เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
บิน ครั้ง แรก
  • 16 January 2016





    เพิ่งกลับมาจากเจดดาห์ ซาอุดิอาระเบียแแหละ ตอนแรกก็ง่วงๆอยากจะนอนพักเพราะเหนื่อยมาก ร่างแหลก แต่พออาบน้ำแล้วก็ตาสว่าง เลยคิดว่ามานั่งพิมพ์ก๊อกแก๊กเล่าให้ฟังดีกว่าว่าไฟล์ทแรกในชีวิตไปประสบพบเจออะไรมาบ้าง ความทรงจำและความรู้สึกมันยังอุ่นๆอยู่นี่เนอะ



    ความเดิมตอนที่แล้วเราเล่าว่าไฟล์ทแรกของเราจะเรียกว่า Supy Flight เราจะไม่มีตำแหน่งอะไร แค่เดินถือ checklist ไปๆมาๆ ถามคำถามนู่นนี่ ทำความคุ้นเคยกับเครื่องบินและเซอร์วิสต่างๆ ได้สิทธิพิเศษในการไปนั่งในห้องนักบินระหว่าง take off และ landing โอ้โห ชีวิตอะไรจะดีขนาดน้านนนนนน



    เชี่ย… ไอ้ที่วาดฝันไว้มันไม่ค่อยใกล้เคียงความเป็นจริงเท่าไรเลยว่ะ…




    ก่อนจะตัดภาพมาที่ข้าพเจ้าผู้ร่างแหลกเป็นผุยผงคาเตียงนอน ก็จะขอเล่าถึงการเตรียมตัวก่อนจะบินให้ฟัง(อ่าน)ก่อนนะจ๊ะ :)



    คืนก่อนหน้าที่จะบินเราก็ต้องจัดกระเป๋าก่อน ซึ่งกระเป๋าของเรามี 2 ใบคือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เอาไว้สำหรับไฟล์ทยาวๆที่ไปนอนค้างที่นั่นที่นี่ที่โน่น กับกระเป๋าลากใบเล็กที่เราลากแต๊กๆขึ้นเครื่องไปด้วย ด้วยความที่ไฟล์ทนี้ของเราเป็น turnaround ไปกลับสั้นๆเพราะงั้นเราก็ไม่ต้องจัดกระเป๋าใหญ่ แค่เตรียมของเล็กๆน้อยๆในกระเป๋าลากก็พอ ซึ่งประกอบด้วย

    - ถุงมือกันความร้อน – สำหรับหยิบถาดอาหารในเตาอบ

    - waist coat – เปลี่ยนตอนทำเซอร์วิส

    - cabin shoes – เปลี่ยนตอนทำเซอร์วิสเช่นกัน ถ้าใส่ส้นสูงตลอดเวลานี่ตายแน่ๆ

    - Crew Pyjamas – เผื่อติดกระเป๋าไว้ เพราะมันมีเคสที่เปลี่ยนเที่ยวบินกระทันหัน ต้องไปไฟล์ทยาวหรือไปพักค้างคืนที่ไหน จริงๆต้องใช้เฉพาะเวลาที่ไฟล์ทยาวๆแล้วเรามีเวลาไปนอนพักผ่อนในเครื่อง

    - เสื้อคาร์ดิแกนกันหนาว – อันนี้ก็เผื่อติดกระเป๋าไว้เหมือนกันจ้า


    นอกจากของในกระเป๋าแล้วเราก็ต้องเตรียมเอกสารต่างๆ เช่น พาสปอร์ต และพวก certificate ต่างๆ ตลอดจนเตรียมสมองและความรู้ให้พร้อมสำหรับการตอบคำถาม safe talk ก่อนบินด้วย เพราะการเป็นแอร์ไม่ใช่แค่ยิ้มสวยๆแล้วถามว่า chicken or beef? แต่มันเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้โดยสารด้วยนะจ๊ะ





