เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
วันหนึ่งฉันเดินเข้าทุ่งหญ้าสะวันนา
  • 6 May 2018









    Back to Mama Africa!

    ในที่สุดก็ได้วนกลับมาทำไฟล์ทมาที่ทวีปแอฟริกาอีกแล้วจ้า หลังจากที่อินกับเรื่อง Black Panther เอามากๆเลยขอไฟล์ทมาเยือนแถบนี้อีกรอบนึง มาเพื่อสนองนี้ด มีความ Wakanda Forever สุด (ซึ่ง...ตอนนี้มาจรดนิ้วลงแป้นพิมพ์เล่าเรื่องราวให้อ่านกัน Avengers - Infinity War ก็ลาโรงไปเรียบร้อยประมาณสองเดือนกว่าๆแล้วเด้อ... ขอโทษที่ดองทริปนี้ไว้นานมากเลยจ้าาา)




    ลูกเรือหลายๆคนไม่ชอบทำไฟล์ทมาแถบนี้เท่าไรเพราะมันเสี่ยงเรื่องโรคมาเลเรียและผู้โดยสารมีความเยอะหน่อยๆ แต่เราชอบ! เราว่าทวีปแอฟริกามีความ exotic มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ประกอบกับเราว่าคนที่นี่ใจดีด้วยนะ อย่างผู้โดยสารที่เราพบเจอก็จะเป็นเหล่าคุณป้าที่มีแอตติจูดแรง เสียงดังไว้ก่อน ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีอะไรเล้ยยย ถ้ายิ้มให้เยอะๆทุกอย่างก็จะดีเอง ร่าเริงเข้าไว้ อย่างหลังไฟล์ทก็ขออวดหน่อยว่าได้รับคำชมจากเหล่าคุณป้านะจ๊ะว่าเราดูเป็นมิตรมาก ขอให้พระเจ้าอวยพรนะลูกสาว ก่อนที่จะโบกมือบ๊ายบายกันไป :)




    เราว่ารอยยิ้มเป็นภาษาสากลนะ(เว้นพวกพี่หมีขาวรัสเซีย...) และเวลาเรายิ้มจริิงๆออกมาจากใจ คนรอบข้างก็จะรับรู้และสัมผัสได้ เวลาเราแฮปปี้มีความสุขกับการทำงาน เราก็เชื่อว่าคนรอบข้างก็จะได้รับพลังงานดีๆนั้นได้แหละ เป็นการส่งต่อสิ่งดีๆให้แก่กันนะ





    เอาล่ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรแล้ว เข้าเรื่องกันเล้ยยยยย!













  • เพื่อเพิ่มพูนอรรถรสในการอ่านของท่านเกี่ยวกับเรื่องราวที่จะเขียนเล่าต่อไปนี้
    โปรดเปิด Black Panther Soundtrack ประกอบการอ่านด้วยค่ะ












    ไนโรบี - เคนยา: เมืองหลวงที่โอบล้อมไปด้วยอุทยานแห่งชาติ


    เช้าวันนี้อากาศดีแจ่มใส อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียสให้ฟิลลิ่งเหมือนยืนเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่เชียงใหม่ เราตื่นแต่เช้าลงมากินข้าวและรอ แม็กซ์ คนขับรถที่จะนำพวกเราไปเที่ยวกัน ความจริงแล้วโปรแกรมทัวร์ของแม็กซ์มีมากมาย ตั้งแต่ไปเยี่ยมชมสวนยีราฟ (ซึ่งเราขอผ่าน เพราะรู้สึกว่าการกักกันสัตว์ไว้เพื่อการท่องเที่ยวนั้นไม่โอเค) เยี่ยมชมปางช้าง (ซึ่งนี่เราก็ขอผ่านเช่นกันด้วยเหตุผลที่กล่าวมาก่อนหน้านี้) และก็มีโปรแกรมเดินตลาด ซื้ออะโวคาโดลูกยักษ์และผักผลไม้ต่างๆ ซึ่ง... อยากจะไปแต่ก็ยังไม่อินเท่าไรนัก ประกอบกับลูกเรือส่วนใหญ่บนไฟล์ทเลือกที่จะไปกัน


