ไม่ใช่รีวิวหนัง เพราะไม่ใช่นักดูหนังที่ดี ไม่ใช่นักวิจารณ์หนังด้วย แต่เป็นบันทึกให้ตัวเองหายค้างคา หลังเดินมึน ๆ ออกมาจากโรงหนังเมื่อ 2-3 วันก่อน ด้วยความรู้สึกก้ำกึ่งเล็กน้อยหลังดู Alien: Covenant จบ
สำหรับภาคนี้ เป็นภาคต่อของ Prometheus ที่ริดลีย์ สก็อตต์บิดาแห่งเอเลี่ยนทั้งปวงเอามาทำเองหลังจากเอเลียนที่เป็นไซไฟแฝงปรัชญากลายเป็นแอคชั่นลาบเลือดสัตว์ประหลาดสู้กันไปหลายภาค (แต่ก็ต้องยอมรับว่า Alien 2 ที่กลายเป็นแอคชั่น ริปลีย์ลุกขึ้นมาล้างแค้นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนเกินกำลังมนุษย์จะสู้ได้มันสนุกจริงๆ นั่นละ)
เรื่องย่อโดยสรุป คือ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งทำหน้าที่นำผู้คน 2000 คนและตัวอ่อนมนุษย์ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ดาวดวงใหม่ไปกับยาน Covenant แต่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางทำให้กัปตันตัวจริงของยานตาย ลูกเรือที่ถูกปลุกขึ้นจาก Hypersleep ก็ต้องตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเอง แต่เมื่อซ่อมแซมระบบเสร็จก็ค้นพบคลื่นเสียงประหลาดจากดาวที่ไม่เคยสำรวจพบมาก่อนระหว่างทาง และที่สำคัญ มีภาพบรรยากาศและแหล่งทรัพยากรเหมาะสมที่จะตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย กัปตันคนใหม่ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนไปสำรวจ ทั้งที่นางเอกของเรื่อง คือ แดนนี่ คัดค้านว่า ดาวที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น มัน Too good to be true แต่กัปตันใหม่ คือ คริส ก็ตัดสินใจว่าจะลงไปสำรวจ และให้เหตุผลว่ากว่าจะไปถึงดาวเป้าหมายก็อีก 7 ปีกว่า ไม่มีใครอยากกลับไปนอนยาวอีกแล้ว
จากนั้น ก็เป็นไปตามสูตร คือ เมื่อถึงดาวปริศนาดวงใหม่ ความหายนะก็บังเกิด และสิ่งหนึ่งที่ได้เจอก็คือ เอเลียนอย่างที่เดากันได้
---------------------------------------------
Exodus
"จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ด้วยว่าเราจะไม่ขึ้นไปท่ามกลางพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายพวกเจ้าเสียระหว่างทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติดื้อรั้น"
อพยพ 33: 3 (Exodus, 33: 3)
พูดอย่างไม่เข้าข้างกัน ไอเดียของ Alien Covenant ดีมาก ในความรู้สึกแวบแรก หลังจากหายมึนกับความงี่เง่าเหมือนแต้มบุญที่คนในยานส่วนใหญ่สะสมมาก่อนหน้านี้ได้หมดลงแล้ว คือ การเดินทางของยาน Covenant เหมือนหยิบเอาเรื่องในคัมภีร์พันธสัญญาเก่ามาเล่าใหม่ โดยเฉพาะใน Book of Exodus (ซึ่งริดลีย์ สก็อตต์ก็ทำหนังจาก Book of Exodus มาก่อนหน้านี้แล้วด้วย คือ Exodus: Gods and Kings)
