เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ปราสาทในเทพนิยายและวันที่ความฝันกลายเป็นจริง
  • 19 August 2016




    เดือนนี้มีเราได้มิวนิคมาสองรอบล่ะ บิดไฟล์ทไปเพราะว่ารู้สึกเหนื่อยๆเซ็งๆกับชีวิตแบบแปลกๆ คิดว่าทำไฟล์ทเยอรมันก็คงจะดี ผู้โดยสารน่ารัก(และหล่อมาก สเป็คเลย นี่แหละใช่) การทำงานก็ไม่ยากมาก ขาไปทำ 2 เซอร์วิสคืออาหารกลางวันและเอาไอติมใส่ถาดเดินแจกพร้อมกับเครื่องดื่ม ส่วนขากลับก็ทำแค่เซอร์วิสเดียว สบายๆ  แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจนิดนึงเพราะมีคนส่งไฟล์ทโจฮันเนสเบิร์กมาแลกด้วยในช่วงปลายเดือน คนที่มาขอแลกให้เหตุผลว่าอยากกลับบ้านม๊ากมาก และตัวเราเองก็เห็นว่านี่ทำงานมาจะครบปีอยู่แล้วยังไม่เคยไปเหยียบแอฟริกาเลยแหะ คงเป็นวโรกาสที่ดีที่จะได้ไปเยี่ยมเยียน เออ..แลกก็แลก ไปก็ไป เดือนนี้ไปเยอรมันแค่ครั้งเดียวก็ได้





    คืนก่อนหน้าที่จะไปบิน พี่หมิว และ ตี้ ไลน์และwhatsappมาหาแล้วบอกว่าเราได้บินกับ เปปเปอร์มิ้นต์ด้วยซึ่งเป็นเพื่อนของทั้งสองคน ซักพักเปปก็ส่ง whasapp มาหาและชวนเราไปเที่ยวปราสาท Neuschwanstein ด้วยกันเพราะเปปชอบดิสนีย์มากและปราสาทนี้ก็เป็นต้นแบบของ Disney Castle นั่นเอง

    ตัวเราก็เกิดและเติบโตมากับการ์ตูนดิสนีย์เหมือนกัน กรี๊ดมากอยากไปมานานแล้ว ประกอบกับเวลาที่ไปถึงพอเหมาะที่สุดที่จะจองทัวร์ไปเราเลยตกลง เปปเป็นคนติดต่อจองทุกสิ่งและต้องหาคนไปเพิ่มอีก 2 คนซึ่งพอมาทำงานจริงๆก็มีคนสนใจจะไปด้วยกันอย่างล้นหลาม นับรวมกันแล้ว 6 ชีวิตด้วยกัน เย้





    ในไฟล์ทก็สนุกสนานเริงรื่นกันพอสมควร ค่อนข้างสงบเงียบเรียบร้อยตามสไตล์ไฟล์ทเยอรมัน ไม่มีเรื่องอะไรให้ปวดหัวปวดใจ พอถึงโรงแรมก็ค่ำพอดีเลยนัดกันมานั่งทานอาหารกันที่บาร์ในโรงแรม ฟอเรียน เพอร์เซอร์ชาวเยอรมัน(บ้านอยู่มิวนิคด้วยล่ะ)รับหน้าที่แนะนำและสั่งอาหารให้พวกเราเป็นอย่างดี พร้อมแนะนำว่าให้ลอง Schnitzel คือไก่ชุบเกล็ดขนมปังทอด เมื่อเจ้าถิ่นบอกว่าอะไรดีเราก็ว่าดี สั่งตามๆเขาไปละกันเนอะ ฟอเรียนบอกว่าถ้ากินแบบออริจินัลตาแบบฉบับของชาวบาวาเรี่ยนที่แท้จริงต้องบีบแค่มะนาวและกินกับมันฝรั่งอบ ถ้าจิ้มซอสมะเขือเทศหรือใส่มายองเนสมันไม่ใช่ (อนุโลมให้จิ้มกับมัสตาร์ดได้แต่จะไม่ใช่การกินแบบบาวาเรี่ยนแท้ จะเป็นทางเหนือที่จิ้มมัสตาร์ดจ้ะ) เราก็สั่ง Paulaner มาแก้วนึง ก็แหม...มามิวนิคนี่เนอะ :D




