เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ดิออนออนเดอะโรลdionyk
03 : รับมือกับอุปสรรค
  •      สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกครั้งในอีพี 03 ในอีพีนี้ก็ยังวนเวียนอยู่กับขั้นตอนก่อนจะบินมาอเมริกา เราเข้าใจว่าตอนนี้ทุกคนคงเครียดมากๆกับสถานการณ์ในทุกวันนี้ เนื่องจากปีนี้ทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกวีซ่าหลายประเภท รวมถึงวีซ่าประเภท J-1 ที่เป็นวีซ่าของออแพร์ด้วย แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นขึ้นมา 2 ข้อในการรับออแพร์จากข้างนอกเข้ามาในประเทศ ข้อแรกคือครอบครัวอุปถัมภ์มีอาชีพทางการแพทย์ ที่ทำงานเกี่ยวกับโควิด และข้อที่ 2 คือครอบครัวอุปถัมภ์มีบุตรเป็น special needs (อ้างอิงจนถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2020 ก่อนมีการประกาศว่าโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้ง และได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกานะคะ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงเราจะอัปเดตในบทความต่อๆไปค่ะ)
         ทั้ง 2 ข้อที่เรากล่าวมาข้างต้น ค่อนข้างจะ specific แต่หลายๆบ้านที่เข้าข่ายข้อยกเว้นก็รับออแพร์จากนอกประเทศเข้ามาได้เพราะเรื่องนี้ สำหรับบ้านเรา โฮสต์ก็ขอข้อยกเว้นในข้อที่ 2 ค่ะ เพราะน้องเราเป็น special needs แต่การสัมภาษณ์ของออแพร์ใหม่บ้านเราไม่ประสบความสำเร็จในรอบแรก ทั้งๆที่เขาเตรียมตัวมาดีมากๆ เราค่อนข้างจะทราบดีว่าตั้งแต่ปี 2019 มาจนถึงตอนนี้สถานการณ์วีซ่าของไทยไม่ดีเลยค่ะ ปีก่อนออแพร์ไทยเข้ามาในประเทศไม่ถึง 200 คนด้วยซ้ำ ทำให้ตอนนี้ออแพร์ไทยในประเทศตอนนี้ค่อนข้างขาดแคลนเลยค่ะ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่โฮสต์เราขอข้อยกเว้นเพื่อหาออแพร์ใหม่จากข้างนอกมาแทนเราค่ะ
         ต้องเท้าความก่อนว่า เราตัดสินใจต่อปี 2 กับบ้านใหม่ ถ้าคนติดตามแท็ก #ดิออนออนเดอะโรล ในทวิตเตอร์จะทราบกันดี แต่ถ้าไม่สะดวกติดตามในทวิตเตอร์ ไม่ต้องน้อยใจไปค่ะ เดี๋ยวเรามาเขียนบทความสรุปชีวิตเรื่องราวของเราอีกทีนะคะ เพราะเราต่อปี 2 กับบ้านใหม่นี่แหละค่ะ โฮสต์เราที่อยากได้ออแพร์ไทยจึงต้องหาคนใหม่มาแทนเรา เราบอกเขาล่วงหน้าก่อนถึงวันสุดท้ายของเรา 3 เดือน เผื่อเวลาให้เขาได้หาออแพร์ ซึ่งการสัมภาษณ์ก็ไม่ง่ายเลย เราเลยคิดว่าเราน่าจะมาแชร์ประสบการณ์และข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับการขั้นตอนการขอวีซ่าของเราให้ทุกคนได้ลองอ่าน และนำไปปรับใช้กับตัวเองดูนะคะ เราจะพูดถึงขั้นตอนการขอวีซ่าและการกรอกใบ DS ของเรา รวมถึงเน้นย้ำบทสัมภาษณ์ของเราอีกสักนิด ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยนะคะ ;)


    ขั้นตอนหลังจากแมทช์กับโฮสต์แฟมมิลี่

