เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ขยี้พุงลูกสิงโตที่โจฮันเนสเบิร์ก
  • 01 March 2017



    สวัสดีเดือนมีนาคม

    เดือนนี้เป็นเดือนแห่ง Reserve Month ที่ไม่มีตารางบินเลยทั้งเดือนค่ะ เราต้องคอยแสตนบายวันต่อวันว่าวันนี้จะโดนส่งไปไหน เป็นเดือนที่ใช้แต้มบุญสูงมากเพราะชีวิตจะแล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง จะบินไปไหนก็แล้วแต่ Operation Team จะบัญชา


    เราเริ่มต้นเดือนนี้ด้วย Home Standby 6 ชั่วโมงตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืน พยายามนอนตั้งแต่ห้าโมงเย็นก็นอนไม่หลับ เครียดมาก นั่งเช็คตารางบินตลอดเวลา และตารางเราเปลี่ยนจากแสตนบายมาเป็น JNB - โจฮันเนสเบิร์ก, แอฟริกาใต้ ตอนประมาณทุ่มครึ่ง




    กรีดร้องรัวๆเพราะดีใจที่ไม่โดนไฟล์ทเทิร์นรอบกัลฟ์หรืออินเดีย
    แต่ก็กรีดร้องอีกทีเพราะไม่ได้นอนก่อนไปบินโว้ย แล้วบินยาวด้วย ตายยย ตายแน่ๆ






    เราหอบร่างที่สุดแสนจะสะลึมสะลือเข้ามาในห้องบรีฟ ทักทายทุกคน วันนี้เราได้บิน B777 อันเป็นที่รัก♡ และที่เซอร์ไพร์สคือมีลูกเรืออีโค่แค่ 5 คนเอง เพราะผู้โดยสารขาไปและกลับไม่เยอะ เขาเลยจัดสรรคนมาแค่นี้แหละ 55555 ประหยัดงบนั่นเอง พวกเราเขาขากันดี เล่นตลกกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องบรีฟ :)

    และด้วยความที่ไฟล์ทบินข้ามคืน ผู้โดยสารหลับกันหมด เราก็เอาชีวิตรอดจากความง่วงด้วยการฟาดกาแฟไปสองแก้วและชาเขียวร้อนจำนวนมาก ในที่สุดก็มาถึงโจฮันเนสเบิร์กในสภาพซอมบี้












  • พอมาถึงปุ๊บก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน งีบกันนิดหน่อยแล้วก็ออกมาเที่ยวกัน โดยพวกเราไปกันที่ Lion Park Safari Johannasburg ซึ่งตอนแรกเราไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไรเพราะเคยได้ยินมาว่าที่นี่เขาวางยาสิงโตให้มันง่วงๆมึนๆจะได้ไม่ดุร้ายเป็นอันตราย แต่ด้วยความที่ทุกคนรบเร้าว่าไปเถอะ จะได้เห็นกับตาไงว่ามันเป็นยังไง... เออ ไปก็ได้ว้าาาาา




    คนที่พาเราไปเที่ยวคือ พอล คุณลุงใจดีที่ลูกชายแกเป็นอดีตลูกเรือที่นี่ ทำงานมาปีนึงแล้วไม่ชอบ พอล่ะ กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนแล้วจัดทัวร์พาลูกเรือไปเที่ยวดีกว่า (ไอเดียนี้เราก็แอบคิดไว้เหมือนกันแหละว่าอยากลาออกมาทำ พาไปเที่ยวตลาดน้ำ ไหว้พระอยุธยาไรงี้)


    ระหว่างทางเราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเก็บไว้เลย เพราะโดนนั่งอยู่แถวหลังสุดตรงกลาง แต่ก็ตื่นตาตื่นใจไปกับวิวสองข้างทางเหมือนกันนะ และระหว่างทางที่กำลังขับรถออกนอกเมือง รถเราติดไฟแดงอยู่หลังจากรถกระบะ อยู่ๆก็มีเด็กประถมผิวสีใส่ชุดนักเรียนวิ่งกรูกันขึ้นมานั่งบนท้ายรถกระบะค่ะ

    ทั้งรถเราตกใจกันหมดว่าเฮ้ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย แต่ลุงพอลบอกว่ามันเป็นปกติของที่นี่แหละที่จะมีใครซักคนโดดขึ้นบนหลังรถกระบะของคนแปลกหน้า เดี๋ยวพอใกล้ถึงก็โดดลงไปเอง พอรถเราแซงกระบะคนนั้นก็เห็นพี่คนขับหันมามองรถเรา ทำหน้าตาแบบเออ...ชินแล้ว โดนบ่อย









