มาอยู่ที่นี่ได้ 2 เดือนแล้วนะ เวลาผ่านไปเร็วมากเลยแหละ นับจากวันที่ลากกระเป๋าเข้าบ้านจนถึงตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านแล้วนะ อาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็แฮปปี้ที่ได้อยู่ที่นี่ ไม่มีปัญหากับรูมเมท อาหารการกินก็อร่อยดี ชีวิตความเป็นอยู่ทั่วๆไปก็สะดวกสบาย อาจจะมีเหงาๆบ้างแต่ก็ผ่านช่วงเศร้าหนักๆมาแล้ว จบเทรนนิ่งแล้วก็เลิกกดดันตัวเอง เครียดต่อกับไฟล์ทบินละกัน ฮาาา จากนี้ไปก็คงโอเคขึ้นแหละเนอะ
จบเทรนนิ่งแล้วก็จะมีพิธีการบรีพให้ฟังว่าเวลาเช็คอินทำยังไง เตรียมตัวเตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง พร้อมทั้งถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระทึกและจากนี้อีกสี่เดือนเราจะกลับมาในฐานะแอร์เต็มตัว เย้
แบชของเราเอง น่ารักมาก ไม่มีใครหล่นหายไประหว่างทาง กุ๊กกิ๊กกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
ส่วนพรุ่งนี้ก็จะบินไฟล์ทแรกแล้ว ตื่นเต้นเหลือเกิน เครียดด้วยแหละ ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเท่าไรเลย ยุ่งๆเรื่องเอกสาร อะไรๆก็วุ่นวายไปหมดเลย
ถ้าติดตามเราในทวิตเตอร์จะเห็นว่าเราบ่นเยอะมากเรื่องเอกสาร เรื่องของเรื่องคือเขาทำเอกสารเราหายจ้า ทำให้เราไม่ได้
Medical Certificate และ
Flying License ซึ่งกว่าจะติดต่อ กว่าจะได้มามันช่างยากเย็น แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว ได้เอกสารทุกอย่างครบ เฮ้อ… เกือบจะอดได้บินแล้วแหละ
เอาจริงๆนะ การติดต่อหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภายในบริษัทด้วยกันเองหรือติดต่อกับหน่วยงานข้างนอกยากมาก เพราะทุกอย่างปิดตั้งแต่บ่ายสาม (จริงๆบอกว่าปิดบ่ายสามแต่บ่ายโมงก็หายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้แล้วอะ) แล้วพอถามใครซักคนเกี่ยวกับอะไรซักอย่างจะชอบตอบไม่ตรงกัน ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนมั่ว ต้องไฟท์ทุกอย่างเองตล๊อด เหนื่อยใจเหลือเกิน… เราผู้ชอบมีปัญหากับเอกสาร ไม่รู้ทำไม ไม่ว่าจะทำอะไรก็ชอบติดขัดเรื่องเอกสารอยู่เรื่อยเลยแหละ
วกกลับมาเรื่องไฟล์ทแรก เครื่องบินที่เราฝึกและที่เราจะทำงานด้วยคือ
B777 และคุณวาฬ
A380 ซึ่งไฟล์ทแรกที่ทำงานกับทั้งสองลำจะเรียกว่า
Supy Flight นั่นคือเราจะได้รับ Checklist และทำตัวเป็นเด็กน้อยคอยสังเกตการณ์ทุกความเป็นไปบนเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องบินเองและเซอร์วิสต่างๆ
สำหรับ A380 คือพรุ่งนี้ที่เราจะไปเจดดาห์ ซาอุฯ ส่วน B777 คือวันเสาร์ เราได้ไปไคโร อียิปต์แหละ เราโดนข่มขู่มาเยอะมากกว่าสองไฟล์ทนี่โคตรพีคเลย ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรตื่นเต้นระทึกขวัญนะ จากที่ฟังๆมาก็ไม่น่าจะได้ทำอะไรมากเท่าไร แต่เท่าที่เช็คดูแล้วผู้โดยเต็มลำทั้งสองไฟล์ทเลยจ้า คงต้องช่วยหยิบจับทำอะไรแหละมั๊ง
ตอนนี้เราอยู่ในช่วงติดโปร ต้องทำ Portfolio ส่งด้วยแหละ งานเยอะมากเหลือเกิน มีทั้งทำ research ต้องให้เพื่อนร่วมงานและ Cabin Supervisor ประเมิน เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ เข้าร่วมเวิร์คชอป เยอะเหลือเกิ๊น เพราะฉะนั้นสี่เดือนจากนี้ไปต้องสู้นะ! ฮึบบบบบบบบ!