ในพระคัมภีร์ เล่าเหตุการณ์หลังโมเสสพาชาวอิสราเอลหนีการตามล่าของชาวอียิปต์ข้ามทะเลแดงมาได้ และโมเสสขึ้นไปบนเขาไซไน หายไปสี่สิบวันสี่สิบคืน จนชาวอิสราเอลที่ติดตามมาเริ่มหวั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสหรือเปล่า อาโรนหรืออารอน หัวหน้าคนหนึ่งของชาวอิสราเอลจึงได้รวบรวมทองคำจากคนอื่น ๆ มาหลอมสร้างรูปเคารพเป็นวัวทองคำขึ้น ซึ่งการกระทำนั้นขัดต่อคำสั่งของพระยะโฮวาห์ และทำให้พระองค์พิโรธหนัก และให้โมเสสลงจากเขาไปจัดการเสีย เพราะเหล่าผู้ติดตามมานั้นได้ก่อความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้น โมเสสเผารูปเคารพนั้นทิ้ง บังคับให้ชาวอิสราเอลดื่มน้ำผสมขี้เถ้า จากนั้นโมเสสก็ได้สลักบัญญัติสิบประการขึ้นตามบัญชาของพระเจ้า และเมื่อกลับลงมาหาชาวอิสราเอลอีกครั้ง โมเสสก็ให้ทำหีบแห่งพันธสัญญา (Ark of Covenant) ขึ้น
ชื่อยานที่พาคนสองพันกว่าคนพร้อมตัวอ่อนไปยังดินแดนใหม่ในเรื่องนี้ก็คือ Covenant และบรรดาลูกเรือทั้งหลายที่มาในยานลำเดียวกันก็ไม่ต่างอะไรกับผู้นำพามนุษยชาติไปยังดินแดนใหม่ แต่ไม่ทันถึงดี ก็มาเกิดเรื่องเสียก่อน และการตัดสินใจของกัปตันคนใหม่ที่โชคชะตา (หรือความซวยบันดาล) นำพาให้เป็น อย่างคริสโตเฟอร์ ออแรม หรือคริส ที่นำยานออกห่างจากจุดหมายที่กำหนดเอาไว้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่อาโรนนำพาชาวอิสราเอลที่กำลังเดินทางไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาออกนอกลู่นอกทางไปหาสิ่งสวยงาม แต่อยู่ห่างจากพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า
สิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์อย่างความโง่เขลา ความดื้อรั้น ความไม่เชื่อฟัง ความศรัทธาที่ไม่มีเหตุผลและข้อมูลรองรับ และอื่นๆ ทำให้มนุษย์ที่ไม่เชื่อฟังก้าวสู่ความหายนะก่อนถึงดินแดนที่ควรจะเป็นบ้านอย่างแท้จริง
และเช่นเดียวกับใน 'อพยพ' ... คนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าย่อมถูกสังหาร
ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ริดลีย์ สก็อตอยากเล่า แต่บทมันส่งให้ไปถึงตรงนั้นไม่ได้จริงๆ เพราะสิ่งที่รู้สึกตลอดเวลาที่ดูหนัง โดยเฉพาะกับคริส คือ เขาใช้หลักเกณฑ์อะไรเลือกพวกแกให้มานำมนุษย์ชาติให้ไปตั้งถิ่นฐานบนดาวโอเนไก-6 ฟะ การตัดสินใจแต่ละอย่างที่ทำ คือ ไม่ส่งเพื่อนไปตาย ก็ส่งตัวเองไปตายชัดๆ ด้วยความที่เผลอโฟกัสกับการตายแบบไม่น่าตาย การพาตัวเองสู่ความหายนะของบรรดาลูกเรือทั้งหลาย สิ่งที่ควรจะได้จากหนังเลยไม่ได้ระหว่างดูเอาเฉยๆ