    เรานั่งรถออกมาไกลพอให้งีบหลับได้ในรถ ไปถึงปุ๊บเราก็ได้รับที่รัดข้อมือมาสองกัน สีเขียวคือเราจะได้ไปเซย์ฮายทักทายลูกสิงโต ส่วนอันสีเหลืองนั้นคือบัตรที่จะไปนั่งรถซาฟารีเที่ยวชมในสวน










    หลังจากโดดขึ้นรถที่มีกรงล้อมหนาแน่นแล้วเราก็มุ่งหน้าเข้าไปส่วนพาร์คค่ะ ในหัวของเรานี่เต็มไปด้วยเพลงจากเรื่อง The Lion King นาซะเพ้นยา มาราดิอินาดา~ เฮนย่าเล~ เฮนยาลา~ ไปสำรวจอาณาจักรของสิงโตกันนนน


    จ่าฝูงครอบครัวนี้ชื่อว่า จามู




    คนบรรยายในรถบอกว่าจริงๆแล้วสิงโตก็เหมือนแมวนี่แล นอนวันละ 18-20 ชั่วโมง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงหลับแบบหลั๊บหลับกันได้ตลอดเวลา และเขาจะให้อาหารสัปดาห์ละ 2 ครั้งโดยคำนวณเป็น 20% ของน้ำหนักตัว โดยอาหารที่ให้ไม่ได้ปล่อยกวางเข้ามาให้ล่าแบบเป็นๆนะจ๊ะเพราะว่ามันผิดเกี่ยวกับเรื่องของการทารุณสัตว์นั่นเอง







    เป็นหนุ่มแล้วต้องดูแลตัวเอง






    สำหรับสิงโตแล้ว การผสมพันธุ์จะทำเพื่อการสร้างสมาชิกใหม่เท่านั้น และถ้าเกิดว่าได้สิงโตน้อยเป็นตัวผู้ เมื่อโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นแล้ว จ่าฝูง(พ่อ)ก็จะไล่ออกจากฝูงไปค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้ผสมพันธุ์กับพี่น้องของตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่สมาชิกใหม่จะพิการ และป้องกันไม่ให้ลูกมีอำนาจกลายมาเป็นจ่าฝูงเลียนแบบสการ์ที่วางแผนลอบฆ่ามูฟาซ่าและขึ้นมาเป็นจ่าฝูงนั่นเอง





    สะเทือนใจเหลือเกิน








    จากนั้นเราก็มาเจอกับสิงโตขาวค่ะ ซึ่งสิงโตขาวจะมีแพงคอเป็นสีอ่อนกว่าสิงโตปกติแต่ไม่ใช่สิงโตเผือกนะคะ ตามธรรมชาติแล้วสิงโตขาวมีโอกาสรอดน้อยกว่าสิงโตปกติทั่วไปเพราะไม่สามารถพรางตัวเพื่อล่าเหยื่อได้นั่นเอง


    ชาวพื้นเมืองของแอฟริกาใต้เชื่อว่าสิงโตขาวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณ










    ขับรถต่อมาอีกนิดนึงเราก็เจอยีราฟคอยาวโผล่มาทักทาย : )





    การแยกเพศของยีราฟนั้นจะสังเกตที่เขาของมันค่ะ ถ้าเขามีขนอยู่แสดงว่าเป็นตัวเมีย แต่ถ้าไม่มีเป็นผิวหนังโล้นๆจะเป็นตัวผู้ อย่างตัวนี้เป็นตัวเมีย ชื่อว่า เดซี่



















    ถัดจากยีราฟเดซี่แล้วก็มาเจอกับฝูงสิ่งมีชีวิตกินพืชและเคี้ยวเอื้อง มีทั้งม้าลาย ความป่า และสปริงบ๊อก นอกจากนี้ยังมีนกกระจอกเทศสามตัวนี้เดินโย่งๆไปมา







    ได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาว่านกกระจอกเทศจะผลัดเวรกันฟักไข่ค่ะ โดยตัวเมียจะฟักกลางวัน และตัวผู้มารับหน้าที่ต่อในเวลากลางคืน
















    พอช่วงประมาณสี่โมงสิงโตจะเริ่มตื่นแล้วค่ะ
    ระหว่างทางก็เจอสองตัวนี้เดินลาดตระเวนไปมาไม่ไกลจากฝูงที่ยังนอนอยู่














  • จากนั้นก็แวะไปดูฝูงหมาป่าแอฟริกา (Wild Dog) ที่ไม่ใช่ไฮยีน่านะคะ มีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อยเพราะไฮยีน่าไม่ใช่หมาอย่างที่เราเคยเข้าใจ แต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ของตนเองใกล้เคียงกับแมวและเสือ จากนั้นรถก็วนกลับมาที่อาคารหลัก และเราจะไปเล่นกับลูกเสือกันนนน







    ระหว่างทางก็มีเพื่อนมาทักทาย เซย์ฮาย ขอถ่ายรูปด้วย ฮาาาาา










    เราไปในโซนลูกเสือค่ะ มีลูกเสือน้อยคอยเราอยู่สามตัว เจ้าหน้าที่บอกว่าห้ามอุ้ม จับหัว หรือดึงหางนะคะ ลูบตัวได้อย่างเดียวจ้ะ



    น้องงงงงงงงง












    น้องน่าย้ากกกกกกกกกกกกกกก











    พวกเจ้าคือเจ้าแมวยักษ์!