เดี๋ยวถ้ามีเวลาและวันว่างจะมาเล่าให้ฟังหนาว่าไฟล์ทแรกของเราเป็นยังไงบ้าง :P
ต่อไปนี้จะเป็นการเล่าเรื่องจิปาถะ..
1. ไม้กวาด
เราใช้เวลา 2 เดือนตั้งแต่มาเหยียบที่ดูไบเพื่อตามหาไม้กวาดที่ดีมีคุณภาพ อันนี้ซีเรียสมาก เรื่องจริงๆสุดๆ เวลาจะซื้อไม้กวาดที่เมืองไทยเป็นเรื่องง่ายดาย แค่รอลุงปั่นจักรยานมาขายไม้กวาดหรือไปห้างใกล้บ้านก็ได้ไม้กวาดที่สามารถกวาดฝุ่นได้แล้ว
ไม่ใช่สำหรับดูไบ…
ไม่ว่าจะไปห้างไหนๆเล็กใหญ่ใกล้ไกลจากบ้าน ทุกที่ล้วนขายไม้กวาดแบบเดียวคือไม้กวาดที่เป็นหัวแบบแปรง (ที่เอาไว้กวาดภายนอกอาคารไรงี้อะ นึกภาพออกมะ เป็นแปรงคล้ายแปรงขัดห้องน้ำอะ) ซึ่งไม่สามารถกวาดอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันเล้ย แล้วแม่งแพงมาก สามร้อยสี่ร้อยบาทโน้น โอ้โหหหห คิดถึงลุงขายไม้กวาดเลยอะ คือแพงไป๊ แถมทำอะไรไม่ได้ด้วย ไม่รู้จะเกิดมาเป็นไม้กวาดทำไม
เราเลยต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นตลอด โชคดีที่คนที่อยู่ก่อนหน้าเราทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ มันเป็นเครื่องดูดฝุ่นยักษ์ที่หนักและเสียงดังมาก ถ้าจะใช้ทีต้องเช็คว่าเมทอยู่บ้านมั๊ย บินกี่โมง ถ้าใช้ตอนนี้แล้วเมทนอนอยู่ก็เกรงใจ ไปๆมาๆก็ไม่ได้ทำความสะอาดห้อง ยี๊ สกปรก! ทนไม่ได้ล้าวววว เราต้องตามหาไม้กวาดดดดดดดดดดด
ในที่สุดเราก็พบไม้กวาดที่ถูกใจ แม้ว่าจะเป็นหัวแปรงและไม่เวิร์ค 100% เท่าไม้กวาดดอกหญ้าแห่งไทยแลนด์แดนสยามแต่ก็โอเควะ ดีกว่าไม่มีใช้ แล้วต้องนั่งรถเข้าไปในเมือง เข้าไปถึง
Financial Center เพื่อซื้อไม้กวาดอันเดียว กับเทรนนิ่งทุ่มเทขนาดนี้มั๊ย ถามใจตัวเองดู
2. ไอคัมฟรอมไทยแลนนนนนนนนนด์
80% ของแขกที่พบเจอล้วนเคยมาเมืองไทยหรือเคยมีแฟนเป็นคนไทย
ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มาแล้วไปทำ
Residence Card แล้ว เมื่อเราบอกเจ้าหน้าที่ว่ามาจากเมืองไทยปุ๊บ ทุกคนจะทักทายว่าสวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ พร้อมไหว้อย่างสวยงาม และทุกคนรักในการเดินช้อปปิ้งในมาบุญครอง (ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมแขกเยอะ)