    ทุกวันหลังหกโมงเย็นเราจะต้องโทรไปเช็คว่าไฟล์ทบินของเรามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างมั๊ย เป็นระบบตอบรับอัตโนมัติชื่อว่า EVITA ซึ่งบางทีเราอาจจะโดนโยกจากไฟล์ทนั้นมาไฟล์ทนี้โดยไม่รู้ตัว เช็คตารางบินในเน็ตอาจจะช้ากว่าโทรไรงี้ สรุปคือก็ต้องโทรไปทุกวันนั่นแหละ อย่างวันนี้ที่เราเพิ่งกลับมาตอนตีสองเราก็โทรเช็ค ปรากฎว่าเขาถอดไฟล์ท turnaround เที่ยวไม่ง้อทัวร์ตีตั๋วท่องมิดเดิลอีสต์ของเราไปสามไฟล์ท (โดฮา เมดินะ และการาจี) เปลี่ยนมาเป็น layover ที่จาการ์ต้าสองคืนซะงั้น งงเลยทีเดียวเชียวแหละ


    อ้อ…นอกจากจะโทรเช็คทุกวันหลังหกโมงเย็นแล้ว ก่อนที่จะบิน 3 ชั่วโมงก็ต้องโทรไปเช็คอีก เผื่อว่าสภาพอากาศไม่เป็นใจแล้วทำให้เครื่องออกไม่ได้ ดีเลย์นู่นนั่นนี่จะได้รู้ตัวก่อนแต่เนิ่นๆ



    สองชั่วโมงก่อนเครื่องออกคือเวลาที่เราจะต้องไปสแตนบายด์ ซึ่งเราไปก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพราะตื่นเต้นจัด ระหว่างที่รอก็มีกัปตันหรือ First officer ก็ไม่รู้มาชวนคุย ทักว่ายูดูตื่นเต้นนะ ไฟล์ทแรกหรอ ไอ้เราก็พยักหน้าหงึกหงักไปตามเรื่อง พอบอกว่าไปที่ไหนเท่านั้นแหละ กัปตันถอนหายในส่ายหน้าฮะ บอกว่ากู๊ดลั๊คคคคคคคคคคคค ไฟล์ทนี้ขึ้นชื่อลือชาจริ๊งงงงงงงงงง (ซึ่งพอบอกใครต่อใครก็มีแต่ปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ทั้งน้านนนน) เราก็หัวเราะแหะๆไปตามเรื่องตามราว พอถึงเวลาปุ๊บก็เข้าเกตไปที่ห้องบรีฟ




    เข้าไปถึงห้องบรีฟก็เซย์ฮายและเช็คเอกสารต่างๆก่อน จากนั้นก็เช็คยูนิฟอร์มต่างๆพร้อมทั้งสิ่งของในกระเป๋าลาก เช่น มีถุงมือมั๊ย เอารองเท้ามารึเปล่า จากนั้นก็ไปตอบคำถาม safe talk ซึ่งเกี่ยวกับ safety / medical / security บนเครื่องบินนั่นแหละ พอทุกคนเช็คทุกอย่างเสร็จแล้วก็มาคุยกันเรื่องเกี่ยวกับผู้โดยสารว่าจะเกิดปัญหาอะไรบ้าง โดยมากเป็นยังไง ซึ่งส่วนใหญ่สำหรับไฟล์ทนี้ก็มักจะเดินทางกันเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นจะเจอเรื่องขอสลับที่นั่ง กับผู้โดยสารชอบแบกกระเป๋าใหญ่ๆขึ้นเครื่อง ก็ต้องจัดการให้ดี เป็นต้น จบปุ๊บก็จะคุยสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องอัพเดตต่างๆ และกัปตันก็จะมาทักทายเซย์ฮายพวกเราก่อนที่จะนั่งบัสไปที่เครื่องบิน

    ระหว่างนั่งบัสไปเราได้นั่งข้างๆกับ First Officer ก็ได้คุยๆกันนิดหน่อย ตลกดี เขาเล่าว่าเคยมีแฟนเป็นสาวไทยนะ(อีกแล้ว! ทุกคนเจอต้องเกี่ยวเนื่องอะไรซักอย่างกับเมืองไทย) แต่ตอนนี้แต่งงานกับสาวฟิลิปปินส์แล้วจ้า ชอบสาวเอเชียนมากเลย ดูแลดี๊ดีงั้นงี้งู้นโง้น (ไม่ต้องคาดหวังกับกัปตันนะ คือมีอายุรุ่นพ่อแล้วทั้งนั้นเลยจย้า) ก็หัวเราะกันครื้นเครง