ยากมากที่จะไม่แอบด่าความงี่เง่าของตัวละครในเรื่องอยู่ในใจ จนไม่ค่อยได้เอาใจช่วยเท่าไหร่ แถมพอตายขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้แต่คิดว่า 'ตูว่าแล้ว' ซะงั้นเลย รู้สึกว่าตัวเองแอบใจร้าย แต่ก็อดคิดอย่างนั้นไม่ได้จริงๆ เพราะแต่ละอย่างที่ทำนี่ ส่งบัตรเชิญให้ตัวเองไปตายล้วน ๆ นับตั้งแต่ออกไปสำรวจดินแดนอื่นโดยไม่มีชุดป้องกันที่รัดกุม ไม่มีการปิดบังใบหน้าหรือป้องกันไม่ให้สูดสสารแปลก ๆ ในชั้นบรรยากาศของดินแดนที่ไม่มีข้อมูลแล้ว ^^'
แต่ถ้าไม่ทำตัวงี่เง่า เรื่องก็คงไม่เกิดสินะ.... โอเค ตามนั้น
Paradise Lost
Into this wild Abyss,
The womb of Nature, and perhaps her grave,
Of neither Sea, nor Shore, nor Air, nor Fire,
But all these in their pregnant causes mixed
Confusedly, and which thus must ever fight,
Unless the Almighty Maker them ordain
His dark materials to create more worlds—
John Milton, Paradise Lost: Book 2: 910-916
(1)
God's creation, yet self-raised
หลังจากหายมึน แล้วมารู้อีกทีว่า ชื่อเดิมที่ริดลีย์ สก็อตตั้งไว้คือ Alien: Paradise Lost ก็ถึงบางอ้อ เพราะชื่อนี้มันสมแล้วที่เป็น theme หลักของเรื่อง ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เอเลี่ยนกับคนบนยาน Covenant เป็นตัวเอกหรอก แต่เป็นเรื่องของเดวิด ปัญญาประดิษฐ์และดรอยด์จาก Prometheus ที่เหลือรอดอยู่บนดาวดวงนั้น กับวอลเตอร์ ดรอยด์อีกคนหนึ่งของยาน Covenant ต่างหาก แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ชื่อนี้ก็โดนพับไป กลายเป็น Covenant แทน แต่ theme จริงๆ ก็ยังคงอิง Paradise Lost ของ John Milton อยู่นั่นเอง จากที่ตงิด ๆ แต่แรกที่นั่งดู ก็เพิ่งมาเริ่มเข้าใจแนวคิดของผู้กำกับตอนนี้นี่เอง
จากคำถามที่เดวิดถามเวย์แลนด์ หลังจากที่เวย์แลนด์บอกว่า เขาเป็นพ่อของเดวิด เป็นผู้สร้างเดวิดขึ้นมา เดวิดกลับถามว่า แล้วใครเป็นผู้สร้างเวย์แลนด์ขึ้นมาล่ะ ชวนให้คิดถึงตอนหนึ่งใน Paradise Lost ที่ซาตานหรือลูซิเฟอร์ที่เดิมทีก็เป็นเทวดากล่าวย้อน Abdiel ที่พูดกับตนว่า พระเจ้านั้นเป็นผู้สร้างเหล่าเทวดาขึ้น โดยลูซิเฟอร์บอกว่า ข้าไม่รู้ว่าข้าถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ แต่ข้าเป็นตัวของตัวเองและเติบโตขึ้นได้ด้วยตนเอง นั่นหมายความว่า ถึงพระเจ้าจะสร้างขึ้น แต่ตัวตนที่แท้ของซาตานนั้นเป็นอยู่และสร้างสรรค์ขึ้นได้ด้วยตัวของตัวเองไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้กำหนด
When this Creation was? Remember’st thou
Thy making while the Maker gave thee being?
