คำเตือน : แฟนฟิคชั่นของ 9 ศาสตรา มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของเรื่องนะคะ
"It always is harder to be left behind than to be the one to go"
Brock Thoene
(๑)
“คุณพ่อเจ้าคะ ดิฉันขอกราบลาเสียแต่ตรงนี้”
สองมือของชายหนุ่มที่พนมอยู่กลางอก ทอดลงเหนือเท้ายามโน้มตัวลงกราบ
คำพูดที่ลูกชายคนเดียวเอ่ยฟังดูเป็นทางการ ถูกต้องตามมารยาท คล้ายถือลำดับชั้น
ความสุภาพต่อกันไม่ใช่ความห่างเหิน ไม่ใช่ความไว้ตัวของพ่อที่ยังถือตัวว่าเคยเป็นขุนนาง
แต่สองพ่อลูกต่างรู้ว่านั่นคือคำเรียกขานกันอย่างชินปากด้วยความรักใคร่คุ้นเคยกันมาทั้งชีวิต
แสงควรจะได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กอย่างที่ลูกผู้ดีและขุนนางพึงมีโอกาส เช่นที่เขาเคยมี
แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว ทุกอย่างกลับผิดพลาดเสียแผนไปจนหมดสิ้นเมื่อเหล่ายักษ์เข้ารุกราน
สรรพวิชาทั้งหลายที่เคยฝึกมาจนเชี่ยวชาญเพื่อสนองราชการใต้เบื้องพระบาทก็สิ้นโอกาสใช้
บางคนอาจผิดหวังที่ไม่ได้รับการอวยยศ และคงนิ่งเฉยเพราะการกระทำของตนไม่มีใครเห็น
แต่ไม่ใช่สำหรับแสง ขอเพียงได้ใช้ความสามารถเพื่อปกป้องสิ่งที่พึงปกป้อง ชายหนุ่มก็พอใจ
แสงไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ไม่เคยเลย มีแต่เขากระมัง ที่ไม่สามารถสนองสิ่งที่ลูกหวังไว้ได้
พ่อแสงเขาเป็นลูกพ่อ... ภรรยาเอกและภรรยาเดียวของจมื่นพันธ์วรเดชเคยกล่าวเอาไว้
ไม่มีความจริงใดที่จริงยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว... แสงติดพ่อเสียยิ่งกว่าแม่มาตั้งแต่แบเบาะ
โตแล้ว ก็ยังติดสอยห้อยตามเป็นเพื่อนใจ เป็นคู่คิดของเขามาตลอดไม่ว่ายามทุกข์หรือยามสุข
“เราเหลือกันสองคนแค่นี้ จะให้ละทิ้งแล้วเอาตัวรอดไปได้อย่างไร” แสงเคยบอกไว้เช่นนั้น
ไม่ได้แค่บอกเพียงคำพูด แต่ลูกชายของเขาทำอย่างที่พูด ในบรรดามิตรสหายที่เคยร่วมรบ
เขายังไม่พบใครเลยที่ซื่อตรง มั่นคง และไว้ใจได้มากเท่ากับลูกชายของตนเอง โดยเฉพาะในเวลานี้
อดีตปลัดกรมพระตำรวจเอื้อมมือสัมผัสศีรษะของคนที่ก้มอยู่แทบเท้าของตัว ประคองให้ลุกขึ้น
อยากจะดึงตัวของเลือดเนื้อที่เลี้ยงมาแต่เล็กจนใหญ่ขึ้นมากอด แต่จำเป็นต้องห้ามใจเอาไว้
คำลาของลูกทำให้ใจวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เตรียมใจสำหรับคำลาเอาไว้อยู่แล้ว
“รักษาตัวให้ดี” เขาเอ่ย บีบบ่าลูกชายก่อนผละจาก “หวังว่าจะได้พบกันในไม่ช้า”
(๒)
“ให้ฉันไปกับพ่อด้วย ฉันพร้อมแล้ว”
นับแต่นำคนอาสากล้าทำภารกิจบุกชิงเก้าศาสตราที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในที่อันตรายยิ่ง