    พอมาถึงเครื่องปุ๊บเอาของเก็บปั๊บเราก็เริ่มสิงร่างคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยๆ เกาะติดตลอดเวลา ยิงคำถามรัวๆ สังเกตว่าเค้าทำอะไรยังไง จนกระทั่งตอนที่ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เราก็อยู่ในเคบินซักพักก่อนที่จะหลีกหนีความวุ่นวายเข้าไปนั่งในห้องนักบิน ซึ่งพอปิดประตูปุ๊บก็เหมือนอยู่กันคนละโลกเลย เป็นความวุ่นวายคนละแบบ ในเคบินจะวุ่นวายเพราะคนเยอะ แต่ในนี้วุ่นวายเพราะวิทยุกันไปมา เราได้มีโอกาสนั่งฟังด้วยก็งงๆง่วงๆแอบงีบไปนิดนึงด้วยแหละ แต่พอตอน take off ตื่นเต้นมาก ความฝันในวัยเด็กเป็นจริงแล้ว! นักบินนี่โคตรจะเท่เลยให้ตายเถอะะะะ !!



    หลังจากเครื่องบินขึ้นไปอยู่ในระดับที่โอเค สัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัดดับเราก็ออกไปผจญกับความวุ่นวายในเคบิน ลืมเรื่อง checklist และความชิวไปได้เลย อีนี่ทำทุกอย่างจ้า เค้าให้ทำอะไรก็ทำ ทั้งเสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำ เคลียร์ถาดอาหาร ตอบคอลจากผู้โดยสาร หอบผ้าห่มไปแจก เหมือนเป็นหนึ่งใน operation crew เลยแหละ ไม่ได้มีเวลาพักกินหนมกินน้ำแม้แต่นิดเดียว ปากแห้งตัวแห้งเหลือเกิน รอบหน้าต้องพยายามดื่มน้ำให้เยอะๆแล้วแหละ

    พอกัปตันประกาศว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้วเราก็แว๊บเข้าไปอยู่ในห้องนักบินอีกรอบเพื่อรอเวลา landing ซึ่งโชคดีมากที่เข้าไปทันเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี คือพระอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนตัวลงช้าๆจนลับทะเลเมฆไป เป็นการดูพระอาทิตย์ตกที่ 14,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลในห้องนักบิน

    ระหว่างที่เครื่องบินค่อยๆลดระดับผ่านหมู่เมฆลงมาเรื่อยๆ เราก็นั่งนึกย้อนอดีตไปมา เชี่ยยยย วินาทีนั้นคือรู้สึกว่าตัวเองโคตรจะโชคดีเลยอะ ขอบคุณตัวเองมากๆที่สู้ที่จะได้ทำตามความฝันและเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้และก็ทำสำเร็จมาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือการทำงาน ถึงจะล้มลุกคลุกคลานบ้างแต่มันคุ้มค่ามากเลยแหละ รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองสู้จนกระทั่งมีวันนี้ ที่ได้มานั่งดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ ขอบคุณโชคชะตาและตัวเองจริงจัง








    พอถึงเจดดาห์แล้วเราก็ยังอยู่บนเครื่อง เท้าไม่ได้แตะซาอุนะ หลังจากผู้โดยสารลงไปหมดแล้วก็จัดการเก็บผ้าห่มและหูฟัง และก็มีพนักงานเข้ามาทำความสะอาด จากนั้นเราก็มาโซ้ยข้าวรัวๆ หิวจัดจนตาลายกินไปสองจาน จานแรกคืออาหารผู้โดยสารที่เหลือจากที่เสิร์ฟ ส่วนจานที่สองคืออาหารของพวกเรากันเอง จากนี้ไปต้องระวังเรื่องน้ำหนักแล้วแหละเพราะอาหารทุกอย่างมันเยิ้มมากเหลือเกิน ฮืออออออ