ส่วนแท็กซี่ที่เคยนั่ง พอบอกว่ามาจากเมืองไทยปุ๊บ ทุกคนก็ทักเป็นภาษาไทยและบอกอย่างภูมิใจว่ามีแฟนเก่าเป็นคนไทยนาจา พร้อมเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง ตั้งแต่ช่วงคบกัน รักกัน และเลิกกัน ไม่ว่าจะเลิกกันแบบดีๆหรือโดนหลอกเอาตังก็ตาม หรืออีกทีก็เลิกกันแล้วแต่สาวยังติดต่อมาอยู่ มีปัญหาเรื่องเงินไรงี้ ไอควรจะช่วยเค้าดีมั๊ยอะยู ต้องส่งตังไปให้เนี่ย เราก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี ยูคิดเอาเองละกันนะ จบบบบบบ
(
เกร็ดความรู้คู่เมืองแขก :
Joiner คือศัพท์ที่ใช้เรียกสาวๆที่มาทำงาน “พิเศษ” ที่นี่นะจ๊ะ และสาวไทยค่อนข้างขึ้นชื่อลือชาเหลือเกิ๊น)
3. การใช้รถใช้ถนน
เราไม่เคยเมารถเลย นั่งรถตู้ขึ้นไปปายยังคงสไลด์แคนดี้ครัชอย่างเมามัน ไม่มีอาการเวียนหัวใดๆ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมาถึงที่นี่ ตั้งแต่นั่งแท็กซี่ยันรถบัสรับส่งไปทำงาน ทุกคนขับรถได้เชี่ยมาก จี้ตูดคันหน้าจนแทบจะรวมร่างเป็นทรานฟอร์มเมอร์ อยากหยุดก็เบรกหัวทิ่มตลอดเวลา อยากเลี้ยวก็เลี้ยวแบบดริฟท์เลย ปลุกจิตวิญญาณฟาสแอนด์ฟิวเรียสในตัวคุณมากๆ
อุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถเกิดได้ทุกวัน รถชนกันทุกวันเพราะขับกันแบบเนี้ยเอาจริ๊งงงงงงงง
อีกเรื่องคือที่นี่ขับสลับเลนกับไทย เพราะฉะนั้นเวลาข้ามถนนจะงงมาก เกือบโดนรถเฉี่ยวไปหลายรอบ เดชะบุญที่ยังอยู่รอดจนถึงวันนี้ ตอนนี้ก็ดูขวา ดูซ้าย ดูอีกที ดูอีกรอบ ดูให้แน่ใจว่าไม่มีรถมาถึงจะข้าม
ข้อดีเพียงอย่างเดียวสำหรับคนเดินถนนต๊อกแต๊กเราคือเวลาข้ามถนนบนทางม้าลาย(หรือถ้าไม่มีทางม้าลายแล้วตั้งท่าจะข้ามถนนอะนะ) รถจะหยุดให้อัตโนมัติ ดีงามมมมม
4. แท็กซี่
ตอนนู้นเคยบอกไปแล้วว่าราคาแท็กซี่เริ่มต้นอยู่ที่ 5 AED และขั้นต่ำที่ต้องจ่ายคือ 12 AED ไม่ว่าจะไปแค่หน้าบ้าน ราคาจริงแค่ 10 แต่ก็ต้องจ่าย 12 นะจ๊ะ
มีแท็กซี่สำหรับผู้หญิงด้วยนะ หลังคาจะเป็นสีชมพูและเป็นผู้หญิงขับ ก็เก๋ไม่หยอก
90% ของลุงแท็กซี่มาจากอินเดีย ปากีสถาน หรือบังคลาเทศ แท็กซี่ที่นี่สะอาด ไม่มีกลิ่นประหลาด ไม่มีกองใบเตยอยู่ที่กระจกหลังหรือกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศชวนเวียนหัว ลุงแท็กซี่ที่นี่ชอบชวนคุย ไม่แปลกถ้าเขาจะถามนู่นถามนี่เยอะแยะลามไปจนถึงชีวิตความเป็นอยู่ คุยไปคุยมาก็ตลกดีเหมือนกันนะ