    นั่งเม้านั่งคุยกันไปมาจนเกือบๆเที่ยงคืนแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปนอนนนนนนนนน เพื่อนสองคนที่นัดกันว่าจะไปปราสาทก็เทเพราะว่าคนที่จะพาไปทัวร์เขาจะมารับตอน 7.30 ซึ่ง ณ ตอนนั้นทุกคนเหนื่อยเกินกว่าจะตื่นเช้าแล้ว ก็โอเคไม่เป็นไร เหลืออยู่แค่ 4 หน่อ ก็ยังดีละว้าาาาา




    รุ่งเช้าเราตื่นมาตอนเจ็ดโมง แต่งตัวและลงมารอด้านล่างและพบว่าทุกคนเทหมดเลยจ้าาาาาาา เหลือแค่เรากับเปปเท่านั้นที่ตื่นมาเที่ยว และพอเราจะไปแค่สองคนค่าทัวร์ก็เลยกลายเป็นคนละ 100 ยูโร!! ตอนที่รู้ราคาเราก็หันไปมองหน้าเปป คือสายตาที่มองมาที่เรามีความคาดหวังมากว่าเราจะไปเพราะทริปนี้มันคือทริปในฝันของเปปที่จะได้ไปเห็นต้นกำเนิดของปราสาทดิสนีย์ที่แท้จริง



    เอาวะ กลั้นใจไปก็ไปเว้ย ไหนๆก็มาแล้ว เวลาก็พอดี
    ถ้าวันนี้เราไม่ได้ไปเห็นปราสาท เราก็จะเสียใจและเสียดายเหมือนกัน





    เราตอบตกลงและโดดขึ้นรถ
    ทริปตามฝันของสองสาวผู้คลั่งไคล้ในดิสนีย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว










  • ผู้นำทัวร์เที่ยวปราสาทในวันนี้คือ ฟรานเชสก้า สาวผมทองอารมณ์ดีในชุดเสื้อยืดลายทาง กางเกงยีน และรองเท้าผ้าใบสีแสบตา อดีตลูกเรือเก่าที่แขวนปีกและหมวกแดงไว้ที่ดูไบแล้วผันตัวมาทำทัวร์พาลูกเรืออย่างเราไปเที่ยวต๊อกแต๊กในแว่นแคว้นบาวาเรียอันงดงาม



    พอขับรถไปซักพักเธอก็แจกกระดาษให้อ่านคราวๆเกี่ยวกับ สมเด็จพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ผู้สร้างปราสาท Neuschwanstein ที่งดงามนั่นเองงงง

    เรื่องราวของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 นั่นเต็มไปด้วยปริศนาและเงื่อนงำ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลิกลึกลับและความรักสันโดษ ตลอดจนการสิ้นพระชนม์อย่างมีเงื่อนงำภายหลังที่ทางรัฐบาลบาวาเรียประกาศว่าพระองค์ถูกปลดจากการเป็นพระมหากษัตริย์เพราะไม่ทรงมีความสามารถใช้อำนาจด้วยพระองค์เองได้ พระองค์ถูกจับและพาไปยังปราสาทเบิร์กบนฝั่งทะเลสาบสตาร์นเบิร์กทางใต้ของมิวนิค


    เหตุการณ์ในวันสิ้นพระชนม์นั้นเกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงขอออกไปที่ทะเลสาบเพื่อพบกับจิตแพทย์ผู้ลงความเห็นว่าพระองค์ไม่เหมาะสมที่จะครองราชบัลลังค์ต่อไป นายแพทย์ตกลงและสั่งห้ามไม่ให้ยามตามไปด้วย ในคืนนั้นเองมีผู้พบร่างของทั้งสองลอยน้ำใกล้ฝั่งในทะเลสาบ มีหลายหลายทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ไม่ว่าจะการฆ่าตัวตายโดยการจมน้ำดังที่รัฐบาลบาวาเรียประกาศ บางทฤษฎีก็ว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ไปจนถึงการสันนิษฐานว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ตามธรรมชาติ เนื่องจากหัวใจวายหรือเส้นโลหิตในสมองแตกนั่นเอง








