เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ความสุข (น.) : เรื่องสั้นโดยนางสาวอภิญญา นกทองSameshithappenedeveryday
ความสุข (น.)
  • “หิวไหมครับรติ” มุทาถามชายที่เดินยิ้มแย้มอยู่ข้าง ๆ 

    “สบายมากมุทา” รติตอบ

    “ว่าแต่รติบอกว่าอยากมาดูทุ่งนา มาดูอะไรหรือครับ”

    “เราอยากวาดภาพวิวสวย ๆ แน่ะ วาดแจกันในบ้านจนหมดแล้ว” และอยากออกมากับนายด้วยมุทา 

    รติยิ้ม กระตุกชายเสื้อมุทา เขาควักเอาสมุดเล่มเล็กกับดินสอออกมา “เราขอวาดตรงนี้หน่อยนะ ไม่เกินสิบห้านาทีหรอก ร่างไว้ก่อน” มุทาไม่เข้าใจขั้นตอนการวาดรูปนัก แต่ก็ยินดีนั่งอยู่ข้าง ๆ … ไม่นานนักรติก็ยื่นสมุดมาตรงหน้ามุทา 

    “ไหนวิวงาม ๆ ล่ะครับรติ” มุทาถามด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เขารู้ว่ารติตั้งใจจะวาดอะไร รติเก่งทีเดียวเรื่องการจับดินสอรังสรรค์สิ่งสวยงาม 

    “เราอยากวาดอะไรที่งามกว่าวิวน่ะ ชอบไหมมุทา”

    “ชอบสิครับ แต่รติเนี่ยมองผมรูปหล่อเกินจริงไปหรือเปล่า” มุทาว่าไปก็หัวเราะไป “ไม่เลยมุทา” ดินสอเราถ่ายทอดดวงหน้างาม ๆ ของเธอได้ไม่หมดหรอก

    พวกเขาพากันลุกเดินไป ไม่ได้แวะที่ไหนอีกจนถึงตลาด ตลอดการเดินมีทั้งเสียงลม เสียงนก และเสียงเด็กหนุ่มทั้งสองคุยกันเจื้อยแจ้ว 

    เพื่อนสนิทของเธอล่ะ… ดอกไม้ที่คุณชอบ… ทำไมถึงชอบแต่งผมผู้ชายเหรอ…


    “อ้าว มุทามากับใครล่ะนั่น”

    “บอกว่าเพื่อนต่างอำเภอนะ” รติกระซิบ 

    “เพื่อนอำเภอโน้นจ้ะยาย ไปรับเขามา” 

    “แหม เพื่อนมันหน้าตาน่าเอ็นดูเชียว เสื้อเปรอะอะไรล่ะลูก หิวกันไหม มา ๆ มากินข้าวกินปลากันก่อน รอบนี้ยายไม่เอาสตางค์ ข้าวหลามก็มีนะลูกนะ เอาไปฝากปู่” มุทาเดินตามหญิงชราหลังค่อมไป มือเขาก็จับแขนเสื้อรติให้เดินตามมา เขาพากันไปนั่งกลางโถงในเพิงไม้เก่า ๆ ไม่นานหญิงชราก็ยกถาดสำรับที่มีทั้งข้าว ผักนึ่ง น้ำพริก ปลาทอดมาให้ “กินลูกกิน เอาข้าวหลามบนแผงโน่นนะ ไม่ต้องเกรงใจ มุทาเขาช่วยยายเกี่ยวข้าวบ่อย ไม่เอาตังค์สักสลึง” หญิงชรายิ้มกว้าง ตบไหล่รติด้วยความใจดี ก่อนค่อย ๆ ลุกไปนั่งเฝ้าแผงข้าวหลามต่อ “เรากินของจากคนแปลกหน้าได้เหรอมุทา” รติหันมากระซิบ เขาแปลกใจที่ตลาดไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างที่ลุง ๆ ของเขาเล่า “แปลกหน้าอะไรกันครับ ยายนวลแกไม่มีลูกหลานให้เอ็นดู เขาก็เอ็นดูเด็กคนอื่นเป็นธรรมดา ลองชิมดูครับรติ ยายแกทำน้ำพริกอร่อยมากนะ” รติมองสำรับข้าวสลับกับมองวิธีที่มุทากิน จากนั้นเขาจึงเริ่มปั้นข้าวกินตามมุทา


