13 October 2016
เช้าวันนี้พี่ชายของอาล่าชื่อ มูฮาเหม็ด มารับที่โรงแรม แพลนของเราคือไปนอนแช่น้ำทะเลที่เค็มที่สุดในโลกและกลับมาให้ทันเครื่องบินกลับดูไบ
เราออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า มูฮาเหม็ดบอกว่าจะพาเราไปเที่ยวเพิ่มอีก 2 ที่ คือ โบสถ์ซักอย่างที่เขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน กับภูเขาเนโบ
มูฮาเหม็ดต่างจากอาล่าโดยสิ้นเชิง แม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกันก็ตาม อาล่าชอบฟังเพลงช้าเรื่อยๆ ขับรถไปเรื่อยๆ แต่ตั้งแต่ขึ้นมานั่งที่เบาะหลังในรถมูฮาเหม็ดก็เหมือนอยู่ใน Fast and Furious ในซีนขับรถผ่านทะเลทรายตลอดเวลา ทั้งเพลงที่เปิดเป็นเพลงฮิปฮอปสัญชาติรัสเซีย ลีลาการขับรถที่เร็วกว่า ก็เป็นการเดินทางที่คึกครื้นดีไม่ใช่น้อย :)
สถานที่แรกที่เรามาแวะคือเมือง Madaba ภายในเมืองก็มีร้านขายของจุ๊งจิ๊ง ขายกาแฟยามเช้า เราเข้าไปที่ St. George Greek Othedox Church ที่เรามากูเกิลข้อมูลในภายหลังว่าที่นี่มีแผนที่ที่ทำด้วยหินกระเบื้องโมเสกอยู่ ซึ่งเก่าแก่มากตั้งแต่ยุคของจักรวรรดิ์ไบเซนไทน์
แผนที่ที่ว่านี้คือแผนที่ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนปาเสลไตน์ ประกอบจากหินเล็กๆจำนวนสองล้านกว่าชิ้น เป็นภาพแผนที่ดินแดนอารเบียตั้งแต่อียิปต์จนถึงปาเลสไตน์
ซึ่ง... ของจริงก็ไม่ได้เห็นหรอก เดินลงไปปุ๊บเราก็พบกับแขกอินเดียมากมาย เข้าไปถ่ายรูปแค่ในตัวโบสถ์แล้วก็ออกมา เสียดายเหลือเกิน
วิธีการทำภาพจากหินๆแบบนี้เป็นวิธีดั่งเดิมของชาวจอร์แดนนี่แหละคุณ เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย
ภายในโบสถ์ และตรงที่กั่นเชือกตรงนั้นคือแผนที่ แต่ด้วยความไม่รู้และขี้เกียจแหวกคนเลยไม่ได้ไปดู
พลาด!
เราออกจากเมืองและไต่ภูเขาคดเคี้ยวมาเรื่อยๆจนถึง Mount Nebo ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญในพระคัมภีร์เก่าของชาวยิวและพระคัมภีร์ใหม่ของชาวคริสต์ เป็นสถานที่ที่โมเสสเสียชีวิตลงหลังจากที่พาชาวยิวข้ามทะเลแดงมาจากอียิปต์นั่นเอง
ต้องซื้อตั๋วเข้าชมด้านใน 1 JD เท่านั้นเองจ้ะ
เข้ามาก็จะเจอหินสลักเป็นภาษากรีกและอารบิก
หินนี้เรียกว่า Kuffer Abu Badd
เป็นหินที่ใช้หมุนเพื่อปิดหลุม(จริงๆคือถ้ำ)ที่เอาไว้ฝังศพในยุคไบเซนไทน์
เดินขึ้นเขามาเรื่อยๆจะเจอกับโบสถ์และพิพิธภัณฑ์
นี่คือส่วนหนึ่งของพื้นโบสถ์เก่าที่ทำด้วยหินโมเสก ของจริงใหญ่มากกกกกกก สวยมากกกกกกกก
จุดที่สูงที่สุดของภูเขาเนโบคือ 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และจากจุดนี้เราสามารถมองไปเห็นอิสราเอลได้ (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตรงไหนเพราะทุกอย่างเป็นสีน้ำตาลไปหมด) จากภูเขา ถ้าลงไปด้านล่างก็จะเป็นเมืองเนโบที่มีเสาโรมันโบราณ และสิ่งก่อสร้างตั้งแต่ยุคไบเซนไทน์
ในส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นก็จัดแสดงภาพโมเสกต่างๆ รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัยก่อนให้ได้ชมกัน รวมถึงประวัติโดยคร่าวๆของสถานที่ในละแวกนี้
หลังจากเดินชมบรรยาการรอบๆแล้วเราก็กลับขึ้นรถและเวียนหัวไปกับการไต่ไปตามไหล่เขา สู่ไฮไลต์ทีเด็ดประจำวัน ทะเลแห่งความตาย ทะเลที่เค็มที่สุดในโลก เดธซี!!