    ฟรานเชสก้าหยุดจอดรถที่ปั้มน้ำมันเพื่อให้เราซื้ออะไรเล็กๆน้อยๆรองท้อง เราก็ซื้อเพรสเซลเย็นๆชืดๆมาหนึ่งชิ้นพร้อมน้ำเปล่า ส่วนเปปก็ซื้อขนมปังติดมือมานิดหน่อยก่อนที่เราจะออกเดินทางกันต่อไป :)



    เรางีบไปซักพักก่อนที่จะนั่งดูวิวสองข้างทางที่เป็นป่าสนสลับกับทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาสลับซับซ้อนที่มาหิมะขาวอยู่บนยอด เป็นภาพที่ดีควรค่าแก่การจดจำ ซักพักฟรานเชสก้าก็ส่งเสียงปลุกเมือเราใกล้ถึงจุดหมาย















  • ไม่นานนักเราก็มาถึงหมู่บ้านใกล้ๆกับปราสาทนอยชวานซไตน์ นักท่องเที่ยวคับคั่งตั้งแต่ช่วงเช้า แถวรอต่อคิวซื้อตั๋วเข้าไปชมภายในตัวปราสาทยาวเหยียด เราถามฟรานเชสก้าว่าควรจะเข้าไปชมมั๊ย เธอบอกว่าเฉยๆเลยตัดสินใจว่าข้ามไปละกัน แค่เที่ยวเล่นด้านนอกก็พอแล้ว ซึ่งความคิดของเราคือถ้าจะมาเที่ยวเองแล้วอยากเข้าไปชมปราสาท ควรจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาเลยจะสะดวกที่สุดจ้ะ



    หมู่บ้านนี้มีร้านอาหารและคาเฟ่เยอะแยะ ร้านขายของที่ระลึกจำนวนมาก มีบริการรถม้าขึ้นไปบนตัวปราสาทด้วยล่ะ












    นอกจากนี้ก็มีบริการรถเมล์ขึ้นไปด้านบนด้วยแต่คิวยาวมาก ประกอบกับวันนี้อากาศดีฟ้าใส เราเลยตัดสินใจเดินขึ้นภูเขากันไปเรื่อยๆ









    สองข้างทางเขียวขจีเต็มไปด้วยต้นไม้ ลมเย็นๆพัดมาตลอดเวลา เป็นบรรยากาศที่ดี อยากเก็บอากาศแบบนี้ใส่ขวดโหลแล้วหอบเอากลับไปดูไบด้วย













    ระหว่างทางเราก็คุยกับฟรานเชสก้า ได้ความว่าเธอทำงานสายการบินเดียวกับเรา 2 ปีแล้วก็ตัดสินใจกลับมามิวนิคเพราะแฟนรออยู่ ไปๆมาๆก็ยื่นเรื่องขอทำทัวร์แบบนี้ โดยมากคนที่มาก็คือแอร์สายการบินเรา บางทีก็มีสายการบินอื่นติดต่อมาบ้าง



    เธอทำเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ มีประกันมีใบอนุญาตรับส่งคนถูกกฎหมายทุกอย่าง คุยกันไปคุยกันมาก็วานมาเรื่องน้องหมา กลายเป็นว่าเธอเลี้ยงพันธุ์ไวมาราเนอร์เหมือนกับเราเลย (บาเดนเป็นหมาพันธุ์นี้ พื้นเพเยอรมันจ๋า ชื่อบาเดนมาจากการที่คุณพ่อคุณแม่เปิดแผนที่เยอรมันแล้วจิ้มไปที่เมืองบาเดน-บาเดน เลยตั้งชื่อนี้ซะเลย) เราคุยกันใหญ่เลยว่าเราเลี้ยงยังไง นิสัยโตขึ้นมาเป็นยังไงบ้าง ฟรานเชสก้าเอารูปน้องหมาของเธอให้ดู เราก็แทบน้ำตาร่วงเพราะเหมือนน้องเด้นเปี๊ยบเลย