แยกออกมาจากกลุ่มทหารใต้อาณัติของหลวงเรืองที่เดินทางออกไปสมทบกับมนุษย์กลุ่มอื่น
คำพูดของลูกชายคนเดียววนเวียนอยู่ในความคิด ในทุกลมหายใจเข้าออกและทุกย่างก้าวของเขา
คนเรือนร้อยกลับมีคนกล้ายอมสละชีวิต ยอมเสี่ยงตายในภารกิจที่มีความหวังริบหรี่หยิบมือ
ในบรรดาคนมีวิชาอาวุธติดตัวทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาแล้วก็เกิดรักตัวกลัวตายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คำประกาศของชายหนุ่มอายุยังไม่เต็มยี่สิบที่เปล่งออกมาอย่างมุ่งมั่นเป็นคนแรกอย่างไม่ลังเล
เป็นเหมือนแสงสว่างที่ฉายส่องอยู่ในความมืดมิด แม้เป็นลำแสงเล็กน้อย ก็ยังคงเป็นแสงสว่าง
เป็นความชุ่มชื้นในจิตใจของคนเป็นพ่อ แม้ว่าในเวลาเดียวกัน หัวใจจะหน่วงหนักเพราะความห่วง
“ครั้งนี้ เสี่ยงถึงชีวิต... พ่อมีหน้าที่อื่นที่จะมอบหมายให้ทำ”
เสี้ยวนาทีที่สิ้นคำจากปาก เป็นแวบแรกและเป็นวูบเดียวที่จมื่นพันธ์เห็นความผิดหวังในดวงตาลูกชาย
แต่ไม่นานนัก เมื่อสบตากัน ความผิดหวังนั้นก็หายไป ความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาเข้าแทนที่
แววตาของลูกชายสะท้อนแววตาชนิดเดียวกันของผู้เป็นพ่ออย่างเขา เป็นแววตาของคนที่รู้เท่าทันกัน
“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ให้นานกว่าพ่อ เพื่อรับใช้แผ่นดินนี้ต่อไป”
คำกล่าวนั้นเหมือนคำสั่งเสียที่ทุกคนได้ยินกันถ้วนหน้า เป็นคำของพ่อที่ฝากฝังอนาคตไว้กับคนรุ่นหลัง
เป็นความตั้งใจที่จะให้ทุกคน ไม่ว่ามิตรแท้หรือศัตรูใกล้ตัวได้ยินและเข้าใจว่า เขาจะทิ้งลูกไว้เบื้องหลัง
ไม่ว่าประโยคนั้นเอ่ยด้วยเจตนาเช่นไร และแม้ว่าแท้จริงแล้ว แผนลับที่เตรียมไว้มีชีวิตลูกเป็นเดิมพัน
จมื่นพันธ์อยากให้แสงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานที่สุด นานพอที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะได้ใช้เสียที
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ภาพลูกชายที่กราบแทบเท้าและกล่าวลาจึงทับซ้อนกับภาพของวันเก่า
ที่เขานำพานธูปเทียนและดอกไม้พร้อมหนังสือกราบบังคมทูลลาถึงแก่กรรมของบิดาไปทูลเกล้าฯ ถวาย
จมื่นพันธ์พยายามสลัดภาพนั้นออกจากสมอง และบอกตนเองว่า จะไม่มีเหตุการณ์ที่หวั่นไว้เกิดขึ้น
อย่างไรเสีย ลูกก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้นานกว่าพ่อ หากใครคนหนึ่งจะต้องไป คนที่เอ่ยคำลาจะต้องเป็นเขา
(๓)
“คุณพ่อเจ้าคะ ดิฉันขอกราบลาเสียแต่ตรงนี้”
คำลาประโยคนั้นกลายเป็นคำลาสุดท้ายก่อนจากลากันชั่วชีวิตอย่างแท้จริง