    ไฟล์ทจากเจดดาห์กลับมาดูไบเป็นไฟล์ทที่เราอยู่ในเคบินเต็มๆ ไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องนักบินแล้ว เพราะฉะนั้นสกิลทุกอย่างที่เรียนมาจากในคอลเลจถูกงัดมาใช้กับผู้โดยสารทั้งหมดทั้งมวล โอ้เย่ เจอทุกเคสทั้งกระเป๋าใหญ่เกินที่ไม่พอ ครอบครัวจะนั่งด้วยกันแล้วสลับที่นั่งกันเองแล้วผู้โดยที่นั่งตรงนั้นก็มาโวย เราก็สลับจับให้ไปนั่งที่อื่น ปรากฎว่าที่ตรงนั้นมีคนบุ๊คไว้แล้วเป็นครอบครัวแต่ดันนั่งแยกกัน ก็ต้องหาที่นั่งให้นั่งด้วยกันแล้วขอให้ผู้โดยสารคนอื่นสลับ ค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร แต่เรารู้สึกว่าเราดีลกับเขาค่อนข้างง่ายนะ เพราะทุกคนที่เราดีลด้วยคือเราช่วยเขา ยิ้มให้เขาตั้งแต่ตอนบอร์ดดิ้ง เขาขอน้ำเปล่าก็วิ่งเข้าแกลลี่เอามาให้ เขาเลยมีจิตเมตตาโอนอ่อนผ่อนตามคำขอร้อง ซึ่งถือว่าโชคดีไป :)



    ตอนเซอร์วิสก็ทำทุกอย่างตั้งแต่แจกเมนู แจกของเล่นเด็ก ทั้งไฟล์ทไปและกลับเด็กๆเยอะมากเพราะส่วนใหญ่เดินทางกันเป็นครอบครัว นี่ก็ยิ้มแก้มจะแตกเล่นกับเด็กทุกคน แจกผ้าห่มเพราะเป็นไฟล์ทสั้น ผ้าห่มเลยต้อง on request ที่จริงๆแล้วขอกันเกือบครึ่งเคบิน นี่ก็วิ่งไปวิ่งมา หูฟังใช้ไม่ได้ต้องการอันใหม่อีกอะไรอีก คือพูดง่ายๆว่าเป็นคนดูแลเรื่องคอลจากผู้โดยสารนั่นหละ ซึ่งสารภาพตามความจริงว่าแอร์บนเครื่องไม่ค่อยสนใจคอลเท่าไรหรอก สภาพในแกลลี่มันวุ่นมากเพราะเป็นไฟล์ทสั้นแค่สามชั่วโมง แต่ทุกอย่างต้องทำ full service หมด และการเสิร์ฟในชีวิตจริงช่างแตกต่างกับที่เรียนในคอลเลจมาเหลือเกิน ลืมทุกอย่างไปได้เลยจ้า บนเครื่องนี่เน้นเร็ว ทำงานไว ผู้โดยสารแฮปปี้ได้สิ่งที่ต้องการก็โอเคแล้ว ซึ่งมันง่ายมากเลยที่จะติดนิสัยที่ไม่ค่อยจะดีไปในแต่ละไฟล์ท คือเราก็ไม่ได้ตัดสินว่าที่เขาทำมันไม่ดีนะ แต่เท่าที่สังเกตจริงๆแล้วเราว่าแอร์บางคนชอบดุผู้โดยสาร คือพี่จะ assertive ไปไหน๊ พอเขาขอน้ำส้ม พอไม่มีก็ตอบห้วนๆว่าไม่มี ต้องรอ เอาอย่างอื่นมั๊ย พอเขาพูดอารบิกใส่ก็จะปล่อยเบลอไม่สนใจเท่าไร ถ้าเราเป็นผู้โดยสารก็จะกลัวและไม่กล้าขออะไรจากแอร์คนนั้นอีก

    แต่โดยรวมแล้วลูกเรือทุกคนน่ารักมากๆ ช่วยเหลือเราทุกอย่าง อธิบายเราทุกสิ่ง เหมือนเป็นน้องเล็กบนเครื่อง ทุกคนโอ๋ ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย ได้ลองทำนู่นทำนี่มากมาย สนุกม๊ากกกกกกกก

    บนเครื่องเราวุ่นมาก อยู่แค่ main deck ไม่ได้ขึ้นไปดู upper deck ที่เป็น bussiness และ first class ซึ่งถ้าได้ไฟล์ทยาวๆก็จะขอขึ้นไปดูหน่อยละกันนะ สร้างความคุ้นเคยเข้าไว้