    เจ้าหมาพันธุ์นี้เป็นน้องหมานักล่าที่มีเซ้นส์ในการดมกลิ่นที่ดีเยี่ยม ขนสั้นสีเท่า หน้าตาเท่เหลือเกินอย่าบอกใคร มีความกระตือรือล้นสูงมาก เราเลยแนะนำว่าต้องมีพื้นที่กว้างๆให้วิ่งเล่น ต้องฝึกให้เป็นระเบียบ และให้คุ้นชินกับมนุษย์เข้าไว้ไม่งั้นอาจจะดุได้นะจ๊ะ ส่วนน้องเด้นนั้นเป็นหมาที่เป็นมิตรกับมนุษย์ทุกหมู่เหล่า หูไวตาไว จับสัตว์เล็ก ไปจนกระทั่งสู้กับงูตัวใหญ่(ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างด้วยประการทั้งปวง) และเวลาไล่ล่าอะไรสัญชาตญาณจะมาก่อนเสมอ อาจจะไม่ฟังคำสั่งเจ้าของด้วยซ้ำ ต้องฝึกดีๆ




    เดินคุยกันไปกันมาก็ถึงปราสาทสีขาวที่เรารอคอย


















    ตรงนี้มีจุดให้ถ่ายรูปด้วยนะ ผู้คนยืนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยน่ารักมาก จากมุมนี้ก็จะเห็นทุ่งสีเขียวขจีกับหมู่บ้านโดยรอบด้วยล่ะ





















    เหมือนอยู่ในอ้อมกอดของปราสาทสีขาว หุบเขา และท้องฟ้า











  • เราเดินวกเข้ามาอีกด้านเพื่อที่จะเข้าไปด้านในของตัวปราสาท ประตูด้านหน้าเป็นอิฐสีส้มซึ่งฟรานเชสก้าบอกว่าสาเหตุที่สีอิฐแตกต่างไปจากกำแพงของอาคารส่วนอื่นๆเพราะสร้างไม่เสร็จและต้องบูรณะซ่อมแซ่มเสียก่อน











    เข้ามาด้านในก็จะเจอแถวของนักท่องเที่ยวรอที่จะเข้าชมปราสาทซึ่งจัดให้เข้าชมเป็นรอบๆ โดยมีไกด์ค่อยอธิบายให้ฟัง ซึ่งน่าสนใจมาก แต่พอเราตัดสินใจว่าจะไม่เข้าแล้วก็ได้แต่เดินถ่ายรูปก๊อกแก๊กด้านนอกต่อไป...


    (ต่อมาได้คุยกับฟอเรียนว่าควรจะเข้าไปชมด้านในมากๆ เพราะการออกแบบปราสาทนี้มีความสลับซับซ้อนเนื่องจากพระเจ้าลุดวิกไม่ชอบสุงสิงกับใคร การออกแบบภายในจึงเป็นการออกแบบเพื่อให้พระองค์ประทับอยู่คนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องพบกับข้าราชบริพารทั้งหลาย มีกลไกภายในที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น การส่งอาหารมาให้พระองค์ผ่านช่องพิเศษอะไรประมาณนี้ ---ฟังแล้วก็แอบเสียดายน่าเข้าไปชม)























    ถ่ายรูปเรียบร้อยเราก็เดินวนออกเพื่อจะไต่เขาไปยังแลนด์มาร์กสำคัญคือสะพานจุดชมวิวนั่นเองงงงง!







    ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น ปราสาทนี้คือปราสาทที่ประทับของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ (แอบคิดเล่นๆว่าบางทีพระองค์อาจจะทอดพระเนตรมาตรงจุดที่สร้างปราสาทนี้ทุกๆเช้าก็เป็นได้) ส่วนทะเลสาบด้านหลังของปราสาทคือ Swan Lake







    ทะเลสาบที่ใหญ่กว่าด้านหน้าเรียกว่า Alps Lake









    งดงามตรึงตาตรึงใจเหลือเกิน

    ฟรานเชสก้าบอกว่าในฤดูหนาว Swan Lake จะแข็งหมดกลายเป็นลานสเก็ตน้ำแข็ง
    จากจุดนี้จะเห็นว่ามีคนเล่นไอซ์สเก็ตเป็นจุดเล็กๆเคลื่อนที่ไปมาด้วยล่ะ










  • คำแนะนำจากผู้เขียน

    ก่อนที่จะเลื่อนอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ โปรดเปิด Disney Theme ใน YouTube เตรียมไว้ก่อนค่ะ



    เปิดไว้แล้วใช่มั๊ยคะ

    พร้อมแล้ว

    ไปค่ะ!