    ตะวันเริ่มคล้อยอ้อยอิ่งลาฟ้า เกินเวลาที่มุทาสัญญาว่าจะมาส่งรติ กระนั้นเด็กชายทั้งสองก็ยังเดินไปตามทางห่างจากตลาดเรื่อย ๆ มุทาคอยจูงชายเสื้อรติให้เดินตาม เพราะเจ้าตัวเอาแต่วุ่นอยู่กับการวาดรูปนั้นรูปนี้ รติหัวใจพองโตอย่างอดไม่ได้ ชาวบ้านไม่เห็นโหดร้ายอย่างที่พวกของเขาพูดกัน บางคนก็ให้ผลไม้เขา บางคนก็ให้น้ำเย็นฉ่ำชื่นใจดื่มกินตลอดทาง ทุกคนต่างไว้เนื้อเชื่อใจกันโดยปริยาย ไม่มีการระแวงกันเอง ต่างจากสังคมที่เขาอยู่โดยสิ้นเชิง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าทำไมพ่อ แม่ และบรรดาลุง ๆ ถึงกลัวนักว่าเขาจะเสียคนหากมาเที่ยวเล่นในหมู่บ้าน 

    รติไม่อยากกลับบ้าน เขารู้ว่าถ้ากลับไปอาจไม่ได้ออกมาอีก เขาเกรงใจเกินจะขอให้มุทาพาเขาออกมาบ่อย ๆ ยิ่งรู้ว่าที่บ้านในป่ามีปู่เฒ่าต้องดูแลทุกวันเขายิ่งเป็นห่วง ไหนจะพ่อแม่เขาเองที่ไม่มีทางให้เกิดการผจญภัยขึ้นครั้งที่สองเป็นแน่


    แสงริบหรี่ปรากฏให้เห็นไกล ๆ ยังไม่ทันเห็นประตูรั้วดีรติก็เข้าใจในทันทีว่าข้างหน้าคือรถที่พ่อเขาขับออกมาตามหา เขารีบกระซิบบอกให้มุทาก้มลงแล้วเดินไปข้างพุ่มหญ้า ซ่อนสักพักให้พ่อเขาขับผ่านไปก่อน แต่ด้วยความไร้เดียงสาของมุทา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องซ่อนตัว ถึงกระนั้นก็ยอมทำตามแต่โดยดี 

    ไฟหน้ารถสาดชโลมทั่วถนนขรุขระอยู่ไกล ๆ  ลมหายใจของเด็กหนุ่มทั้งสองผสานกลายเป็นลมหายใจเดียวกันในดงหญ้ารก เสียงใจเต้นเร่าด้วยความตื่นกลัวระคนประหม่า ทั้งสองรู้ดีว่าในใจของพวกเขามีความรักและความสับสนกำลังถักทอขึ้นมาตบตีกัน อากาศที่เคยเย็นเยียบอบอ้าวขึ้นทันตา เหงื่อเม็ดโตหยดลงดุจน้ำค้างยามค่ำ รติกุมมือมุทาแน่น เขารู้ว่าอาจโดนอะไรที่แย่กว่าการกักบริเวณ เขาอาจต้องพรากจากที่นี่ พรากจากทุ่งนาสวย ๆ พรากจากชุมชนอันอบอุ่น และพรากจากรักแรก พรากจากมุทา

    รถคันใหญ่ขับใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เสียงหายใจของทั้งคู่ยิ่งแรงขึ้นเมื่อรถจอด ชายวัยกลางคนที่เห็นแน่แท้แล้วว่าเป็นพ่อของรติเดินลงมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว เขากำปืนในมือข้างหนึ่งแน่น อีกข้างก็คีบบุหรี่ลวก ๆ “อย่าให้เจอมันเชียวไอ้ลูกคนนี้ จะส่งมันไปเรียนประจำเสียให้เข็ด” ชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุกว่าเดินตามลงมาตบบ่าหนา 