We know no time when we were not as now,
Know none before us, self-begot, self-raised
(John Milton, Paradise Lost: Book 5: 857-860)
คำถามของเดวิดโยงย้อนกลับไปยังคำถามที่ Prometheus เคยถามเอาไว้ว่า เราจะมีชีวิตเป็นอมตะไปเพื่ออะไร และเล่นบทของพระเจ้าไปเพื่ออะไร และใน Covenant ก็ย้ำประเด็นที่ว่า มนุษย์บอกว่าตนเองเป็นผู้สร้าง แต่ผู้สร้างอย่างมนุษย์ก็มีวันตาย ในขณะที่สิ่งที่มนุษย์สร้างกลับอยู่อย่างยั่งยืนยิ่งกว่า ตกลงผู้สร้างสรรค์ที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้
ความอยากรู้อยากเห็นเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่เป็นผลงานของตัวเองก็เป็นความสามารถของมนุษย์ แต่ความสามารถและคุณสมบัติเหล่านี้เพียงพอแล้วหรือสำหรับ 'การเป็นมนุษย์'
ถามว่าจะนับว่าดรอยด์ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์และปรารถนาที่จะเป็นผู้สรรค์สร้างอย่างมนุษย์อย่างเดวิด เป็นผู้สร้างสรรค์ได้ใช่หรือไม่ คือ ทั้งใช่และไม่ใช่ ทำนองเดียวกับลูซิเฟอร์ที่มีรูปลักษณ์ ความสง่างาม และคุณสมบัติของเทวดาอย่างครบถ้วน แต่ความคิดอ่านและความเชื่อกลับแตกต่างออกไป ลูซิเฟอร์จึงเป็นทั้งเทวาและซาตานอยู่ในคนคนเดียวกัน
ที่แน่ ๆ หลังแยกจากมนุษย์และเทวดาอื่นๆ ทั้งซาตานและเดวิดต่างเป็นผู้นำแห่งสรวงสรรค์ที่ตนเองสร้างขึ้น และเป็นสวรรค์คนละแบบกับสวรรค์ในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
(2)
The Womb of Nature, yet Her Grave
ดินแดนรกร้างที่มีเดวิดเป็นราชาหนึ่งเดียวของสถานที่แห่งนั้น แทบไม่ต่างจากเกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดในนิยายวิทยาศาสตร์ The Island of Doctor Moreau ของ H.G. Wells ที่มีนักวิทยาศาสตร์ประเภท mad scientist เป็นเจ้าของและสร้างสัตว์ประหลาดพิกลพิการขึ้นมา แต่สำหรับเดวิดเป็นยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองไปโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ความเป็นมนุษย์ หรือความทุกข์ทรมานของคนอื่นใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เดวิดขาดไป คือ ความเป็นมนุษย์และความรู้สึกอย่างมนุษย์ที่ซับซ้อนเกินกว่าปัญญาประดิษฐ์คนหนึ่งจะเรียนรู้ได้
ความอยากรู้อยากเห็น ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ถูกกำกับด้วยความยับยั้งชั่งใจ เพราะไม่เคยตระหนักรู้ว่า สิ่งที่ทำนั้นผิด เมื่อบวกกับความเชื่อมั่นว่า ตนเองไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย ไม่เหมือนมนุษย์ที่สร้างตนเองขึ้นมา ความหลงว่าตนเองเป็นผู้สร้างสรรค์ที่จะทำอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ไม่คิดถึงคนที่ตัวเองเคยบอกว่ารัก เดวิดจึงเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างที่สุด และอันตรายกว่า 'เอเลี่ยน' ที่เขาเพาะพันธุ์ขึ้นด้วยซ้ำไป
ลำพังตัวของเดวิดอาจไม่อันตรายเท่าที่เป็นอยู่ หาก 'มนุษย์' ที่มีสำนึกรู้แต่เพียงว่าดรอยด์เป็นสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นและตนเองเป็นผู้โปรแกรมคำสั่งให้ 'ทำหน้าที่' รับใช้และปฏิบัติตามคำสั่ง และหลงลืมไปว่า ปัญญาประดิษฐ์สามารถประมวลผลได้ด้วยตนเองและอาจเรียกได้ว่ามีความนึกคิด ความประมาทว่าตนเองเหนือกว่าและเคยชินกับการออกคำสั่งดรอยด์ ทำให้มนุษย์อย่างคริสและคนอื่น ๆ ไว้วางใจในตัวของเดวิด เหมือนกับที่เชื่อในตัวของวอลเตอร์ว่า 'ไม่เป็นอันตราย' นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่นำไปสู่ความหายนะยิ่งกว่าเก่า
แทนที่จะได้มีบ้านอยู่ในสถานที่ที่สวยงามมีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำพร้อมสมบูรณ์ ก็ถูกเดวิดซึ่งเป็น 'พ่อ' ยัดเยียดสถานะความเป็น 'แม่' ให้เด็กๆ ทั้งหลายที่ตัวเองอาศัย 'Dark materials' หรือ black goo ที่ถูกเอ่ยถึงใน Prometheus สร้างสรรค์ขึ้น จนได้กลับบ้านเก่าไปหลายราย (ยังไม่นับบางคนที่โดนลูกๆ ของเดวิดกัดตายอีก)
The womb of Nature, and perhaps her grave... แบบใน Paradise Lost ตรงตัวเป๊ะเลยไหมล่ะ -_-"
(3)
Cain and Abel
The others not, for his was not sincere;
Whereat hee inlie rag'd, and as they talk'd,
Smote him into the Midriff with a stone [ 445 ]
That beat out life; he fell, and deadly pale
Groand out his Soul with gushing bloud effus'd.