    เรา ผู้พัฒนาร่างกลายเป็นมนุษย์ขี้รำคาญคนเยอะ เบื่อที่จะต้องรอคนอื่นต่อนยอนต๊ะต้อนย้อนก็ไม่อยากจะไปกับมนุษย์หมู่มากก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ไม่ไปไหนก็ได้ว้า แต่ก็อยากไปอยู่ดี เฮ้ยยย แกรรร ไนโรบีเลยนะเว้ยยยย เคนยานะเว้ยยยยย ไม่ได้มากันทุกวันปะว้า

    ระหว่างที่คิดวนเวียนว่าจะเอายังไง จะไปเที่ยวไหนดีอยู่ในแกลลี่นั้น เดชะบุญที่บนไฟล์ทมีลูกเรืออีกสามหน่ออยากจะทำกิจกรรมที่แอดเวนเจอร์มากกว่าการนั่งรถวนไปดูช้างดูยีราฟและช้อปปิ้งซื้อของฝาก พวกเราเลยมาสุมหัวกันเลือกโปรแกรมตื่นแต่เช้าแล้วนั่งรถเข้าทุ่งหญ้าสะวันนา ไปเยือน Nairobi National Park กันเถอะ!









    นี่คือตรงโรงแรม สวยดีเลยถ่ายเก็บไว้












    ภาพตัดมาที่เรานั่งกระพริบตาโต้ลมอยู่ในเบาะหลังของรถ SUV บุโรทังคันหนึ่งที่ทุกคนไม่แน่ใจว่าแม็กซ์จะเอารถคันนี้ขับเข้าไปในอุทยานจริงๆนะหรือ เพราะตอนแรกคิดว่ารถที่ใช้ต้องเป็นรถจีฟอย่างดี เหมาะควรแก่การบุกป่าฝ่าดง แต่เปล่าเลยจ้า เป็นรถบ้านธรรมดาที่เก่าประมาณหนึ่ง มีความรู้สึกแว้บเข้ามาในหัวว่าถ้าเจอสิงโตตะปบ ประตูก็อาจจะหลุดออกมาได้เด้อ...












    สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าเข้า Nairobi National Park คือเราจะต้องจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือผ่านระบบในมือถือเก๋ๆที่เรียกว่า M-PESA เพราะว่าที่นี่เป็นสังคม Cashless จ้า ไม่รับเงินสดนะเออ ด้วยเหตุว่าทางรัฐบาลต้องการป้องกันการคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ที่เก็บเงินและแอบยักยอกเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เก๋เนอะ




    และใครที่มีภาพติดหัวว่าแอฟริกาไม่เจริญ เต็มไปด้วยความกันดาร มีเด็กผอมๆเต็มไปหมดก็ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่ไปได้เลย เพราะระหว่างทางที่แม็กซ์ขับรถพาเราออกจากโรงแรมนั้นเราก็เห็นวิวของตัวเมืองไนโรบีจากระยะไกลค่ะ ที่นี่มีตึกสูงหลายแห่งที่สะท้อนเป็นประกายกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่แสนสดใส เราก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าการท่องเที่ยวนี่มันดีนะ มันเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ได้เห็นว่าอีกฟากหนึ่งของโลกเป็นอย่างไร เป็นการออกไปดูให้รู้ ให้เห็นจริง เออ เจ๋งว่ะ











    เจอแอนทีโลปสามหน่วยเล็มหญ้าอยู่ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอุทยาน เรียลมากคุณพระ








    พอเลี้ยวออกจากโรงแรมได้ไม่ไกลเราก็อยู่ในถนนที่แล่นเลียบไปกับอุทยานแห่งชาติตามภาพด้านบน แม็กซ์บอกกับเราว่าอุทยานแห่งชาติไนโรบีนี้ไม่ใหญ่นัก ขับรถนิดเดียวก็ถึงแล้ว รั้วลวดหนามที่เห็นนั้นก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าตลอดเวลา เป็นการป้องกันไม่ให้สัตว์กระโดดดึ๋งออกมา และก็ป้องกันไม่ให้มนุษย์อย่างเราๆเข้าไปล่าด้วย... ซึ่ง...สัตว์มันรู้แหละว่าออกมาไม่ได้ โดนลวดแล้วเจ็บ ได้ยินเสียงรถก็หนีแล้ว แต่มนุษย์เนี่ย บางทีมันก็คิดไม่ได้ (อันนี้แม็กซ์ไม่ได้บอก เราว่าเอง)