    และนี่คือข้าพเจ้าเองที่ตื่นเต้นสุดๆ หลังจากภาพนี้คือโดนงับและตะปบประมาณสามที
    (เห็นรูปนี้แล้วรู้สึกว่าผมเริ่มบาง หัวจะเริ่มล้านแล้ว...)











    จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่อีกโซนนึงคือกรงเสือชีต้าร์ค่ะ ที่นี่มีชีต้าร์ 2 ตัว มีตัวนึงที่เสียตาไปหนึ่งข้างเพราะมนุษย์ใจร้ายค่ะ :(

















    รอบนี้ลูบหัวได้ ลูบหางได้ ห้ามจับตัว ห้ามวิ่งต้องค่อยๆเดินเพราะชีต้าร์จะคิดว่าเราเป็นเหยื่อกระดุ๊กกระดิ๊ก และห้ามเอากล้องมาเซลฟี่เด็ดขาด อันตรายนะจ๊ะ



    น่ารักมาก นุ่มฟูเหลือเกิน อยากเอากลับบ้านนนนนนน









    จากนั้นก็จบกิจกรรมการเยี่ยมชมแมวยักษ์ทั้งหลายค่ะ รีบโดดขึ้นรถกลับโจเบิร์กเพราะฝนทำท่าจะตก และแวะที่ Nelson Mandela Square เพื่อซื้อของกินกลับไปดูไบจ้ะ ภารกิจที่สำคัญของเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทะเลทรายที่แท้จริง




    ซื้อเนื้อที่ดีงาม ผักจำนวนมาก และไวน์กลับบ้าน เฮ!







    ตอนขากลับเรารู้สึกว่ารันเวย์ที่สนามบินนี้ยาวมาผิดปกติแหละค่ะ เพราะเวลาที่ Take-off จะใช้เวลานานมากกว่าเครื่องบินจะเชิดขึ้นและพ้นจากรันเวย์ เลยเอาข้อสงสัยนี้ไปเคาะห้องนักบินเพื่อหาคำตอบค่ะ



    เหล่าคนขับได้อธิบายข้อมูลที่น่าสนใจมาว่า ท่าอากาศยานนานาชาติโออาร์ แทมโบแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามบินที่ท้าทายความสามารถของเหล่านักบินค่ะ เนื่องจากเมืองนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 5,751 ฟุต และตัวสนามบินเองก็อยู่ที่ความสูงทำให้อากาศค่อนข้างเบาบาง เลยตั้งมีรันเวย์ที่ยาวกว่าปกติเพื่อช่วยให้เครื่องบินมีกำลังมากพอที่จะเอาเครื่องขึ้นนั่นเองงงง






    สำหรับไฟล์ทขากลับก็โอเคดี แม้ว่าจะเป็นไฟล์ทกลางวัน ผู้โดยสารน่ารักและช่างคุยค่ะ เล่นตลกกันตั้งแต่ตอนบอร์ดดิ้ง เรากลับถึงดูไบด้วยสภาพยู่ยี่เล็กน้อยเพราะไฟล์ทยาวเกือบเก้าชั่วโมงแบบไม่มีพักเลย เหนื่อยเหลือเกิน


    วันรุ่งขึ้นเราโดน Airport Standby ค่ะและด้วยพลังแห่งแต้มบุญที่สั่งสมมา หวยก็มาออกที่กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ กรี๊ดเหลือเกิน คิดว่าเดือนนี้จะไม่ได้กลับบ้านแล้ว ฮูเร่♡


    พอมากรุงเทพแล้วเราเลยไปกินอาหารที่บางปู ดูนกนางนวลและพระอาทิตย์ตกดิน ชาร์ตพลังให้จิตใจสงบให้พร้อมกลับมาลุยกับการแสตนด์บายต่อไป อนาคตในเดือนนี้จะเป็นอย่างไร ฝากติดตามให้กำลังใจด้วยนะคะ






    ด้วยรัก...จากแอฟริกาใต้ (อีกรอบ)




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in