(John Milton, Paradise Lost: Book 11: 443-447)
เป็นประเด็นที่นั่งกินข้าวอยู่แล้วเพิ่งคิดได้ เลยต้องมาเพิ่มเติมอีกรอบ เพราะเรื่องของเดวิดและวอลเตอร์เป็นเรื่องที่ติดใจเป็นการส่วนตัวจริงๆ เพราะบทพูดของเดวิดเรียกว่าวอลเตอร์ว่า 'น้องชาย' หลายครั้ง และท้ายที่สุดแล้ว ก็ลงเอยด้วยเหตุการณ์ที่ 'พี่ชาย' ฆ่า 'น้องชาย' ของตัวเอง ถ้าเรื่องราวของ Alien Covenant อิงมาจากพระคัมภีร์และ Paradise Lost ของมิลตัน เหตุการณ์พี่ฆ่าน้องเพราะเหตุที่พระเจ้าโปรดปรานคนน้องมากกว่า ยินดีในตัวคนน้องมากกว่าที่โดดเด่นที่สุด ก็คือ กรณีของเคนกับอาเบล หรือ คาอินและอาแบล ในปฐมกาล 4: 8 ตามพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาไทย
Now Cain said to his brother Abel, “Let’s go out to the field.” While they were in the field, Cain attacked his brother Abel and killed him. [Genesis 4: 8]
เคนลวงอาเบลให้ออกไปในทุ่ง ฝ่ายน้องชายก็เชื่อ แต่เมื่อตามไปแล้วพี่ชายก็ฆ่าน้องชายตนเสีย
เมื่อฆ่าอาเบลแล้ว เคนยังได้โกหกพระเจ้าด้วยว่า เขาไม่รู้ว่าน้องชายของตนไปไหน เหมือนกับเดวิดทำ และในที่สุด พระเจ้าก็รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับอาเบล และสาปแช่งเขาให้ต้องพเนจรไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน ประทับตราบนตัวของเขาเพื่อไม่ให้ใครฆ่า และหากใครฆ่าเคนแล้ว คนนั้นต้องรับโทษเจ็ดเท่า หลังจากพเนจรไปเรื่อยๆ เคนได้พบภรรยา มีลูกชายชื่อ เอนอค (หรือเอโนค) และสร้างเมืองขึ้น โดยตั้งชื่อตามชื่อของลูกชายตน และเอโนคก็มีทายาทสืบต่อกันไปเรื่อยๆ
ถ้าดรอยด์ คือ 'ลูก' ของมนุษย์ เดวิดเป็นลูกชายที่เวย์แลนด์สร้าง แต่ในขณะเดียวกัน เวย์แลนด์ก็เป็นมนุษย์ที่ถูกพระเจ้าสร้าง (ซึ่งพระเจ้าในที่นี้จะเป็น the Engineer หรือใครก็ตามแต่) มนุษย์ที่สร้างดรอยด์และเป็นเจ้าของดรอยด์ และเป็นคู่แต่งงานที่นำพาคนไปตั้งถิ่นฐานยังดินแดนใหม่ ก็คงเทียบเท่าได้กับอดัมกับอีฟ มนุษย์ชายหญิงที่เป็นพ่อและแม่ของมนุษยชาติ
เดวิด ดรอยด์ที่ฉลาดเกินไป เจ้าเล่ห์เกินไป เหมือนมนุษย์เกินไปจนผู้สร้างสรรค์เดวิดขึ้นมา 'ไม่ชอบ' นำไปสู่การปรับแก้ดรอยด์รุ่นหลังอย่างวอลเตอร์ให้เหมาะสม เชื่อฟัง และเป็นที่พึงพอใจของผู้สร้างมากกว่า 'พี่ชาย' อย่างเดวิดชักจูง 'น้องชาย' อย่างวอลเตอร์ด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อที่จะให้ฝ่ายหลังคล้อยตามเป็นพวกตน แต่เมื่อวอลเตอร์รู้ทันและพยายามช่วยมนุษย์ เดวิดก็ 'ฆ่า' วอลเตอร์เสีย จากนั้น เดวิดก็ออกไปจากดาวโดยอาศัยยาน Covenant เดินทางไปยังโอเนไก-6 เป้าหมายที่วางไว้แต่แรก