    ตอนผู้โดยสารลงจากเครื่องก็ประทับใจมาก เด็กๆยิ้มและบ๊ายบายให้ (แหงะล่ะ เป็นคนแจกของเล่นนี่นา) มีคุณป้ามีอายุเดินมาจับมือแล้วพูดอาราบิกใส่ เหมือนว่าขอบคุณอะไรงี้ คือเราฟังไม่ออกหรอกนะแต่ก็รับรู้ได้ทางสีหน้าและแววตา เออ ซึ้งใจอะ นี่แหละสาเหตุที่อยากมาทำงานนี้ อยากเป็นความทรงจำดีๆของใครซักคนบนโลก อาจจะไม่ใช่ความทรงจำที่ยาวนาน แต่มันก็มีความหมายสำหรับเรานะ :)

    ระหว่างนั่งรถบัสจากเครื่องกลับมาที่ HQ ก็ได้คุยกับ Cabin Supervisor และ Purser ได้ข้อคิดดีๆมาเยอะแยะเลย หนึ่งในนั้นคือ Stay away from negative people เขาบอกว่าในอาชีพนี้เราจะเจอคนหลากหลาย ทั้งผู้โดยสารเองและลูกเรือ มีทั้งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป อย่าให้คนอื่นมาทำลายความรู้สึกดีและความตั้งใจดีของเราได้ คุณอาจจะรู้สึกเหงาและ Homesick บ้าง แต่มันก็จะผ่านไป เอนจอยทุกวันทำงาน และงานนี้ทำงานปุ๊บก็แยกย้ายแล้ว จบแล้วจบเลยเลิกแล้วต่อกันทั้งผู้โดยสารและลูกเรือ ขอให้โชคดีและหวังว่าจะได้ทำงานด้วยกันอีก พอถึง HQ เราก็ขอบคุณเหล่า GR2 ทั้งหลายในชั้น Economy แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน



    พอถึงห้องแล้วเพิ่งรู้สึกว่าดีใจที่ได้กลับมาแหะ รู้สึกว่าเออ ที่นี่เป็นบ้านเราแล้วแหละ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มทำอาชีพนี้ เพราะอย่างน้อยเราได้สร้างบ้านไว้ในใจ มีอะไรที่นี่ไว้ให้ยึดเหนี่ยวแล้วล่ะ





    วันเสาร์เราพักเต็มๆหนึ่งวัน ส่วนวันอาทิตย์เราบินไปไคโรทั้งแต่แปดโมงเช้า ต้องไปถึงตั้งแต่ตีห้าโน้น ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกันนะ ตื่นเต้นแหะ หลังจากไคโรก็เป็น Day off และบินไปจาการ์ต้า ค้างที่นั่งสองคืนแบบงงๆว่าทำไม layover อะไรนานขนาดเน้ 48 ชั่วโมงแหนะ กลับมาอีกทีวันศุกร์ เสาร์บินต่อไปคูเวต จากนั้นก็ day off สองวันและต่อด้วย multi sector ซิดนีย์ โอ็คแลนด์

    จริงๆแอบอยากได้ตารางเก่ามาแหละ เรารู้สึกว่ามันได้ฝึกเยอะดีอะ ไปกลับสามไฟล์ทก็ทำเซอร์วิสหกรอบ ผู้โดยสารก็น่าจะเอาใจยาก มันท้าทาย ฮาาาาาาาา แต่เปลี่ยนก็ดีแหละเพราะรู้สึกว่าชีวิตโอเคเพราะเป็น supy flight รึเปล่า ของจริงน่าจะสาหัสอยู่เหมือนกันนะ





    ขอจบการเล่าเรื่องเพียงเท่านี้ ถ้าไคโรมีอะไรสนุกๆก็นจะมาจิ้มๆให้อ่านกันนะ

    ขอบคุณสำหรับการติดตาม ถ้าเราไม่ได้อัพอะไรก็สามารถชะแว้บไปดูรูปในไอจีก่อนก็ได้เด้อ



    ด้วยรัก...จากบนเตียงในห้องนอน, นครดูไบ














Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in