"อืมมม..."
เสียงเบาๆ ดังลอดออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาทั้งคู่หลับพริ้ม ดื่มดำอยู่ในห้วงอารมณ์สุนทรีย์
ฟัวกราส์เนื้อเนียน จี่ด้านนอกมาจนกรอบนิดๆ โรยเกลือมาเค็มหน่อยๆ สัมผัสเข้ากับลิ้น ก่อนที่รสหวานของแยมผลไม้จะกำซาบซ่านแทรกซึมไปทั่วทุกอณู เอ๊ะ...นั่นอะไร! รสเปรี้ยวสุดเซอร์ไพรส์ของเจ้าแตงกวาดองลูกเล็กที่แอบเข้ามามีบทบาทกับเค้าด้วย ทุกองค์ประกอบสอดประสานกันอย่างลงตัวราวกับท่วงทำนองของบทเพลงซิมโฟนีของคีตกวีเอก
"โห อร่อยอะไรอย่างนี้..."
ฉันคิดในขณะที่ลืมตาขึ้นช้าๆ
เสียงเซ็งแซ่ในร้านอาหารที่หายไปขณะที่โลกที่หยุดหมุนไปชั่วครู่ค่อยกลับคืนมาสู่โสตประสาทอีกครั้ง
ยัยเพื่อนสองคนจ้องฉันด้วยตาเป็นประกาย พวกหล่อนเองก็คงเคลิ้มไปไม่ต่างจากฉันละสินะ
"เท่าไรๆๆๆ" ยัยคนนึงเร่งยิก
ฉันรีบจิ้มตัวเลขลงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วเราสามคนก็หันหน้าจอออกมาโชว์พร้อมกัน
หน้าจอของฉันขึ้นเลข 9.2 ในขณะที่ของอีกสองสาวเป็น 9.0 และ 9.1
"นั่นไง!" คุณเพื่อนพูดด้วยน้ำเสียงกล่าวหา
"ชั้นบอกแล้วว่ายัยนี่มันคลั่งฟัวกราส์จะตายไป"
จะว่าไปเธอก็พูดไม่ผิด เพราะฉันหลงรักเนื้อนุ่มเนียนหอมมันของฟัวกราส์ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ติดหนึบแงะไม่ออก ไปที่ไหนเห็นเมนูฟัวกราส์ก็เป็นต้องร่ำๆ จะสั่งมากินให้ได้ทุกครั้งไปก็ไม่แปลกหรอกที่คะแนนที่ฉันให้จะนำโด่งเสียขนาดนั้น
มองๆ คะแนนของอีกสองคนแล้ว ฉันว่าพวกเราเริ่มจูนกันได้ที่
ตอนนี้กินอะไรที่ไหนให้คะแนนทีไรก็ออกมาไม่ค่อยห่างจากกันมาก
เรียกว่าสเกลเรามาตรฐานใช้ได้ล่ะ
ตลกที่ว่ามีครั้งนึงที่เราสามคนไปกินมื้อเด็ดที่มีถึง 19 คอร์สด้วยกัน
ด้วยความเป็นนักชิมแบบสวยเริ่ดเชิดหยิ่ง (หรา) พวกเราก็มีการให้คะแนน (แถมจดด้วย!) ไปซะทุกจานงานนั้นออกมานี่ขำสุดๆ เพราะมีคนเนิร์ดจัดจดคะแนนกลับบ้านเอาไปทำสถิติ
ผลที่ได้ก็คือ รวมแล้วออกมา ความแตกต่างระหว่างเราสามอยู่ ใน 1 Standard deviation จร้า
เรียกว่าแม้ไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ใกล้เคียงกันสุดๆ
แต่กว่าจะได้ขนาดนี้บอกเลยว่าต้องเสียเงินกินร้านดีๆ มาไม่รู้เท่าไรกว่าจะแยกแยะได้ว่าอันไหนอร่อยจริงอร่อยเก๊
จากที่กินเฉยๆ ด่าชิลๆ ชมขำๆ ก็กลายมาเป็นจริงจังตั้งหน้าตั้งตาให้คะแนนกันแบบละเอียดถี่ยิบ
แค่ไหนเรียกว่าจริงจัง ก็ถึงขั้นมีจุดทศนิยมหนึ่งตำแหน่งเลยละกัน
