วันรุ่งขึ้นเราตื่นสายนิดหน่อย ลงไปกินข้าวเช้าในสวนคนเดียวแบบเงียบๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆก่อนทีจะคว้าแผ่นที่และเดินออกไปสำรวจเมือง
ออสเตรียจ๋า พี่มาแล้วววววววววววว
ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมการอ่านข้อมูลท่องเที่ยวไปล่วงหน้า กะว่าไปตายเอาดาบหน้าแบบเมืองอื่นๆก็ได้ว้า มันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!
เวียนนาใหญ่กว่าที่คิดไว้มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
คือเราเคยมาที่นี่แล้วแหละ ช่วงก่อนคริสมาสต์ที่มาแลกเปลี่ยนเมื่อนานมาแล้ว ไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาตร์ อู้วหูวไปกับโครงกระดูกไดโนเสาร์และเดินเล่น Christmas market แต่มันก็นานมาแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับการเดินทางมีอยู่เพียงน้อยนิด
ตอนนี้แค่เดินออกไปหน้าโรงแรมก็เลี้ยวผิดแล้วคุณเอ๊ย....
ใจก็ระลึกถึงคำแม่สอนเอาไว้ว่า
ทางอยู่ที่ปาก ถามทางสิครับรออะไร เดชะบุญที่ไปเจอกับสาวโรมาเนียนใจดีช่วยบอกทางให้และพาขึ้นรถราง คุยไปคุยมาก็ทราบความว่าย้ายมาอยู่เวียนนาได้ 4 ปีแล้วแหละ พบรักกับสามีตอนไปเที่ยวโครเอเชีย แต่งงานและย้ายมาลงหลักปักฐานที่นี่
พอถึงสถานีที่เขาจะลงก็โบกมือบ๊ายบายกันใหญ่เลย ใจดี๊ใจดี:)
สาวโรมาเนียนอธิบายว่าตั๋วนี้ใช้ได้หนึ่งชั่วโมง
ใช้ขึ้นรถสาธารณะได้หมดเลยตั้งแต่รถราง รถเมล์ ยันรถไฟใต้ดิน ครอบจักรวาลมาก
เราเริ่มการเดินทางที่
Vienna Imperial Palace ในหัวตอนนี้มีแต่เพลง Vienna Waltz หมุนวนไปมา ทุกอย่างดูสวยไปหมดเลย ตึกรามบ้านช่องอาคารสิ่งก่อสร้าง สวยมาก แฮปปี้
ก็เดินเล่นถ่ายรูปก๊อกๆแก๊กๆไปมานั่นแหละนะ จำๆทางได้แบบคับคล้ายคับคลาว่าฝั่งตรงข้ามเป็นพิพิธภัณฑ์นี่หว่าเลยเดินข้ามไป หมายว่ามีเวลาอาจจะเข้าไปสำรวจสอดส่องด้านในหน่อย
สายตาเราก็ไปสะดุดกับรถบัส Hop on hop off สีเหลืองสดใส.... เอาซักหน่อยมะ เที่ยวแบบชะโงกทัวร์ดูเมืองให้รอบแล้วกลับไปนอนภายในสามชั่วโมงแบบฉบับคนไม่มีเวลา
พอคิดได้ดังนั้นก็เอาวะ ไป กำตังไป 25 ยูโรแล้วโดดขึ้นรถไปโดยพลัน