    ฟรานเชสก้าพาเราเดินมาจนถึงสะพานจุดชมวิว เธอยิ้มนิดๆแล้วก่อนที่จะบอกพวกเราว่า "Take your time and enjoy!" เรากับเปปพยักหน้ารับก่อนที่จะค่อยๆเดินไปที่สะพานที่มีนักท่องเที่ยวถือกล้องกันเต็มไปหมด




    วินาทีแรกที่เราเห็นปราสาทในฝันจากบนสะพาน เรารู้สึกเหมือนว่าโลกค่อยๆช้าลงเหมือนจะหยุดหมุน เสียงเซ็งแซ่หลากภาษาและเสียงกดชัตเตอร์ค่อยๆเฟดหายไปกลายมาเป็นเพลงธีมดิสนีย์ คล้ายว่าภาพที่เห็นตรงหน้ากับภาพที่เห็นคุ้นตาเมื่อเปิดดูการ์ตูนดิสนีย์ซ้อนทับกันอย่างหน้าประหลาด





    (กรุณากดเปิดเพลงดิสนีย์ที่เตรียมไว้ค่ะ แล้วเลื่อนลงมาค้างไว้ที่ภาพด้านล่างนี้จนจบเพลง)






















    (0.31 วินาทีในคลิปจบลง เราให้โอกาสผู้อ่านสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนึกถึงการ์ตูนทุกเรื่องที่เคยดูมา)









    ค่ะ... ถ้าท่านผู้อ่านทำตามแล้วเกิดอาการเดียวกันกับเราคือมองภาพนี้แล้วอยู่ๆก็ยิ้มโดยที่ไม่มีสาเหตุ รู้สึกว่าขอบตาร้อนๆเหมือนน้ำตาปริ่มๆจะไหล ความทรงจำดีๆในวัยเด็กที่เกี่ยวพันกับดิสนีย์วิ่งเข้ามาในสมอง นั่นแหละคือความรู้สึกของเรากับเปปในแวบแรกที่เห็นปราสาท แม้ว่าจะไม่ใช่มุมเดียวกันกับที่เราเห็นตัวปราสาทในโลโก้ของดิสนีย์ แต่เราก็รับรู้ได้ถึงแรงบันดาลใจและสิ่งที่เรียกว่าความฝัน






    ความฝันของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 คือการสร้างปราสาทนอยชวานซไตน์เพื่อเป็นที่ประทับห่างไกลผู้คน
    และความฝันของวอลท์ ดิสนีย์คือการวาดการ์ตูนและการสร้างอาณาจักรดิสนีย์


    ความฝ้นของเรากับเปปเปอร์มิ้นต์ก็คือการมายืนอยู่ตรงนี้
    จ้องมองปราสาทในเทพนิยายที่เราเฝ้าฝันว่าอยากจะเห็นซักครั้ง







    ในที่สุดความฝันของพวกเราเป็นจริงขึ้นมาแล้ว



















    และหลังจากที่ยืนยิ้มเฉยๆอยู่ประมาณครึ่งนาที พยายามซึมซับบรรยากาศรอบๆให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แฟลชแบคความทรงจำไปกับการ์ตูนทั้งหลายที่ดูวนเป็นสิบๆรอบ อยู่ๆเราก็คิดถึงคุณแม่...