สเกลของเราก็คือ ถ้าตำกว่า 5 ถือว่า xxx ไม่แดก อุปสสส์ แรงไป
เอาเป็นว่าต่ำกว่าห้านี่จ่ายเงินให้กินเรายังเมินเลย
ส่วน 6 นี่ประมาณว่า "ถ้าชั้นไม่ได้กินอีกชีวิตชั้นก็ไม่ได้ขาดอะไรไปหรอกนะ"
ถ้า 7 นี่ฟีลประมาณ "เฮ้ยๆ ใช้ได้วันหลังมากินกันอีก"
แต่ขึ้น 8 นี่จะเริ่มระดับมิชลินกันล่ะ แบบ "ไกลแค่ไหนชั้นก็จะถ่อไป"
แม้แต่ร้านมิชลินบางร้าน แต่ละจานยังได้จากเราไปไม่ถึง 8 ก็มีนะ ชั้นเขี้ยว
ถึง 9 เมื่อไรให้คิดถึงการ์ตูนแบบที่มีแสงทองส่องมาจากฟากฟ้าหันมานี่น้ำตาไหลพราก (อันนี้ก็เว่อร์!) เอาจริงๆ คือเราตั้งไว้ว่าถ้าจะได้ 9 จากเราไปนั้นจะต้องอร่อยตราตรึงจนเรา "จักจดจำจานนี้ไปชั่วชีวิต"
ก็นี่ไง จำฟัวกราส์จานนี้ได้ทุกโมเมนท์จนมาเล่าเป็นคุ้งเป็นแควได้ถึงทุกวันนี้
การที่เรามานั่งแอ๊บเป็น "นักชิม" กันแบบนี้ก็ดีอย่าง คือมันทำให้อาหารทุกมื้อเปรียบเสมือนการเดินทางทุกร้านก็เหมือนได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ตื่นเต้นรอคอยว่าวันไหนเชฟจะทำอะไรมาเซอร์ไพรส์เราได้บ้างนะและแน่นอน ถ้ารักจะกินแบบเชฟเทพ รังสรรค์เมนูใหม่ให้หวือหวาก็ต้องเตรียมตังค์ในกระเป๋าไว้ให้พร้อม
จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงกำลังเมาท์มอยให้เพื่อนฟังว่าร้านมิชลินร้านนึงในนิวยอร์กนั้นมันอร่อยเว่อร์วังขนาดไหน ชีก็หยุดกึก
"มื้อละหมื่นกว่า" เจ้าหล่อนหันหน้ามาทำตาโต "พวกแกนี่บ้าไปแล้ว"
อิฉันฟังดังนั้นก็เหล่ไปที่กระเป๋าแบรนด์เนมใบหรูคู่ใจที่เธอสะพายอยู่บนไหล่แล้วได้แต่สายหน้า
เอาจริงๆ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าถ้ากระเป๋าถูกๆ ก็ใช้งานได้ครือกันแล้วจะดั้นด้นซื้อใบละเป็นหมื่นไปทำไม
ได้แต่คิดในใจว่า "ถ้าชั้นบ้าเธอก็บ้าพอกันแหละย่ะ"
สำหรับฉันเอง อาหารเป็นสุดยอดแห่งความปรารถนา ฉันเก็บเงินทุกหยาดหยดไว้เพื่อกิน บอกตรงนี้เลยคล้ายๆ กับฮิปสเตอร์สมัยนี้ที่เก็บเงินออกท่องโลกเพื่อแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ฉันใดก็ฉันนั้น
เงินน่ะ เอาไปซื้อกระเป๋า เดี๋ยวก็เก่าเดี๋ยวก็พัง
แต่ถ้าเอามากินละก็ จะได้ความทรงจำอันแสนหวานที่อยู่ติดตัวไปนานเลยทีเดียว
เวลาเราชิมอาหารแต่ละจาน เราก็ได้ความทรงจำใหม่ๆ เก็บสะสมไว้เพิ่มขึ้น
แต่ไม่ใช่แค่นั้น ระหว่างที่กิน อาหารจานนั้นก็ทำให้เราได้หวนรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ เฉกเช่นกันรสชาติที่สัมผัสบนปลายลิ้นกระตุ้นเตือนให้ความรู้สึกที่เลือนหายคล้ายจะกลับมาอีกครั้ง
"ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้กินกุ้งที่สดหวานขนาดนี้มันเมื่อไรกันนะ"
"ตอนนั้นน่ะมันร้านไหนที่ไก่อบอร่อยเด็ดคล้ายๆ กับของที่นี่"
"ข้าวซูชิร้านนี้ เทียบกับร้านดังที่ญี่ปุ่นนี่ ใกล้เคียงเลยนะนี่ แค่แข็งกว่านิดและเปรี้ยวกว่าหน่อยนึงเอง"
เมื่อเราลิ้มรสชาติของอาหาร เราก็เสมือนได้วาร์ปกลับไปในห้วงเวลาในอดีตที่แสนสุข ร้านอาหารสุดอร่อยที่เคยได้ไปกินพร้อมคนพิเศษ อาหารจานนั้นในวันหนาวๆ ที่ทำให้เราอบอุ่นเข้าไปถึงหัวใจ
กลิ่นเครื่องเทศบางชนิดทำให้นึกถึงประเทศแปลกๆ ที่เคยได้เดินทางไปยลด้วยสองตา
ในวันที่คิดถึงบ้านอย่างถึงที่สุด แค่น้ำซุปอุ่นๆ สักชาม ก็ทำให้เรานึกถึงคนที่ห่างไกลจนแทบน้ำตาไหล
อาหารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างแยกออกจากกันไม่ขาด
จะงานเลี้ยงวันเกิดงานฉลองรับปริญญาหรือช่วงเวลาพิเศษอาหารมีบทบาทเชื่อมโยงความทรงจำทั้งสิ้นเหมือนเพลงเก่าเพลงนั้นที่ฟังทีไรก็พาลให้คิดถึงคนเคยเคียงข้างฟังเพลงด้วยกัน อาหารเองก็ไม่แตกต่างสำหรับนักชิม อาหารเป็นชีวิต อาหารเป็นจิตใจ จะเรียกว่าอาหารเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ก็ว่าได้
เราเสาะแสวงหาสารพันจานอร่อยไม่ว่าจะยากจะเย็นจะไกลสักเพียงใดเพื่อให้ได้ลิ้มลองสิ่งนั้นดูสักครั้ง
ที่ว่าโหดๆ ก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นยืนกลางหิมะต่อคิวอยู่สี่ชั่วโมง โทรศัพท์มันทั้งเช้าเพื่อจะจองโต๊ะร้านดังร้านนั้นให้จงได้ หรือ จะไกลกี่ร้อยไมล์ก็ขับรถตะลุยไปตามหาจนถึงถิ่น
การกินอาหารสำหรับฉันมันเทียบได้กับการผจญภัย
บางมื้อก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา บางมื้อก็เหมือนเวลาดีๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่ได้ออกไปนั่งเรือในทะเลสาบ ดื่มด่ำกับความสงบสวยงามของธรรมชาติรอบกาย
แต่ละจานแต่ละร้านก็เป็นเรื่องราวใหม่ๆ ในสมุดบันทึกการเดินทางเล่มโตของฉัน
ดังนั้นถ้าจะถามว่ามื้อนั้นๆ มันคุ้มราคาที่จ่ายไหม ถ้าพูดถึงอาหารอย่างเดียวบางทีฉันเองก็ไม่มั่นใจ
แต่ถ้าพูดถึงคุณค่าของความทรงจำที่ได้รับละก็ฉันตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า...
"มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าตีเป็นราคาไม่ได้เลยล่ะ! "
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in