ได้ตั๋วมาเรียบร้อย สามารถโดดขึ้นโดดลงได้ตลอดทั้งวัน แถมฟรีแผนผังการเดินรถ
ขึ้นมาปุ๊บก็จะมีหูฟังแจกให้เอาไว้เสียบกับเครื่องบรรยายที่ด้านหน้าที่นั่ง
มีหลายหลายภาษาให้เลือกพร้อมเพลงคลาสสิกประกอบ อาห์... นี่แหละความรู้คู่ความสุนทรีย์
บนบัสมีไวไฟฟรีด้วยนะจ๊ะ เราเลือกนั่งชั้นสองจะได้เห็นวิวชัดๆ ทนร้อนเอาหน่อยก็ยอมวะ
เราเลือกขึ้นสายสีแดงที่วนไปตรง
Opera House ที่เคยฟังผ่านๆมาว่าตึกนี้เคยโดนชาวเมืองเวียนน่าด่ามาก่อนว่าไม่สวยเลยแก แย่มาก ด่าไปด่ามา สถาปนิกที่ออกแบบตึกก็โดดตึกฆ่าตัวตายซะเลย โหดไปอี๊กกกก
โดดลงจากสายสีแดง โดดขึ้นสายสีเหลือง เพราะจุดมุ่งหมายในใจของเราคือ
พระราชวัง Schonbrunn นั่นเองฮะ
ระหว่างทางก็เสียบหูฟังไปเรื่อย ฟังเพลงคลาสสิกไป ประกอบกับฟังบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ที่รถแล่นผ่าน ดี๊ดีได้ความรู้ทั้งด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม บรรยากาศก็ดี๊ดี ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วล่ะ :)
ถึงพระราชวังแล้วก็วิ่งทำเวลาไปถ่ายรูปฮะ ไปช่วยสาวญี่ปุ่นที่กำลังงกๆเงิ่นๆเซลฟี่ตัวเองอยู่ เลยแลกผลัดกันถ่ายบ้าง ใจจริงอยากเข้าไปเดินข้างในใจจะขาดรอน เงินมีแต่เวลาไม่พอก็ไม่เป็นไรเนอะ เดินวนๆอยู่ตรงลานรอบๆก็ได้ว้าาาา
พระราชวังสีเหลืองที่มีสีเฉพาะของตัวเอง
ออกมาด้านนอกเจอคุณลุงโมสาร์ทร้องเพลงอยู่อย่างไพเราะเลยเดินไปถ่ายรูปด้วย เขาก็ถามว่ามาจากประเทศอะไร เลยได้คุยกันเป็นภาษาไทยนิดๆหน่อยๆแบบงงๆ
จากที่เดินไปเดินมาก็ชักหิวประกอบกับอากาศก็เริ่มร้อนขึ้นทุกขณะ เลยแวะซื้อรถไอติมเจลาโต้ของคุณลุงชาวอิตาเลียนใจดีจากเมืองฟลอเรนซ์ (อร่อยดีเชียวแหละ ถ้าแวะไปอย่าลืมไปอุดหนุนนะจ๊ะ)
เรานั่งสายสีเหลืองมาเรื่อยๆจนวนกลับมาที่ Opera House อีกครั้ง เลยนั่งสายสีแดงใหม่ สายนี้วนรอบเมืองเลยล่ะ ผ่านสถานที่สำคัญเยอะแยะทั้งพิพิธภัณฑ์ต่างๆ รวมไปถึงสถานที่ราชการต่างๆ :)
ตรงนี้จะสร้างสถานีรถไฟใหม่ล่ะ ถ้าสร้างเสร็จจะสามารถรอบรับรถไฟพันขบวนต่อวันเลยทีเดียว!