    “เอาหน่าน้องพี่ ยังไงนายก็มารอสัมปทานป่านั้นไม่ใช่เหรอ พอเสร็จก็ต้องกลับไปกรุงเทพอยู่ดี ส่งหลานมันไปอยู่ประจำก่อนก็ดี” รติสะดุ้ง สัมปทานหรือ พ่อไม่เคยบอกเขาสักครั้ง 

    “ผมรอสัมปทานป่านี้มาจะยี่สิบปีแล้ว มันยังไม่ให้เลย เฮงซวยจริง ๆ” 

    “เอาน่ะ ระหว่างนี้ก็ไปไล่ที่พวกคนเฒ่าคนแก่ออกจากทางป่าก่อน ยังไงนายก็จ้างพรานมันล่าสัตว์ไปขายด้วยนี่” รติไม่อยากได้ยินอะไรอีก เขาหันไปมองมุทาที่ยังนั่งเหม่อด้วยดวงหน้าซื่อ ๆ 

    “ไล่ที่หรือ แบบนั้นผมกับปู่จะไปอยู่ไหน” มุทากระซิบ ดวงตายังจ้องไปที่พ่อของรติ 

         “เฮ้ย เสียงอะไรวะ” พ่อพูดพลางเดินอาดเข้ามาหาพวกเขา เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ พ่อจึงยกปืนขึ้นมา 

    “ตัวอะไรวะ พี่มาดูตรงนี้หน่อย” — “คงพวกสัตว์ป่ามาหากินแหละน้อง ยิง ๆ ไปเถอะ ชาวบ้านไม่รู้หรอก ตรงนี้ไกลจะตายไป เผลอ ๆ มันคิดว่าฟ้าจะรั่ว พวกคนป่ามันโง่ ฮ่า ๆ” รติทนฟังลุงพูดต่อไปไม่ไหว ความเดือดดาลทำเขาหน้ามืด ใช่ เขาเด็กเกินกว่าจะแบกรับเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่พวกผู้ใหญ่ทำกัน แต่เขาก็โตพอที่จะรับรู้สิ่งที่เขาควรได้รู้ และเขาเอือมระอาเต็มทนกับการต้องคอยเป็นอย่างที่ผู้ใหญ่พอใจ รติรีบผลุดลุกด้วยลืมคิดไปว่าพ่อมีปืนที่พร้อมลั่นไกเต็มที่ 

    ปัง !

    เลือดสีกุหลาบอาบชโลมทั่วใบหน้าอันคุ้นเคย รติยันตัวเองลุกจากพื้นนา หากเขาไม่ได้โดนลูกตะกั่วฝังกะโหลก เช่นนั้นแล้วใครกันเล่าจะโดน เขาประหวั่นพรั่นพรึงขณะค่อย ๆ หันไปมองมุทา ชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหันมามองด้วยแววตาเบิกโพลง… หากทั้งมุทาและรติไม่ได้โดนฆ่าตาย งั้นใครกันที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้นลูกรังตอนนี้ 

    แกร๊ง เสียงปืนร่วงตกกระทบพื้น 

    “พี่ น้องขอโทษ” เด็กชายทั้งสองหันไปมองร่างนั้น ที่เห็นคือพ่อของรติกำลังโอบกอดหัวที่เป็นรูของพี่ชายไว้ในอ้อมแขน ลุงของรติหายใจติดขัด ชักเกร็งสองสามทีก่อนจะหยุดหายใจในที่สุด



    .
    ..
    .



    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทุกคนรู้เพียงว่ารตินับถือศาสนาคริสต์ ครอบครัวของเขาก็เช่นกัน ฉะนั้นคงเป็นไปได้ว่าศพลุงอาจถูกฝังไว้ในสุสานสักแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็ในผืนนาสักที่หนึ่ง


    และไม่ต้องกังวลกับการเกริ่นสุดแสนโศกาของผู้เขียน เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคู่รักสักคู่หนึ่งที่ถูกแยกออกจากกันก่อนวัยอันควร แต่ไม่ใช่คู่รักคู่นี้แน่นอน 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in