         ขั้นตอนหลังจากแมทช์กับโฮสต์แฟมมิลี่ของเราเป็นไปตามด้านบนเลยค่ะ ขั้นตอนที่ 1 คงไม่ต้องอธิบายอะไร เพราะทางเอเจนซี่ของทุกคนน่าจะแนบเอกสารการชำระเงินส่งมาให้ทางอีเมลนะคะ หลังจากที่เราจ่ายค่าวีซ่าเสร็จแล้ว เก็บใบเสร็จที่ชำระเงินไว้ค่ะ เราจำขั้นตอนตรงนี้ไม่ได้ แต่ว่าเราจำเป็นต้องเอาเลขอะไรสักอย่างกรอกลงในใบชำระเงิน ค่อนข้างสำคัญอยู่นะคะ พอชำระเงินแล้วก็เข้าสู่กระบวนการต่อไป นั่นก็คือการกรอก DS-160 เราทราบจากพี่ที่รู้จักว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงคำถามจากปีที่เรามาบ้างเล็กน้อย ฉะนั้นในข้อนี้เราจะไม่พูดถึงนะคะ เพราะคิดว่าทุกเอเจนซี่จะช่วยเหลือเพื่อนๆแน่นอนค่ะ
       เรามาพูดถึงเทคนิคการกรอกข้อมูลของเราดีกว่าค่ะ อันนี้เราทราบมาจากพี่ที่รู้จักว่าเอเจนซี่ของเราแนะนำให้กรอกอย่างละเอียด รวมถึงในช่องประวัติการทำงาน ต้องกรอกว่าจะกลับมาเป็นอะไรหลังจากจบโครงการด้วย ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ค่อย make sense เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าการกรอกแบบนั้นมันช่วยได้มั้ยนะคะ ส่วนของเรามีเทคนิคว่าเขาถามอะไรตอบไปตามนั้นค่ะ อีกข้อที่ได้ทราบจากพี่ๆเอเจนซี่คือถ้ามีญาติอยู่ในอเมริกาจะผ่านยาก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจริงมั้ยนะคะ แต่บางคนเขามีญาติในประเทศนี้จริงๆ เขาก็กรอกไปตามจริงค่ะ ขอแค่ตอบคำถามได้ว่าญาติทำอะไร อยู่อย่างถูกกฎหมาย ไม่ใช่อยู่แบบหลบๆซ่อนๆ หนีวีซ่า อันนี้น่ากลัวค่ะ ไม่ผ่านแน่นอน ฉะนั้นต้อง make sure ในทุกคำถามที่มีในแบบฟอร์มนะคะ เราไม่แน่ใจในส่วนของการนัดสัมภาษณ์ว่าสามารถทำได้ก่อนกด submit แบบฟอร์ม DS-160 หรือหลังจากนั้น จำได้แค่ว่าเรานัดตรวจเอกสารกับพี่เอเจนซี่ พี่เขาก็ตรวจฟอร์มให้ และจากนั้นเราถึงนัดค่ะ ลำดับไทม์ไลน์ของเราคือตรวจเอกสาร 4 ตุลาคม 2019 นัดสัมภาษณ์วันที่ 10 ตุลาคม 2019 และวันเดินทางของเราคือ 21 ตุลาคม 2019 ค่ะ ของเรามันค่อนข้างกระชั้นชิด ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์เลย แต่เราวางแผนไว้เองว่าจะไปแบบนี้ ฉะนั้นอันนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคนนะคะ ว่าตัวเองพร้อมจะเป็นเดอะแฟลชแบบเราหรือไปแบบไม่เร่งรีบ มีเวลาเตรียมตัวดีกว่า (ซึ่งก็แนะนำว่าอย่าทำแบบเราเลยค่ะ จัดกระเป๋าไม่ทัน ฮ่าๆ)
         ในขั้นตอนที่ 3 หลังจากนัดวันสัมภาษณ์แล้ว พี่เอเจนซี่เราจะช่วยเราเตรียมตัวเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ค่ะ เขาจะส่งคำถามที่คาดว่ากงสุลจะถามมาให้ ให้เราคิดคำตอบกลับไป แล้วเขาจะช่วยดูคำตอบให้เราอีกทีค่ะ เราจะได้คุยกับพี่เขา 3 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ตื่นเต้นและตอบคำถามกงสุลได้ เพื่อประโยชน์ของเราเองด้วยค่ะ บอกตามตรงตอนฝึกกับพี่เอเจนซี่คือเราลนมาก ตอบคำถามได้ แต่ตื่นเต้น พี่ก็มีแต่บอกว่าน้องอีฟอย่าตื่นเต้นนะลูก ตอบเสียงดังฟังชัด ก็ได้แต่คิดในใจ ชั้นไปประกวดนางงามรึเปล่านะ ฮ่าๆ ในระหว่างขั้นตอนที่ 3 นี้ ทุกคนจะต้องเตรียมเอกสารไปให้ครบด้วยนะคะ เผื่อว่าในวันที่สัมภาษณ์จริง มีเหตุการณ์ขอดูเอกสารเพิ่มเติม เราจะได้เอาเอกสารนี้ให้กงสุลดูได้เลย ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมไป มีดังนี้เลยค่ะ

         - หนังสือเดินทางตัวจริง (มีอายุมากกว่า 13 เดือน ก่อนเดินทาง)