อ้อ…ก่อนขึ้นแท็กซี่แต่ละครั้งโปรดเช็คการออกเสียงชื่อสถานที่และเปิด google map รอไว้เลยจ้า กว่าจะไปถึงเล่นเอาเหนื่อยมาก คุยกันไม่รู้เรื่องซะทีว่าจะไปไหนกันแน่
แต่ความพีคอีกขั้นคือบริการ อูเบอร์ เว้ยแก ที่นี่จะมีอูเบอร์แบบปกติ คือ UberSELECT เหมือน UberX บ้านเรานั่นแหละ และ UberBLACK หรูหรามีระดับขึ้นอีกเหมือนที่ไทย นอกจากนี้ยังมี UberVIP ที่ต้องเรียกอูเบอร์แบบปกติครบ 10 ครั้งถึงจะปลดล็อกบริการนี้ได้ และที่สุดของความพีคคือ UberCHOPPER บริการเรียกเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง
อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ที่นี่มีบริการ
เ ฮ ลิ ค อ ป เ ต อ ร์ เว้ยแก ความรวยของดูไบนี่มันรวยจริงๆ ยอม
5. หมู หมา แมว
ที่นี่มีหมูขาย! ตามห้างใหญ่ๆเช่น Spiney (สาขาใหญ่อยู่ที่สถานี Burjuman – ดีงามมาก ผักสดผลไม้สดเหลือเกิน มีผักไทยๆอย่างผักกาดขาวไรงี้ด้วยนะ ของออร์แกนิกเต็มมมมมมไปหมดเลย รักที่นี่มาก แต่ราคาแพ๊งแพง) จะมี Non-Muslim Section เข้าไปปุ๊บก็มีแต่หมูเต็มไปหมดเลย แต่นั่นแหละ ราคาแพงเช่นเคย ไม่กินก็ได้ บรัย ทุกวันนี้ใช้ชีวิตแบบ plant base ไม่ได้รักสุขภาพอะไรหรอกนะ ไม่มีตัง TT____TT
ส่วนการจะอิมพอร์ตหมูเข้าประเทศก็สามารถทำได้นะจ๊ะ แค่แพ็คมาให้ดี บอกตม.ว่ามีหมูนะจ๊ะนายจ๋า เขาก็จะไม่ยุ่งไม่แตะอะไรเลย เพราะฉะนั้นหากท่านใดอยากอุปการะแอร์ตาดำๆ สามารถส่งหมูหยองหมูแผ่นน้ำพริกมาม่ามาได้เด้อออออ
ส่วนสิ่งที่ห้ามเอาเข้าประเทศโดยเด็ดขาดคือผลิตภัณฑ์จากไก่ เพราะเขากลัวเรื่องหวัดนกมากๆ ถ้าไก่ติดหวัดตายขึ้นมานี่แทบจะไม่มีอะไรกินทั้งประเทศเลยนะ
ดูไบไม่มีหมาจรจัด มีแต่แมวทุกมุมตึก ไปไหนก็เจอแต่แมว แมว แมว เต็มไปหมดเลย แทบจะไม่ค่อยเจอหมาเท่าไร คนไม่ค่อยเลี้ยงกันมั๊ง นานๆถึงจะเจอคนจูงมาเดินเล่นซักที ล่าสุดยืนถ่ายรูปอยู่กลางเมือง มีนกยูงข้ามถนนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ งงเลย
นกยูงตัวเป็นๆจริงๆแก กลางเมืองเลยอะ ไม่รู้ฮีหลุดมาจากไหน
คิดไม่ออกแล้วว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี ตัดจบเลยละกัน เดี๋ยวต้องไปเตรียมตัวบิน วู้ฮู้วววว > <
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีนะ :)
ด้วยรัก...จากทะเลทราย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in