิตเตอร์ตลอดค่ะ ยินดีให้คำปรึกษามากๆค่า
         สุดท้ายและท้ายสุด ในวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 10.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) เราจะเปิดห้อง clubhouse มาพูดคุยกับเพื่อนๆพร้อมกับนัทโลมา จะพูดคุยกันในหัวข้อที่เกี่ยวกับออแพร์รวมถึงวิถีชีวิตของพวกเรา และร่วม discuss กันในประเด็นกลับไทยหรืออยู่ต่อด้วยค่ะ หากใครสนใจอย่าลืมมาร่วมพูดคุยกันนะคะ กดเข้าไปฟังกันที่ clubhouse รอเจอทุกคนในวันอาทิตย์นี้นะคะ See ya!

    ADVERTISEMENT



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in