         - รูปวีซ่า (พื้นหลังขาว ขนาด 2*2 นิ้ว)
         - ใบเสร็จชำระค่าวีซ่า
         - transcript ฉบับภาษาอังกฤษ ตัวจริง
         - หนังสือรับรองการทำงาน ฉบับภาษาอังกฤษ
         - recommended letter (จากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ)
         - ใบขับขี่สากล
         - ฟอร์ม DS-160 กรอกให้ครบถ้วนเรียบร้อย เตรียม submit กับพี่เอเจนซี่นะคะ
         - ใบรับรองประวัติอาชญากรรม (ของเราไปขอแล้ว แต่ยังไม่ได้ อันนี้เลยไม่มีก็ได้ค่ะ)
         - ทะเบียนบ้านตัวจริงของผู้สนับสนุนและออแพร์
         - statement ของบัญชีผู้สนับสนุน ที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน (พี่เขาแนะนำให้เป็นของพ่อแม่ค่ะ)
         - ใบรับรองการทำงานของผู้สนับสนุนและออแพร์

         สำหรับเอกสารที่ต้องเตรียมไปก็มีประมาณนี้ค่ะ มีเอกสารนอกเหนือจากนี้บ้าง แต่เราขออนุญาตไม่พูดถึงนะคะ คิดว่าพี่เอเจนซี่ของทุกคนจะแนะนำและช่วยเหลือแน่นอนอยู่แล้ว พี่เขาจะให้เอกสารใบนัดสัมภาษณ์กับเรามาด้วย อย่าลืมเอาไปด้วยในวันสัมภาษณ์จริงนะ หลังจากนี้ก็เตรียมตัวเลยค่ะ เตรียมตัวไปดีๆน้า เห็นว่าช่วงนี้ยากมากๆ มีเพื่อนๆออแพร์หลายคนแชร์ประสบการณ์ของตัวเองลงในกลุ่มไทยออแพร์ ทุกคนสามารถเข้ากลุ่มแล้วศึกษาข้อมูลจากประสบการณ์ของเพื่อนออแพร์คนอื่นๆดูได้นะคะ
         โอเคค่ะ มาถึงขั้นตอนต่อไปคือการสัมภาษณ์วีซ่า เราจะแนะนำการเดินทางให้สำหรับคนที่ไม่เคยไปสถานฑูตแบบเรานะคะ ของเราเริ่มต้นจาก BTS เลยค่ะ ลงสถานีเพลินจิตนะคะ แล้วออกทางออกที่ 5 โรงแรมดิโอกุระค่ะ สำหรับเรางงมากตอนเดินตามเข้าไป คือมันเป็นทางเชื่อมเข้าโรงแรมค่ะ สรุปคือเดินเข้าไปตึกได้เลย แล้วมันจะพาออกมาอีกทาง เป็นฝั่งตามในรูปนะคะ (เราเข้าออกทางนี้อย่างเดียว เลยไม่แน่ใจว่ามันเดินออกทางไหนได้อีก เราตามกระทู้พันทิปเลยค่ะ ฮ่าๆ) ส่วนเส้นทางการเดินก็ตามในภาพเส้นสีเขียวเลยนะคะ เราไม่รู้ว่ามันใกล้หรือไกลในตอนนั้น เลยเสียค่าวิน 20 บาท แต่จริงๆถ้าไม่รีบก็เดินดีกว่าค่ะ แถวนั้นร่มรื่น เดินได้สบายเลย ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการเดินเท่านั้นค่ะ
        
         พอมาถึงสถานฑูตก็ไปตรงเต็นท์ข้างหน้าก่อนนะคะ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นเลขคิวค่ะ เขาจะตรวจดูใบนัดเรา แล้วเขียนเวลานัดของเราให้ค่ะ พอเสร็จจากเต็นท์ก็เดินมาเข้าแถวเลยค่ะ แถวยาวๆข้างหน้านั่นเลย เพื่อรอเข้าไปในสถานฑูต ข้อแนะนำคือเอาโทรศัพท์ไปเครื่องเดียว ซองใส่เอกสารใส และกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กๆพอค่ะ มีคนหนึ่งในวันที่เราไปสัมภาษณ์ เขาเอาโทรศัพท์ไป 2 เครื่อง สรุปคือต้องออกจากแถวเลย แต่เราไม่แน่ใจว่าเขาทำยังไงหลังจากนั้นนะคะ ฉะนั้นเตรียมตัวในด้านนี้ไปด้วยน้า อย่างที่บอกในอีพีแรกว่าเราใส่เสื้อคอจีนแขนสั้นสีกรม กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าผ้าใบ แนะนำอีกอย่างให้ดูตารางสีมงคลไปด้วยค่ะ ช่วยให้สบายใจขึ้นนะ?