    พอเข้าไปปุ๊บก็ต้องมีการตรวจค้นรถ ดูว่ามีปืนมีอะไรเข้าไปไหม และพอเข้าไปในอุทยานแล้วมีกฎว่าห้ามลงจากรถเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและของสัตว์ด้วย ตลอดจนระหว่างทางก็มีจุดแคมป์ที่มีเจ้าหน้าที่ถือปืนคอยสอดส่องความเรียบร้อยอยู่ เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีคนลักลอบเข้าไปฆ่ากวาง ล่าสัตว์กันอยู่เลยจ้ะ








    เข้ามาแล้วชื่นใจ เต็มไปด้วยสีเขียว
    และได้กลิ่นดินหลังฝนตกซึ่งเป็นกลิ่นที่เราไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
    (แน่ล่ะ ก็เมืองทะเลทรายไม่มีต้นไม้เขียวและฝนนี่...)













    และขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วง

    สารคดีส่องชีวิตสัตว์โลก!














    ผ่ามผ๊ามมมมมมม ขับรถเข้ามานิดนึงก็เจอกับบึงขนาดไหน แม็กซ์จอดรถแล้วก็ชี้ให้ดูว่าโน่นนั่นนกเขาคู จุ๊กจุ๊กกรูนกมันเฝ้าคูหาชู้มัน ผิด! ไม่ใช่! นั่นไง จระเข้!! นักล่าที่สุดแสนจะแข็งแกร่งงงงงง



    ได้รับข้อมูลจากแม็กซ์ผู้ผันตัวจากการเป็นคนขับรถมาเป็นผู้บรรยายชีวิตสัตว์โลกว่าจระเข้นั้นไม่มีศัตรูตามธรรมชาติเพราะอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร (แต่ไม่กล้าไปแหย่มกับพี่ฮิปโปเหมือนกันนะ) และเป็นสัตว์ที่ไม่กินเนื้อสดๆนะเออ จระเข้จะกินแต่เนื้อที่เน่าแล้วเท่านั้นเพราะระบบการย่อยอาหารไม่ดี และบางทีจะกลืนก้อนกรวดหรือก้อนหินเข้าไปเพื่อช่วยในการบดอาหารอีกด้วยจ้า



    นอกจากนี้... หากสังเกตที่ผิวน้ำตรงบริเวณที่ลึกๆดีๆ จะเห็นว่ามีฟองอากาศบุ๋งๆอยู่ นั่นละครับท่านผู้ชม นั่นคือฮิปโป! ซึ่งตามปกติแล้วก็จะชอบอยู่แต่ในน้ำนั่นแหละ ไม่ค่อยออกมาให้เห็นจะๆจังๆเท่าไรนัก จะโผล่มาเหนือน้ำก็แค่หายใจแล้วก็ดำลงไปใหม่ ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะได้เห็นแค่ปลายจมูก เป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรจะไม่เป็นมิตรแก่สิ่งมีชีวิตรอบตัวเพราะหวงถิ่นมาก คนตายเพราะฮิปโปต่อปีมีจำนวนมากกว่าโดนฉลามกัดอีกนะจ๊ะ















    หลังจากที่ทุกคนชักภาพจระเข้เรียบร้อยแล้ว แม็กซ์ก็สตาร์ทเครื่องและถอยหลังเพื่อจะพาพวกเราไปยังจุดหมายต่อไป....



    บรืนนนนนนนนนนนนนนน รอบแรก รถขยับถอยหลังไปนิดนึงแล้วนิ่งสนิท
    บรื๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนน รอบสอง รู้สึกได้ว่าท้ายรถมันจมลงไปในเลน...






    เอาละไง งานงอก
    รถติดหล่มเว้ยเฮ้ย


    แล้วมาติดเชี่ยอะไรตรงนี้ ตรงที่ข้างหน้าเป็นจระเข้ ซ้ายเป็นจระเข้ ขวาก็เป็นจระเข้!