แต่ในนาทีสุดท้าย ก่อนแสงแห่งชีวิตของแสง ลูกชายของเขาจะดับลง
ไม่มีแม้แต่คำลา ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะคว้าเอาร่างไร้วิญญาณของลูกกลับมา
มือที่ยื่นมาหาไม่ใช่มือของลูกชายคนเดียวของเขา
แต่เป็นกรงเล็บแหลมคมของพรานทมิฬที่แทงทะลุร่างของแสงจากทางด้านหลัง
ลูกชายใช้ร่างกายของตนเอง ใช้เลือดเนื้อที่สืบสายมาจากเขาปกป้องชีวิตเขาเอาไว้
จมื่นพันธ์หันหลัง ทิ้งดาบข้างหนึ่งในมือ เอื้อมมือข้างที่ว่างอยู่ถลาเข้าไปหาแสง
แต่สำนึกสุดท้ายของคนเป็นพ่อถูกแทบที่ด้วยสติ ซึ่งคนเป็นลูกใช้ลมหายใจสุดท้ายเรียกคืนมา
แสงใช้กำลังทั้งหมดที่ตนมี โถมใส่ ‘อมนุษย์’ ให้ร่วงหล่นกลับสู่ห้วงความมืดไปพร้อมกัน
เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของชายหนุ่มคือเสียงสำลักเลือดที่ไหลรินมาตามมุมปาก
เสียงสุดท้ายที่เขาควรจะใช้ร้องเรียกชื่อของลูกชายกลับกลายเป็นความเงียบงัน
จากความตั้งใจที่จะสละชีวิตตนเองเพื่อให้ลูกชายที่ลอบหลบจากกลุ่มหลวงเรืองย้อนกลับมา
ได้มีชีวิตต่อไปและพาเอาของสำคัญที่หมายถึงความอยู่รอดของบ้านเกิดเมืองนอนหนีไป
การณ์กลับกลายเป็นว่า เขาต้องสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวไปพร้อมกับเพื่อนพ้องผู้กล้า
ไม่มีคำร่ำลา ไม่มีน้ำตา ไม่มีสิ่งใดที่จมื่นพันธ์ทำได้ นอกจากทิ้งร่างของแสงไว้เบื้องหลัง
“เราเหลือกันสองคนแค่นี้ จะให้ละทิ้งแล้วเอาตัวรอดไปได้อย่างไร”
จากสองพ่อลูก เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว
แสงไม่ได้ละทิ้งเขาเพื่อเอาตัวรอด แต่แสงสละชีวิตของตนเองเพื่อให้เขาอยู่รอด
เพื่อให้เขาทำหน้าที่รับใช้แผ่นดินต่อไป และใช้ชีวิตของตนเองต่อไปหากเอาชีวิตรอดมาได้
สองมือที่เคยโอบอุ้มเด็กชายตัวน้อยเอาไว้แนบอกกล่อมให้นอน ไม่ร้องงอแงหาพ่อ
กลายเป็นสองมือที่จำใจปล่อยลูกชายที่เติบใหญ่ เป็นสองมือที่กำดาบกรุยทางหนีให้ตนเอง
เพื่อนำเอาเก้าศาสตรา ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเหล่ามนุษย์ ในห่อผ้าที่มัดแน่นไว้กับอก
ออกไปจากสถานที่ที่เป็นของศัตรู ถอยหลังเพื่อตั้งหลักทวงคืนอิสรภาพที่ถูกแย่งชิงไปโดยพวกยักษ์
ท่ามกลางแสงสว่างสุดท้ายที่สาดส่องจากปลายอุโมงค์ก่อนความมืดของราตรีจะคืบคลานเข้าแทนที่
ใต้แสงตะเกียงของนายมั่น หัวหน้าหมู่บ้านฆ้องเหล็ก จมื่นพันธ์มองศาสตราวุธที่เป็นความหวังสุดท้าย
เดิมพันทั้งหมดที่เขาเคยวางไว้เพื่อสิ่งที่อยู่ในมือตนในเวลานี้ถูกใช้ไปหมดแล้ว กระทั่งหัวใจของตัวเอง
แสงแห่งความหวังของผู้คนยังคนอยู่ แต่แสงที่เคยเป็นความหวังของคนเป็นพ่อลาลับไม่หวนคืนมาแล้ว
(๔)
“อ๊อด หนีไป!!!”