    จำได้ว่าการ์ตูนดิสนีย์เรื่องแรกที่เราดูก็คือ ซินเดอเรลล่า นี่แหละ คุณแม่เปิดให้ดูตั้งแต่ยังเป็นม้วนวีดีโอเทปและเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องโปรดของคุณแม่ด้วย เรียกได้ว่าจำบทพูดได้หมดทุกประโยคแล้ว (ส่วนเราจำบทพูดใน เจ้าหญิงนิทรา ได้ครบทุกประโยคเช่นกัน ท่องได้ จำแม่นกว่าสูตรคูณ)



    สายใยระหว่างเรากับคุณแม่พันเกี่ยวกันด้วยการ์ตูนดิสนีย์ ตอนเด็กๆพวกเราเคยฝันกันว่าจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่อเมริกาจนถึงขั้นไปทำวีซ่ากันด้วย แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้ไปเหยียบดินแดนแห่งเสรีภาพด้วยกันซะที ตอนที่เราไปเวิร์คแอนด์ทราเวลเราก็ไม่ได้ไปดิสนีย์แลนด์ที่แอลเอเพราะรู้สึกว่าเราสัญญากับคุณแม่ไว้ว่าจะไปด้วยกัน เหมือนเป็นคำมั่นที่ให้กันไว้ตั้งแต่ตอนเด็กและเราก็เก็บรักษาไว้ในใจตลอด เพราะฉะนั้นยังไงก็จะไม่ไปี ยังดีที่ต่อมาเราได้ไปดิสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกงกันแล้ว เย้





    ด้วยเหตุนี้
    การพาครอบครัวไปเที่ยวพร้อมหน้ากันสี่คน คือความฝันอีกอย่างหนึ่งของเรา




    บ้านเราเป็นบ้านที่ไปต่างประเทศกันค่อนข้างบ่อย ไม่ว่าจะอยากไปเองหรือไปทำงาน แต่ก็ยังไม่เคยที่จะไปเที่ยวต่างประเทศพร้อมกันเลย คนนู้นไปที่นู่น คนนั้นไปที่นี่ เดี๋ยวเราก็ย้ายไปอยู่มุมโลกนู้นนี้ ฉะนั้น... ทริปครอบครัวคือความฝันอีกหนึ่งอย่างของเราที่อยากทำให้สำเร็จ :)







    เรากับเปปใช้เวลาถ่ายรูปและมองวิวกันซักพักก่อนที่จะเดินกลับไปหาฟรานเชสก้าและเดินลงเขาไปที่ทะเลสาบ ระหว่างทางก็คุยเล่นถ่ายรูปกันไปตามประสา แวะซื้อของที่ระลึกซึ่งเราก็ได้ภาพวาดดินสอมา กะว่าจะเอามาใส่กรอบแปะฝาบ้านนั่นแหละ






    น้ำใสมากจนอยากลงไปว่ายน้ำ ซึ่งก็มีคนว่ายน้ำอยู่กลางทะเลสาบจริงๆนะ












  • เดินกันเหนื่อยๆท้องก็เริ่มหิว ฟรานเชสก้าพาพวกเราไปร้านอาหารโลคอลใกล้ๆกับปราสาทเพื่อลิ้มรสอาหารเยอรมันจากแคว้นบาวาเรียนที่แท้จริง ทั้งร้านมีแต่คนเยอรมันไม่มีวี่แววของนักท่องเที่ยวเลยนอกจากเรากับเปป ฟรานเชสก้าสั่งอาหาร ส่วนเรากับเปปก็ปรึกษากันว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายก็ได้มาตามภาพ





    ฟรานเชสก้าสั่งไส้กรอกมา ส่วนเรากับเปปแบ่งขาหมูเยอรมันกับพาสต้ากัน อร่อยมากกกกกกก ความออริจินัลที่แท้จริงคือสิ่งนี้นี่เอง!!










    รับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยก็เดินทางกลับ ฟรานเชสก้าถามคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าลุดวิกที่สองเพื่อชิงรางวัลด้วย เปปตอบได้เลยได้เบียร์ขวดใหญ่กลับไปเป็นรางวัล (คำถามคือพระองค์ครองราชย์ทั้งหมดกี่ปี คำตอบที่ถูกต้องคือ 20 ปีจ้ะ) จากนั้นเรากับเปปก็สลบยาวจนถึงโรงแรมและพยายามจะหลับกันต่อในช่วงเย็นเพื่อที่จะเตรียมทำไฟล์ทกลางคืน