    ทุกคนเริ่มมองหน้ากันเลิกลักว่าเอาไงกันดีวะ ลงไปเข็นก็ไม่ได้เพราะผิดกฎ หรือถึงไม่ผิดก็กลัวตาย โอ้โห... จระเข้รอบตัวไม่กลัวยังไงไหว แม็กซ์เลยปิดกระจกรถและเหยียบถอยหลังแบบสุดชีวิต พยายามหักพวงมาลัยสุดจนรถค่อยๆขยับหลุดออกมาจากวงโคลนเลนตรงนั้นได้ รอดไป เฮ!


























  • เราขับรถเข้าไปเรื่อยๆ กระเด้งกระดอนไปกับทางลูกรังและร้องเพลงของริฮานนาจนมาเจอกับซีนนี้...













    จากภาพเป็นส่วนผสมที่งงๆระหว่างทุ่งหญ้า ต้นไม้ใหญ่ ตึกอาคารที่พักด้านหลัง หมูป่าหนึ่งหน่วย นกที่มีหงอนฟูๆสองหน่วย กวางสามหน่วย ตอนแรกทุกคนก็ไม่ได้อะไร ถ่ายรูปกันไปเรื่อยเจื้อย











    สวัสดีพูมบ้าาาาาาา และเจ้านกมีหงอนที่อยู่ไกลๆ





    แพนกล้องถ่ายกันแชะๆก็รู้สึกว่าเอ๊ะ...น้องกวางทางด้านขวาของภาพมีอะไรติดอยู่ที่ก้นวะ พอซูมดูดีๆก็ถึงบางอ้อ น้องกำลังจะคลอดลูกค่าาาาา!! กรี๊ดดดดดดด พวกเราห้าคนในรถเป็นสักขีพยานการคลอดลูกของกวางแอนทีโลปโว้ยยยยยย














    ว่าที่คุณแม่เล็มกินหญ้าอย่างไม่สนใจ ไม่แคร์โลกอะไรทั้งสิ้น มีเหยียดยืดขานิดหน่อยพอเป็นพิธี ในขณะที่มนุษย์ในรถนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ Come on girl! We know you can do it! Just pushhhh PUSH!!









    มีเหลือบหันมามองนิดหน่อยและค่อยๆเดินไป

    เราคาดว่าคุณแม่อาจจะหวาดระแหวงมนุษย์ห้าหน่อในรถนี่ เลยบอกให้แม็กซ์ขับรถออกไปเถอะ กลัวว่าน้องจะเครียดและคิดว่าไม่ปลอดภัย บ๊ายนะแม่หนู ขอให้ลูกโตไวๆนะเอออออออ♡





























  • แดดเริ่มทวีความร้อนแรงมาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เปอร์เซ็นการเจอสิงโตของพวกเราลดลงตามลำดับ เนื่องจากสิงโตนั้นจริงๆแล้วก็คือแมวยักษ์นั่นแหละ และสิ่งที่แมวทำก็คือการนอนกลางวัน ใช่แล้วจ้ะ สิงโตก็นอนกลางวัน ไม่ออกล้า หลบมุมหลับปุ๋ยอยู่ใต้ร่มไม้ที่ไหนซักแห่งนั่นแหละ










    เจอกวางบ้างประปราย















    น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกก



































    ตัวนี้สวยมากกกก แบบมากมากมากมากมากมากมากกกกกกกก
    แม็กซ์บอกว่าจริงๆแล้วมันต้องรวมฝูงกันนะ อาจจะบาดเจ็บก็ได้
















    เป็นพี่ที่ตัวใหญ่บึ้มมาก สง่ามากกกกกกกก
    (แถมยืนฉี่ให้ด้วย เรียลมากกกกก)












    ขับไปซักพักก็เจอกับ...





























    เหมือนหลุดมาอยู่ในดงยีราฟ นับได้ทั้งหมด 7 ตัว อู้ววววววว



















    น้องไม่ยอมหลบด้วย น้องจะยืน จะยืนอยู่ตรงนี้!
    และวิธีแยกเพศยีราฟนั้นสังเกตง่ายมากเลยจ้ะ ถ้าตรงเขามีขนๆแปลว่าเป็นตัวเมียนะเออ
















    ไปกันต่อค่ะ!
