จมื่นพันธ์ร้องตะโกนให้ชายหนุ่มพร้อมย่ามใส่ของสำคัญและข้าวของที่เขาเตรียมให้หนีไปเสียจากเกาะ
ระหว่างที่ตนเองพยายามถ่วงเวลา และใช้ทุกพลังแรงกายกับสติปัญญาเท่าที่มีอยู่ต่อสู้กับศัตรูตรงหน้า
หลวงเรืองทรยศเพื่อนพ้องและเผ่าพันธุ์ของตนเองนำเหล่ายักษ์ขึ้นมายังเกาะนกแอ่นเพื่อชิงเก้าศาสตรา
เขาโกรธคนที่เคยตีสนิทเรียกเขาเป็นพี่น้องแต่กลับหักหลังกันจนเขาต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป
แต่เขาโกรธตนเองมากกว่าที่แม้จะนึกแคลงใจในตัวพวกพ้องคนนี้ ทว่ายังคิดในแง่ดีว่าอาจไม่มีอะไรก็ได้
และยังยอมเชื่อใจปล่อยให้ไอ้หนอนบ่อนไส้คนนี้เข้ามาถึงเกาะ และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างลุกเป็นไฟ
ถึงจะลังเล เมื่อเห็นเขาและพ่อครูเฒ่าตกอยู่ในเงื้อมมือของพรานทมิฬและเหล่ายักษ์ที่มีมากกว่า
แต่ในที่สุดแล้ว อ๊อด... เด็กชายตัวน้อยที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่น้อยและนับเขาเป็นเสมือนพ่อแท้ ๆ จนบัดนี้
ก็ยังคงเป็นเด็กดีของพ่ออย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับแสง ลูกชายโดยสายเลือดที่เขาเคยเสียไป
ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังให้กับทุกสิ่งและหนีออกจากเกาะไปพร้อมกับสิ่งที่ศัตรูหมายแย่งชิง
ไม่มีคำร่ำลาระหว่างพ่อกับลูกที่แม้ไม่ได้ผูกพันกันโดยสายเลือด แต่สายใยที่ผูกพันกันนั้นก็เหนียวแน่น
นั่นก็ดีแล้ว... เพราะเขาไม่อยากได้ยินคำลาและไม่อยากเอ่ยมันออกมาเหมือนคราวก่อนที่เคยเอ่ย
ใครเลยจะเชื่อว่า เด็กชายที่พ่อแม่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อรักษาชีวิตลูกไว้ จะมาเติมเต็มชีวิตของเขา
เขาได้รับแสงแห่งความหวังในชีวิตที่เคยดับสูญไปพร้อมกับชีวิตของแสงกลับคืนมาท่ามกลางสายฝน
มือที่เคยเอื้อมคว้าได้แต่ความว่างเปล่าเมื่อยื่นออกไปหาลูกชาย คว้าร่างเด็กชายที่หลุดมือไปได้สำเร็จ
จมื่นพันธ์กอดเด็กน้อยไว้แนบอก ใช้ร่างของตนเองปิดป้องกรงเล็บที่เคยกระชากชีวิตลูกชายของเขา
ความเจ็บปวดที่ได้รับเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับโอกาสที่เขาได้รับ และเขาจะไม่ยอมเสีย ‘ลูก’ ไปอีก
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา บาดแผลในใจแม้ยังมีร่องรอย แต่ก็เบาบางไปกว่าเก่า โดยเฉพาะในวันนี้
อ๊อดอาจคิดว่าเขามีบุญคุณที่ช่วยให้ตนรอดชีวิต แต่ความจริงแล้ว อ๊อดทำให้เขาได้ชีวิตกลับมาเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงปะทุของสะเก็ดไฟและกลุ่มควันที่ปกคลุมไปทั่ว ในเงื้อมมือศัตรูที่เขาเคยหนีรอดมาได้
จมื่นพันธ์หันมองยังทิศทางที่ ‘ลูกชาย’ มุ่งไป และเหยียดยิ้มเมื่อได้ยินเสียงที่บ่งชัดว่าอีกฝ่ายหนีสำเร็จ
อย่างไรเสีย ลูกก็ต้องมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าคนเป็นพ่อ... เพื่อรับใช้แผ่นดิน และใช้ชีวิตที่ตนเองพึงใช้
“รักษาตัวให้ดี หวังว่าจะได้พบกันในไม่ช้า”
เขาเอ่ยบอกอีกฝ่ายหนึ่งในใจ... เขารู้ว่า อ๊อดจะหวนกลับมาหาในที่ที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันสองพ่อลูก
ไม่ว่าในวันนั้น เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะฉะนั้น เขาจะไม่เอ่ยคำลากับใครอีกต่อไปแล้ว
จบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in