Belvedere Palace อยากมามากกกกกกอีกเช่นกัน ไว้รอบหน้านะจ๊ะ
ค่อยๆละเลียดความสุนทรีย์ของบ้านเมือง ศิลปะ สถาปัตยกรรม
ข้ามแม่น้ำดานูบแล้วจ้ะ รอบๆริมแม่น้ำมีกราฟฟิตี้ที่น่าสนใจมาก
อาคารรัฐสภาสวยมากมากมากมากมากมาก
พอกลับมาตรง Opera House เราก็เดินเข้าไปตรง
Stephans Platz
แอบสังเกตเห็นแหละ ไฟน่ารักมากเลยง่ะ ชอบบบบบ
เดินตรงเข้ามาก็เป็นเหมือน Shopping Street แหละ
พอหันมาอีกด้านนึงก็ตึ่งงงงงงงงงง Stephansdom อยู่ด้านหน้าเลยจ้า
จากนั้นก็ได้เวลากลับแล้ว เราเดินเพื่อนจะไปหารถรางกลับโรงแรมแต่ดันเดินมั่วหลงไปตรงไหนก็ไม่รู้ งง ถามทางก็มีคนบอกแบบงงๆก็ทำให้หลงหนักเข้าไปอีก ตอนนั้นคือเอาไงดีวะกู ใกล้จะ wake up call แล้วด้วย เหลือเวลาชั่วโมงครึ่ง
หลังจากวิ่งไปวิ่งมาอย่างเสียขวัญ ตั้งท่าจะเรียกแท็กซี่แล้ว เราก็เจอสาวโครเอเชียช่วยไว้เพราะจะเดินไปทางเดียวกันพอดี โห... น้ำตาจะไหลด้วยความปลื้มปิติในความดีของมวลมนุษยชาติ
เดินมาบอกลากันตรง
Soviet War Memorial เพราะเธอจะเดินไปอีกทางนึง ส่วนเราก็วิ่งขึ้นรถรางกลับไปตรงถนนหน้าโรงแรม ตอนนั้นหิวมากเพราะยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยแวะกินอะไรก๊อบแก๊บแถวนั้น รีบวิ่งไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้เคียงเพื่อซื้อไส้กรอกเพราะไฟล์ทต่อไปกลับไทย เราต้องเอาของอร่อยไปฝากคนที่เรารัก!!
พอกลับถึงห้องก็พุ่งตัวลงที่เตียง ได้ power nap มา 15 นาทีพอดีเป๊ะก็ wake up call แล้ว เหนื่อยเหลือเกินแต่ก็นะ... เที่ยวเอง หลงเอง ฮืออออออออ ทำไงได้ล่ะ
เราลงมาข้างล่างก็เจอนิโคลัสที่ล็อบบี้ โห...สภาพหนักกว่าเราอีกวู้ย ยังคงดูมึนเบลองงตลอดเวลา เราเลยถามว่านี่เมื่อคืนพวกยูกลับมากันกี่โมงเนี่ย เขาหันมาตอบแบบรีแอคชั่นช้าประมาณแฟลช เจ้าสลอตใน Zootopia ตีสามมั๊ง ไม่ก็ห้า... ไม่รู้สิ จำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่ามานอนบนห้องได้ไง
โห... พีคไปอีก
มิโล่กับเคราส์ก็มีอาการแฮงค์ๆนิดหน่อย มิโล่ชิ่งไปทำงานในบิสเนส สบายไป (คิดว่าฮีแอบคิดทางหนีทีไล่ไว้แล้ว แต่พวกลูกสมุนอีโค่นี่สิ บายยยยยย)
ส่วนพ่อเฟรดเดอริโก้นั่น... หน้าตาสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนไหล่เขาตลอดเวลา ตอนเช้ายังไปปั่นจักรยานรอบเมืองอีกต่างหาก ซึ่งทำให้ทุกคนช็อค นี่มันมนุษย์แบบเราๆหรือคนเหล็กวะเนี่ย
ไฟล์ทขากลับก็ดีงามน่ารัก ผู้โดยสารหลับ ส่วนเราก็ต้องคอยจิ้มนิโคลัสกับเคราส์ตลอดเวลา ชวนกินนู่นกินนี่ไปเรื่อยๆจะได้ไม่หลับ ฮาาาา
สรุปว่าทุกอย่างดีงาม อยากไปเที่ยวอีกเพราะรู้สึกว่าไปแค่แตะๆเวียนนาเท่านั้น ทำให้รู้ว่าการเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ไม่ใช่สไตล์ของเราเท่าไร ต้องไปแบบรู้ลึก รู้จริง อินกับสถานที่และซึมซับบรรยากาศ :)
ด้วยรัก...จากที่นั่ง 72K ไฟล์ท EK377 จากกรุงเทพมหานครสู่นครดูไบ... เฮ้อ...ไม่อยากกลับมาดูไบเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in