  • ขับมาเรื่อยๆแล้วเราก็พบกับสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่พอเห็นปุ๊บก็ต้องรีบยกมือมาพนมกันทันที เพราะเจอใครไม่เทศน์ นกกระจอกเทศศศศศศศศศศศศศศศ (ขำหน่อยสิ ขำเถอะ นะนะนะนะ)









    เดินมาด้วยความเฉิดฉายมาดมั่นประหนึ่งอยู่ในไนโรบีแฟชั่นวีค















    ชอบจริตของนกนี่มาก ฮาาาาา


































    แอบมองใต้ปีกเพื่อนทำไมลูกกกกกกกก
























  • จุดสุดท้ายของการขับรถวนไปในทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งนี้ แม็กซ์พาเรามาที่จุดปิกนิกเพื่อให้ได้ลงมาเดินยืดแข้งยืดขากันเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเดียวที่อนุญาตให้เราลงมาเดินเล่นรอบๆได้ค่ะ (แต่นั่นแหละ ต้องระมัดระวังสัตว์ป่าเช่นกันเด้อ เพราะเห็นรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด และรอยยังใหม่ๆอยู่เลยจ้า)









    สภาพรถที่บุกไปติดหล่ม ฮาาาา








    จุดตรงนี้เรียกว่า Ivory Burning Site หรือเป็นจุดที่เผางาช้าง เขาเอางาช้างที่เป็นของกลางจากการลักลอบฆ่าช้างซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐมาเผาเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของเคนยาว่าจะต่อต้านธุรกิจค้างาช้างอย่างเด็ดขาด

















    Never again


    เห็นตรงนี้แล้วขนลุกมาก เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เราไปดำน้ำที่มัลดีฟส์แล้วเห็นกองหินสุสานปะการังขนาดใหญ่ มนุษย์เราทำร้ายโลกเยอะเกินไปแล้วจริงๆ











    จบจากการส่องสัตว์โลกแล้วเราก็ออกมาด้านนอกอุทยาน ก็พบกับกลุ่มชาวมาไซ ตื่นเต้นมาก! แม็กซ์บอกว่า They're warriors. และอธิบายเพิ่มเติมว่าปัจจุบันนี้ชนเผ่ามาไซก็ยังเร่รอนอยู่นะ แต่ก็จะมีเข้าเมืองมาบ้างเพื่อซื้ออาหารและยาต่างๆเพราะโลกมันก็เปลี่ยนไป จะอยู่สันโดษไปเรื่อยๆไม่ได้ คนในชนเผ่าเริ่มที่จะเรียนรู้ภาษาสวาฮิลีบ้าง แต่ก็เป็น Broken Swahili สื่อสารเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง




    เราเลยเข้าไปเซย์ฮาย ตั้งใจว่าจะขอถ่ายรูปด้วยแต่เขาก็จัดแจงเอาผ้ามาผูก จับมือ แล้วก็ร้องเพลงกระโดดไปด้วยกัน ตอนกระโดดนี่เราสนุกมาก อินมากแม้ไม่รู้ความหมายของเพลง มาทราบความจากแม็กซ์ภายหลังว่าเป็นการอวยพรนักรบก่อนที่จะไปล่าสิงโตหรือออกไปต่อสู้กับชนเผ่าอื่นๆ รู้สึกดีอะ เป็นความรู้สึกที่ดีมากว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้รับการอวยพรจากนักรบมาไซ!





