         พอเข้าไปข้างในแล้วก็นั่งรอค่ะ ดูตรงจอว่าถึงคิวเราหรือยัง จากประสบการณ์เราคือเราไปก่อนเวลานัดจริง เลยต้องนั่งรอเรียกอยู่ค่อนข้างนาน พอถึงคิวแล้ว ก็จะได้ซองมาเขียนที่อยู่ ในกรณีที่ผ่านวีซ่า เขาจะส่งไปให้เราตามที่อยู่ที่เราเขียนค่ะ ของเอเจนซี่เราให้สติ๊กเกอร์ที่อยู่ของบริษัทไปแปะค่ะ แล้วก็มีให้เขียนเลขอะไรสักอย่าง ซึ่งเราลืมแล้ว แฮ่ หลังจากนั้นก็เข้าไปข้างในเลยค่ะ ไปตรวจรูปวีซ่าก่อนนะ ถ้าผ่านก็เดินไปตามทางเลย แต่ถ้าไม่ผ่าน ข้างในมีให้ถ่ายรูปค่ะ 150 บาท (ของเราไปถ่ายที่อีสท์บอนน์พารากอนค่ะ สะดวกดี) พอผ่านจากช่องตรวจรูปแล้วก็จะมีช่องหนึ่งที่ให้สแกนบาร์โค้ด หลังจากนั้นก็จะเป็นด่านกงสุลค่ะ อันนี้แล้วแต่เลยนะว่าใครจะโดนช่องไหน ได้ข่าวจากพี่เราว่าตอนยุคโควิด คือจำกัดคน และเปิดช่องกงสุลแค่ช่องเดียวเท่านั้น นี่เลยอาจจะเป็นเหตุผลให้คนโดน deny เยอะ เรามาย้ำบทสัมภาษณ์วีซ่าของเรากันอีกรอบเนอะว่ามันเป็นยังไง เป็นไปตามด้านล่างนี้เลยนะคะ

              ?‍?: Good morning Miss.          
              ?‍?: Good morning.
              ?‍?: How old are you now?
              ?‍?: I’m 22 years old now.
              ?‍?: Au Pair?
              ?‍?: Yes!  
              ?‍?: Are you currently working for a tour company?
              ?‍?: Yes, I’m working at (ชื่อบริษัท) which is a tour company concerning about traveling in Taiwan.
              ?‍?: อันนี้เราฟังไม่ออก ได้ยินไปอีกแบบค่ะ เราก็ถามเขาว่า Again please. เขาเลยพูดไทยขึ้นมาว่า “อาชีพพ่อแม่เด็กน้อย” แล้วถามเป็นภาษาอังกฤษว่าพ่อแม่เด็กที่เนิร์สเซอร์รี่ที่เราทำตอนอยู่ที่กาฬสินธุ์ทำงานอะไรบ้าง
              ?‍?: Lots of occupations กำลังจะตอบต่อ เขาพูดขึ้นมาก่อน
              ?‍?: I think in Kalasin have a lot of farmer.
              ?‍?: เราหัวเราะก่อนเลย No, there are lots of occupations like business, officer, teacher.
              ?‍?: Have you read the (เล่มขาว)? Do you know about your right?
              ?‍?: Yes, I have read it already. If I have any problems, I will call the number in this book. เราชี้ไปที่หนังสือ For emergency number in America is 911. 
              ?‍?: เขาก็บอกให้เราเก็บใบ DS-2019 ไว้ให้ดีๆ ใช้ตอนบินไปถึงที่นู่นนะ
              ?‍?: Yes.
              ?‍?: So... Good luck in America!
              ?‍?: Thank you!!!