แต่เราก็ไม่รู้ว่า หลังจากไปถึงโอเนไก-6 แล้ว เดวิดจะก่อทำให้ทุกอย่างพังพินาศอย่างที่เคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ถ้าทำลายชีวิตมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นจนไม่เหลือให้ทำลายอีกแล้ว เดวิดยังจะ 'พเนจร' ออกไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิต เพื่อหา 'แม่' ให้ 'ลูกๆ' ของเขา งานสร้างสรรค์ของเขาต่อไปอีกหรือไม่ หรืออีกนานแค่ไหน
(4)
His Dark Materials
ทั้งที่องค์ประกอบหลายอย่าง การตั้งคำถามกับการสร้างสรรค์ การเป็นมนุษย์และพระเจ้า การหันเหออกจากทางที่ควรจะไป การหยิบเอาเรื่องในไบเบิลมาเล่าใหม่ และประเด็นที่ชงขึ้นมาในส่วนของเดวิด/วอลเตอร์น่าสนใจทีเดียว แต่เอาเข้าจริง ๆ บทหนังพาไปไม่สุดสักเรื่อง เส้นเรื่องที่ปูมาดีแล้ว ตอนท้ายๆ กลายเป็นวนลูปกลับไปเป็นสยองขวัญหนีตายจากการไล่ล่าของเอเลี่ยนในที่แคบแบบหน้าตาเฉยไปซะงั้น จนแอบรู้สึกว่า ลุงริดลีย์แกจับยัดขึ้นมาเพื่อขายในส่วนของแอคชั่น และบทต่อสู้เท่ ๆ ของผู้หญิงทำนองเดียวกับที่จ่าริปลีย์ ที่ซิกอร์นีย์ วีเวอร์เคยเล่นแล้วประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้กลาย ๆ ด้วยหรือเปล่า และมุกในห้องอาบน้ำตอนท้ายๆ แอบดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ ^^'
ในส่วนของไอเดีย แนวคิดเกี่ยวกับ Covenant และ Paradise Lost ของริดลีย์ สก็อตก็ยังคงเป็นริดลีย์ สก็อตเอามากๆ และเป็นส่วนที่ชอบ แต่สิ่งที่น่าเสียดายและทำให้รู้สึกว่าหนังยังไปไม่สุด ยังขยี้ปมกับตีแนวคิดของริดลีย์ สก็อตออกมาได้ไม่เท่ากับที่ควรจะเป็น คือ บทไม่ส่งและวางน้ำหนักของตัวละครไม่พอดีเท่าไหร่
ความจริงบทของแดนนี่กับคริสปูมาดี แต่ใช้ไม่คุ้ม โดยเฉพาะบทของแดนนี่ที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่าสู้กับเอเลียน เพราะความขัดแย้งของคนที่ใช้เหตุผลแต่เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์คนอื่นอย่างแดนนี่ กับคนที่ใช้อารมณ์นำและเข้าใจว่าอารมณ์เป็นเหตุผลอย่างคริสมีอะไรให้เล่นได้เยอะมาก การตายของกัปตันเหมือนโมเสสขึ้นเขาแล้วไม่กลับลงมาเสียที แล้วอาโรนหรือคริสก็สร้างรูปเคารพขึ้น นั่นก็คือการพาคนอื่นเข้ารกเข้าพงไป ทั้งที่แดนนี่คัดค้านแล้ว เป็นส่วนที่เขียนให้ดราม่าไปเลยจริงๆ ก็ได้
ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้อย่างแท้จริงและมีชื่อขึ้นเป็นชื่อแรกใน End Credit ก็คือ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ที่เป็นเดวิด ดรอยด์ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์จากภาคก่อน กับ วอลเตอร์ ดรอยด์ที่มีความเป็นหุ่นยนต์มากขึ้นในภาคนี้ และปมทุกอย่างถูกเฉลยผ่านสองคนนี้เป็นหลัก