แก๊! คือมันลอยจริงๆเว้ย ลอยแบบลอยด้วยไม่ต้องพยายาม อยู่เฉยๆก็ลอยตุ๊บป่องๆบุ๊งบิ๊ง เพราะน้ำทะเลที่นี่เค็มกว่าปกติประมาณ 9 เท่า ทดลองชิมแล้วแม่งโคตรเค็ม เค็มมากจนขมอะ รู้สึกพบเจอ meaning of life คนเราเกิดมาเพื่อเอาตัวเองมาเห็นอะไรแบบนี้ มาทำอะไรแบบนี้นี่แหละ
ชีวิตนี้ได้นอนลอยอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดของโลกคือ 1,407 ฟุตต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมันฟินมาก once in my life time โอ้ยคือดีย์
หลังจากลอยด้วยความสนุกสนานก็ขึ้นบกมาเอาโคลนทาตัว โคลนที่นี่มีพลังด้านความงาม ทาแล้วตากไว้จะทำให้ผิวพรรณดี เราก็พอกใหญ่ ทาทั้งหน้าทั้งตัว เอาให้หมด ขึ้นมาต้องสวยเว้ย!
ส่วนนี่คือความเกลือที่แท้จริง
เราว่ายไปตรงใกล้ๆฝั่ง เจอเป็นผลึกเกลือค่ะคุณณณณณ ตอนแรกคิดว่าเป็นก้อนหิน โนววววว
เลยเอามาสครับตัวและกลับไปพอกโคลนใหม่
รู้สึกว่าถ้าเกลียดใครให้จับเฆี่ยนแบบอีเย็นในเรื่องนางทาสแล้วโยนลงน้ำที่นี่
น่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ...
หลังจากดำผุดดำว่ายอยู่ประมาณชั่วโมงนึงจนตัวเหี่ยวก็ขึ้นมาอาบน้ำ กินข้าว รู้สึกว่าร่างกายขาดน้ำมากๆเหมือนว่าเกลือมันดูดเอาน้ำออกไปหมดเลย ฮา อาหารที่รีสอร์ตก็อร่อยดี เป็นบุฟเฟ่ส่งท้ายก่อนกลับดูไบแลนด์ แวะซื้อของฝากเล็กน้อยก่อนกลับบ้านด้วย ฮี่ฮี่
รอคอยการเดินทางครั้งต่อไป
ด้วยรัก...จากคาบสมุทรอารเบีย
ทริปนี้เราอาจจะเล่าไม่ละเอียดและไม่ค่อยสนุกนัก เพราะเรามาเริ่มเขียนจริงๆจังๆเมื่อเดือนธันวาคม เลยหลงๆลืมๆเหตุการณ์และความรู้สึกไปบ้าง
หลังจากที่เราถ่ายภาพสุดท้ายที่สนามบินเรียบร้อยก็ต่อเน็ตเช็คข่าวสารตามปกติ
วันนั้นเป็นวันที่ 13 ตุลาคม
เมื่อถึงดูไบเรารีบกลับบ้าน เปลี่ยนชุด ยัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางและตีตั๋วกลับกรุงเทพมหานคร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in