    ยิ้มแฉ่งแข่งตะวันมากกกกก

















  • และก่อนที่เราจะกลับไปยังที่พักนั้น เราก็มาแวะกันที่ David Sheldrick Wildlife Trust's Orphans' Project ซึ่งเป็นศูนย์อนุรักษ์ช้างและแรดกำพร้าก่อนที่จะนำคืนสู่ทุ่งหญ้าที่เป็นบ้านที่แท้จริงค่ะ




    ที่ศูนย์ตรงนี้มีเวลาทำการให้ประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวในเข้าเยี่ยมชมเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ตั้งแต่ 11:00 - 12:00 น. พอจ่ายค่าเข้าชมปุ๊บก็เจอกับน้องช้างน่ารักกินและวิ่งเล่นโคลนกันอยู่ เจ้าหน้าที่บรรยายให้เราฟังว่าลูกช้างเหล่านี้นั้นต้องกินนมแม่ตลอดจนกระทั่งอายุ 3 ปี ถ้าไม่มีแม่อยู่ด้วยมันตายแน่นอนเพราะกินอย่างอื่นไม่ได้เลย ประกอบกับไม่มีฝูงช้างคอยคุ้มครองดูแลความปลอดภัย


    ทางโครงการได้ช่วยเหลือลูกช้างมาจากทุกภาคส่วนรอบประเทศเคนยาเพื่อเอามาเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ฝูงช้างต่อไป โดยตอนนี้มีลูกช้างในความดูแลทั้งหมด 29 ตัว


    ลูกช้างจะใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์พักพิงนี้เป็นเวลา 8-10 ปีเลยทีเดียว เริ่มจากการเลี้ยงลูกช้างให้โตจนอายุเพียงพอที่จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันฝูงช้างอื่นๆได้ โดยจะสลับสับเปลี่ยนพี่เลี้ยงช้างไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ช้างติดกับมนุษย์มากเกินไป จากนั้นเขาก็จะเอาไปปล่อยไว้ให้ช้างและฝูงช้างอื่นๆปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 5 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆประกอบกันด้วย


    จากนั้นเขาก็เล่าให้ฟังว่าลูกช้างแต่ละตัวชื่อว่าอะไร เจอที่ไหน และเพราะเหตุใดจึงกลายเป็นลูกช้างกำพร้า ซึ่งสาเหตุหลักๆก็มาจากปัญหา Wildlife - Human Conflit นั่นเอง เนื่องจากมนุษย์เข้าไปรุกล้ำเขตป่าเนื่องจากต้องการขยายพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลให้เกิดปัญหาสัตว์เข้ามาทำลายพืชพันธุ์ มนุษย์ต้องไล่ล่า หรือปัญหาของการค้างาช้างก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งเช่นเดียวกัน 


    และพอจบการบรรยายแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดโอกาสให้ได้เอามือไปจับๆแปะๆลูกช้างได้เวลาที่น้องเดินเข้ามาใกล้ๆ ซึ่งน่ารักมากกกกกก เกือบจะเปียกด้วยเพราะน้องจะเอาน้ำพ่นใส่ ฮาาาาาา




    และนี่คือน้องลูคัส อายุ 2 ขวบ โดนมนุษย์ใจร้ายยิงที่ขาได้รับบาดเจ็บค่ะ















    สำหรับการมาเที่ยวไนโรบี เคนยาในเวลา 24 ชั่วโมงของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ 
    แม้ว่าจะเป็นเวลาที่สั้นม๊ากมาก แต่เรารู้สึกว่าทริปนี้เราได้อะไรดีๆกลับไปเยอะมากเลย


    ได้นั่งรถติดหล่มที่ห้อมล้อมไปด้วยจระเข้
    กระโดดไปกับชนเผ่ามาไซ
    เรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาสัตว์ป่าและมนุษย์ที่มีอยู่ทุกที่
    และตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษาดาวเคราะห์สีครามแห่งนี้
    ที่เป็น บ้าน ของพวกเราทุกคน
    (ไม่ใช่เฉพาะกับมนุษย์ แต่กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย)






    ในทริปหน้า ด้วยรักจากทะเลทราย จะพาทุกคนไปเที่ยวที่ไหนภายใน 24 ชั่วโมง
    โปรดอย่าลืมติดตามตอนต่อไปด้วยนะค้าาาาาา




    ด้วยรัก... จากทุ่งหญ้าสะวันนาาาาาา
    มาซิเพนย่าาาาาาห์!







    ตามไปพูดคุยกุ๊กกิ๊กกันต่อได้ที่
    #ด้วยรักจากทะเลทราย
    #withlovefromthedesert





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Boontarika Junhanandana (@boontarika)
สนุกค่ะ ชอบค่ะ