แอบคิดว่าเป็นเรื่องตลกร้ายอยู่ไม่น้อย ในขณะที่มนุษย์อื่นๆ กำลังงมอยู่กับอะไรสักอย่าง คนที่ค้นพบความจริงเบื้องหลังของเดวิดกลับเป็นดรอยด์ด้วยกันเอง ไม่ใช่มนุษย์ที่ประดิษฐ์ดรอยด์เหล่านี้ขึ้น และสิ่งที่ยังค้างคาใจตัวเองจนถึงตอนนี้ คือ ความรู้สึกว่า ถึงวอลเตอร์จะถูกโปรแกรมให้มีความเป็นคนน้อยลง สร้างสรรค์ และตั้งคำถามที่ฉีกออกไปจากกรอบอย่างที่เดวิดทำไม่ได้ แต่กลับรู้สึกว่าวอลเตอร์ต่างหากที่รักเป็น แม้จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทำลงไปคืออะไร และแม้จะตั้งคำถามหรือสร้างสรรค์อะไรนอกกรอบไม่ได้ แต่คำถามที่วอลเตอร์ตั้งขึ้นมาถามเดวิด และการคิดคำนวณของวอลเตอร์นั้นกลับถูกต้องยิ่งกว่าดรอยด์ที่อยากเป็นมนุษย์และมนุษย์จริงๆ ด้วยซ้ำไป
และฉากที่น่าจดจำที่สุดในหนังเอเลียน เป็นตอนที่เดวิดท่องบทกวี Ozymadias ให้วอลเตอร์ฟัง มันน่าจดจำมาก น่าจดจำกว่าการปรากฏตัวของเอเลียนในภาคนี้อีก
ถ้าโยนความไม่สมเหตุสมผลและความสมควรตายที่ทำตัวโง่ๆ ของตัวละครในเรื่องออกไปได้ คำถามว่าเมื่อมนุษย์อยากเล่นบทของพระเจ้า และดรอยด์ที่มนุษย์สร้างอยากเล่นบทของพระเจ้าบ้างอะไรจะเกิดขึ้น และเมื่อเดวิดไม่อยากอยู่ในฐานะ 'งานสร้างสรรค์' ที่ผู้สร้างสรรค์ถูกจดจำ แต่อยากเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ถูกจดจำเสียเองจะเกิดอะไรขึ้น Alien Covenant ก็ถือว่าทำสำเร็จ และประเด็นนี้ก็สำคัญมาก เพราะความหายนะทั้งมวลเกิดขึ้นจากผู้สร้างสรรค์ที่ไร้ความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง และมีตัวเสริมคือความโง่เขลา ไร้สติของมนุษย์เอง
แต่ก็นั่นแหละ... ทั้งหมดที่ว่ามา โดนฉากเอเลียนฮึ่มแฮ่วิ่งตามล่ามนุษย์กลบประเด็นนี้หมดจนแทบจะลืมไปเลย TvT
ถ้าปรับความลาบเลือด กับความไม่สมเหตุสมผล กับฉากแอคชั่นที่เดาทางได้หมด แล้วไปเล่นกับปรัชญา ความเป็นวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้นแบบใน Prometheus และเล่นฉากแอคชั่นสั่นประสาทที่ดักทางของคนดูเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่อย่างในเอเลี่ยนภาคแรกและภาคสอง ไม่ต้องเยอะมาก ไม่ต้องยาวมาก น่าจะกลมกล่อมกว่าที่เป็นอยู่ และสนุกขึ้นกว่าเดิมมากๆ เพราะแนวคิดและต้นทุนทางความคิด กับตัวของนักแสดงนั้นมีดีอยู่แล้ว
โดยภาพรวมก็คือชอบมากกว่าไม่ชอบ แต่ต้องมีจังหวะให้นั่งคิดดีๆ สักพัก แล้วย้อนกลับไปดูภาคเก่าๆ นิดนึง
Last but not least
สิ่งหนึ่งที่ตัวเองได้หลังจากดู Alien Covenant และคิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจน คือ Science without Morality หรือ ศาสตร์ที่ปราศจากศีลธรรมกำกับ ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้ ไม่คำนึงถึง หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เป็นการสร้างสรรค์ที่สร้างความฉิบหายได้มหาศาล
และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นคำถามที่ยังค้างคาจาก Prometheus และยังคงมีอยู่ต่อมาจนถึงเรื่องนี้ คือ เราจะอยู่เป็นอมตะไปเพื่ออะไร เพื่อชื่นชมสิ่งสมบูรณ์แบบที่ตนเองสร้างขึ้นอย่างนั้นหรือ และสิ่งสร้างสรรค์ที่ปราศจากคนอื่นร่วมชื่นชมยินดียังมีความหมายอยู่อีกหรือ
และสิ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยู่ยงไปตลอดกาล อย่างในบทกวีที่เดวิดท่องให้วอลเตอร์ฟังท่ามกลางซากร่างที่เกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้า
"My name is Ozymandias, King of Kings;
Look on my Works, ye Mighty, and despair!
Nothing beside remains. Round the decay
Of that colossal Wreck, boundless and bare
The lone and level sands stretch far away."
แน่นอน... อย่างที่วอลเตอร์แย้ง... บทกวีนี้เป็นของ P. B. Shelley ไม่ใช่ Lord Byron เดวิดอาจรู้จักบทกวีและท่องมันได้ ชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ของราชาแห่งราชาที่ชื่อโอซิมันดิอาส หรือ รามเซสที่ 2 แห่งอียิปต์ ผู้เคยต้องยอมจำนนและปล่อยโมเสสให้รอดชีวิตไปได้ แต่ไม่เคยเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงและความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่ในบทกวีนี้
ที่สุดแล้ว เดวิดอาจจะเรียนรู้ได้ตอนที่หาสิ่งมีชีวิตสุดท้ายมาเป็น 'แม่' ให้บรรดาสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นไม่ได้อีกต่อไปแล้วกระมัง.... ถ้าริดลีย์ สก็อตต์ไม่ทำภาคต่อมาเฉลยน่ะนะ
---------------------------
ป.ล. แคทเธอรีน วอเตอร์สตันกับไมเคิล ฟาสเบนเดอร์เป็นสิ่งดีงามที่สุดในหนังเรื่องนี้ ไม่นับฉากดาวเคราะห์ที่มีป่ากับน้ำตกสวยลืมหายใจมาก
ป.ล. 2 ใน Paradise Lost ของมิลตัน เมื่ออดัมกับอีฟถูกไล่ออกจากสรวงสวรรค์ คนที่มาส่งคนทั้งสอง คือ เทวทูตไมเคิลที่แสดงภาพอนาคตให้อดัมกับอีฟเห็นล่วงหน้าว่า พวกเขาจะเผชิญชะตากรรมอะไรบ้าง แต่แม้จะรู้แล้วว่า หนทางข้างหน้าจะเป็นความทุกข์ ก็หันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คำพูดสุดท้ายของเทวทูตไมเคิลที่กล่าวกับอดัมและอีฟ คือ แม้จะจากสวรรค์นี้ไป แต่เจ้าก็ยังคงครอบครองสวรรค์ภายในตัวของเจ้าได้ ที่จริงแล้ว สวรรค์ของมนุษย์อยู่ที่ไหน สวรรค์ที่มีความสุขเพราะไม่รู้อะไรเลย หรือ สวรรค์ที่อยู่ในใจของตัวเอง แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดเวลาก็ตาม ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน
(ภาพประกอบบทกวี Paradise Lost โดย Gustave Dore)
To leave this Paradise, but shalt possess
A Paradise within thee, happier far.
John Milton, Paradise Lost: Book XII
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in