         เอามาเล่าอีกรอบมันค่อนข้างจะกร่อยอยู่นะเนี่ย ฮ่าๆ แต่ก็อยากให้เพื่อนๆที่เพิ่งมาอ่านบทความเราในอีพีนี้ครั้งแรกได้มีแนวทางด้วย อย่างที่บอกพอเราสัมภาษณ์ผ่าน เราก็งงเลย เดินวนในนั้นเป็นนาที ก่อนจะตั้งสติและเดินออกจากสถานฑูต พอออกมาก็โทรไปเล่ากับพี่ที่ดูแลก่อนเลยค่ะ เพื่อยืนยันว่าเราผ่านจริงๆ ส่วนใครที่อาจจะงงๆแบบเรา ว่าเราผ่านมั้ยนะ ถ้ากงสุลเอาพาสปอร์ตเราเก็บไว้ นั่นหมายถึงเราผ่านค่ะ แต่ในกรณีตอนนี้มีบางคนที่กงสุลเอาพาสปอร์ตไว้ และนัดสัมภาษณ์อีกรอบด้วย ซึ่งเร็วๆนี้เพื่อนที่เราไป collab ด้วย อาจจะมีการปล่อยวิดีโอสัมภาษณ์เพื่อนออแพร์ที่มีประสบการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาจริงๆออกมา ยังไงฝากติดตามเพื่อนเราด้วยนะคะ
         พอผ่านวีซ่าแล้ว เอเจนซี่เราจะมีให้ทำสัญญาด้วยค่ะว่าจะต้องอยู่ให้ครบ 1 ปี ห้ามหนี และออกจากโครงการก่อน เขาจะให้ผู้ปกครองไปเซ็นรับทราบด้วย อันนี้ฮามาก เพราะเราบอกพี่ว่าเราไม่โดดแน่นอน เพราะไม่คิดจะหาแฟนอยู่แล้ว อยู่ครบแน่ๆ พี่บอกมาว่าคนอื่นเขาไม่เหมือนหนูลูก เอ๊ะ นี่เราแปลกหรอ ฮ่าๆ (พี่เอเจนซี่บอกว่าให้เซ็นก็เพราะว่ามีหลายคนมีแฟน แล้วอยากออกจากโครงการไปแต่งงานนี่แหละค่ะ แง)
         อีกอย่างที่สำคัญคือการทำ Departure project และการอบรม 6 บทสั้นๆในเว็บค่ะ (เราไม่แน่ใจว่าเอเจนซี่อื่นมีมั้ยนะคะ) DP คือการทำรูปเล่มที่ประกอบไปด้วยข้อมูลเราและข้อมูลโฮสต์ รวมถึงการ discipline เด็กของเราค่ะ มีให้ใส่นิทานและเพลงเข้าไปในเล่มด้วย ตอนทำก็สนุกดีนะคะ แต่กว่าจะเสร็จ เนื้อหาเยอะมาก ด้วยความที่น้องเรา 3 คนและคนละช่วงวัยด้วยแหละ ฮ่าๆ ส่วนอบรมในเว็บไม่ยากเลยค่ะ แค่ดูวิดีโอ แล้วจะมีการทดสอบหลังดูจบ ซึ่งไม่ยาก ถ้าตั้งใจฟังในวิดีโอน้า ต้องผ่านมากกว่า 80% ถึงจะถือว่าผ่านการอบรมนะคะ
         เอาล่ะค่ะ สุดท้ายแล้วคือวันที่ไปสำนักงานใหญ่ของเอเจนซี่ที่เราอยู่ เพื่อรับตั๋วเครื่องบินและเอกสารต่างๆนะคะ พี่เขาจะแจ้งว่าเราไปถึงที่นั่นต้องทำยังไง และมีอะไรบ้าง ซึ่งตอนที่เรามามันยังเป็นช่วงปกติ ที่ออแพร์จะได้ไป orientation ร่วมกัน เอเจนซี่เราเป็นที่นิวเจอร์ซีย์ค่ะ เสียดายที่ตอนนั้นไม่มีรูปหรือความทรงจำอะไรเลย มีน้อยมากๆ เพราะอาการ jet lag ㅜㅡㅜ (แนะนำว่าถ้าได้มาช่วงปกติ หาเพื่อนไว้เยอะๆเลย มีเพื่อนต่างชาติเยอะคือดี) เป็นช่วงที่สนุกดีค่ะ เราจะได้อบรมเกี่ยวกับการดูแลเด็กในช่วงวัยต่างๆ รวมถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยค่ะ
        ท้ายสุดแล้วจริงๆค่ะ วิดีโอที่เราไป collab กับเพื่อน ปล่อยออกมานานเกือบเดือนแล้ว ฮ่าๆ เพิ่งจะได้มาแปะ ยังไงฝากวิดีโอนี้ไว้ด้วยนะคะ พูดคุยถึงการสัมภาษณ์กับโฮสต์แฟมมิลี่ค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนนะคะ ฝากด้วยค่า ไว้เจอกันใหม่อีพีหน้าค่ะ ;)



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in