    (ขอสารภาพว่าเรานอนไม่หลับและไลน์ไปร้องไห้โฮใส่คุณแม่ สาเหตุคือจิตตกว่าเรามาเที่ยวในที่สวยๆทำไมในเมื่อคนที่เราอยากให้มาเที่ยวด้วยไม่ได้มาด้วยกัน คิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน เฟลและตาบวมมาก)












  • สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณ เปปเปอร์มิ้นต์ ที่ชวนกันมาเที่ยวในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้เปปเราก็คงไม่ได้มาเพราะไม่ได้รับอีเมลเรื่องทัวร์ปราสาท ก็คงเหงาหงอยเศร้าสร้อยอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนนั่นแหละ ขอบคุณที่ชวนเราไป ​Disney Cruise ด้วย ไปแน่นอน ชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์เลย! และขอบคุณอีกครั้งที่ฟังเราบ่นถึงความเฟลของชีวิตและให้ข้อคิดเตือนใจเรื่องการทำงาน ว่างๆนัดกินข้าวกันเถอะ!














    การมาเที่ยวปราสาทในครั้งนี้ทำให้เราคิดอะไรได้อีกเยอะแยะเลย เราว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความฝันด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าความฝันนั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็สำคัญ เพราะการที่เรามีความฝันและพยายามก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆเพื่อทำสิ่งนั้นให้เป็นจริงทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตของเราไม่แห้งแล้ง ไร้คุณค่า ขาดแรงบันดาลใจ การมีความฝันทำให้เชื้อไฟในใจมันลุกโชนอยู่เสมอ



    การมาทำอาชีพนี้ก็เป็นการทำความฝันอย่างหนึ่งในชีวิตของเราให้เป็นจริง แม้จะเป็นความฝันที่ถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้เนิ่นนานมากก็ตาม วันที่เราทำได้มันภูมิใจมากจริงๆนะและการที่เรามาอยู่ที่จุดนี้ทำให้เราได้สานฝันอะไรต่างๆอีกเยอะ อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็คือการมาเยือนปราสาทเทพนิยายแห่งนี้นี่แหละ และตอนนี้เราก็พยายามที่จะรักษาความรู้สึกภูมิใจนี้ไว้ให้อยู่ในมือเรื่อยๆ หล่อเลี้ยงมันไว้เพื่อความฝันอื่นที่ใหญ่กว่านั้น ถึงแม้มันจะยากแต่เราก็จะพยายามนะ



    นอกเนื่องจากการเป็นแอร์แล้ว ตัวเราเองมีความฝันอื่นเยอะแยะ มีหลายสิ่งที่อยากทำ อยากลอง อยากไปเห็น อยากไปสัมผัส อยากเปิดร้านสลัด อยากเลี้ยงกระต่ายเต็มบ้าน อยากมีงานแต่งงานที่เรียบง่ายและใส่ชุดไทยในวันงาน(ข้อนี้ผู้หญิ๊งผู้หญิงมากเลย) แต่ความฝันสูงสุดในชีวิตของเราคือเราอยากให้ครอบครัวของเรามั่นคงและมีความสุข เรายอมเหนื่อยทำงานหนัก สุขภาพพังอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเราคิดว่าเราสามารถเป็นหลักให้ครอบครัวเราได้แล้วนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่เราจะได้สบายไม่ต้องห่วงและกังวลอะไรอีก


    คุณพ่อกับคุณแม่เราเหนื่อยมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องตอบแทนท่านบ้างแล้วล่ะ :)



    หลังจากกลับมาจากปราสาท เวลาที่เราเหนื่อยๆหรือท้อใจจะเปิดเพลง A dream is a wish your heart makes จากเรื่องซินเดอเรลล่าฟังตลอด ฟังแล้วก็คิดถึงคุณแม่ และคิดถึงเนื้อเพลงที่ว่า





    No matter how your heart is grieving
    If you keep on believing
    The dream that you wish will come true






    เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ เราเองก็เป็นกำลังใจให้ทุกคนเช่นกัน
    ออกไปทำความฝันให้เป็นจริงกันเถอะ




    ด้วยรัก... จากคนวิ่งตามความฝัน
















Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in