เราไปนั่งที่ร้านคาเฟ่แถวๆโบสถ์ประจำเมือง จะสั่งพิซซ่าแล้วแต่ว่ามีแต่แบบที่มีแฮมเลยล้มเลิก ด้วยความเกรงใจเจ้าของร้านเลยสั่งไวน์มาจิบเบาๆ และคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ กะว่าดื่มหมดค่อยลุกไปนั่งร้านอื่น
เมือง Como วันนี้คนเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวอย่างเราๆและชาวเมืองที่ออกมาเดินเล่น กลายเป็น Dog’s day เลยก็ว่าได้ มองไปทางไหนก็มีแต่คนจูงลูก ไม่ก็จูงหมา
พวกเราก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เพราะหาน้องหมาในดูไบได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก (แต่มีแมวทุกมุมตึกนะ) ชี้ให้ดูตัวนั้น พันธุ์นี้ คุยกันเรื่องหมาอีกแล้ว ชอบพันธุ์ไหน อยากเลี้ยงอะไร
ดื่มหมดก็ย้ายร้าน จังหวะนี้เรากับพอลล่าเริ่มกรึ่มๆกันนิดหน่อยเพราะไม่ค่อยมีอะไรรองท้อง ส่วนมนุษย์นักดื่มอย่างทอมนี่สบายๆ ไปร้านใหม่ก็สั่งอีก
เราย้ายร้านมาอีกด้านนึงของโบสถ์ พอลล่ารับหน้าที่สั่งอาหารตามเคย เราก็ตามใจ อยากสั่งอะไรก็กินได้หมด อร่อยทู้กกกกกกกกกอย่างงงงงงงง!
ด้านหน้าของโบสถ์ สวยมากกกกกกกก
ลานด้านหนัาและหมู่มวลร้านอาหาร
นั่งคุยกันไปกันมากลายเป็นการปรึกษาเรื่องความรักกันเสียได้ ทอม ชายหนุ่มคนเดียวจึงตกเป็นเป้าให้สองสาวยิงคำถาม โดยเฉพาะพอลล่าที่เล่าให้ฟังว่าเธอนกแล้ว นกเล่า นกอีก นกเรื่อยๆในเรื่องความรัก ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องเท ทำไมต้องเปลี่ยนไป
ซึ่งทอมก็ได้แสดงทัศนะที่น่าสนใจเท่าที่ข้าพเจ้ามีสติรับฟังและจำได้ไว้ดังนี้...
1. จงเป็นฝ่ายเลือก! (พอลล่าเถียงมาทันควันว่าไอเลือกแล้ว แต่เขาไม่เลือกไอโว้ยยยย)
ทอมเปรียบว่าความสัมพันธ์ก็เหมือนการตกปลา ตอนเด็กๆเขาไปตกปลากับพ่อ เขาชอบที่จะตกปลาตัวเล็กๆแต่ได้มาเยอะๆ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพนั่นแหละ ส่วนพ่อของเขานั่งนิ่งๆทั้งวัน รอเพื่อที่จะตกปลาเทราต์ตัวโตๆให้ได้ พอตกได้แล้วก็เอาไปช่างน้ำหนักไปคุยได้ว่าตกได้ตัวใหญ่เท่านี้ ต่างจากเขาที่คุยว่าตกได้กี่ตัวก็ไม่ค่อยมีใครใคร่จะฟัง เพราะฉะนั้น จง อด ทน
สาวๆส่วนใหญ่ชอบคิดว่าการเป็นโสดเป็นเรื่องที่ไม่ดี มีแฟนแล้วดีกว่า มีแล้วมันรู้สึกสมบูรณ์และได้รับการเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย แต่หารู้ไม่ว่าไอ้พวกที่มีแฟนเนี่ย... มันมีจำนวนมากที่เป็น bad relationship เว้ย ซี่งแย่กว่าการอยู่คนเดียวเสียอีก เพราะงั้นถ้ามีแล้วมันไม่ดีก็อย่ามีเลยดีกว่า เติมตัวเองให้เต็มด้วยตนเองก่อน แล้วค่อยไปตามหาส่วนอื่นให้มันดีเพิ่มขึ้นดีกว่า
การที่พอลล่ายังไม่เจอคนที่ใช่จริงๆเพราะภาพในหัวยังไม่ชัดเจนก็ได้ สำหรับทอมนั้นมีภาพในหัวชัดเจนเลยนะว่าสาวในอุดมคติเป็นยังไง ถ้าคนไหนไม่ใช่ก็เทเลย บ๊ายบาย อันนี้เราได้ให้ความเห็นแย้งไว้ว่า แต่ถ้าคนนี้เราชอบแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงเราก็ชอบไม่ใช่หรอ (พอลล่าพยักหน้าหงึกหงัก) ทอมเลยบอกว่า ผู้หญิงก็แบบนี้... ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ถ้าเขาเป็น bad guy และยูก็รู้อยู่เต็มอกก็ยังไปชอบอีกเนี่ยก็ไม่พ้นที่จะต้องเสียใจหรอก อย่าคิดว่าผู้ชายจะเปลี่ยนไปได้ง่ายๆ มันยากกกกกกกกกก
2. เขายอมรับว่าถ้าผู้หญิงมีทีท่าว่าจะเริ่มจริงจังในความสัมพันธ์ ผู้ชายอย่างเขาจะรีบถอยห่างทันที!
พี่แกจะหวงความโสดขึ้นมาทันใด ไม่อยากผูกมัดใดๆทั้งสิ้น (รู้แล้วค่ะว่าสายเปย์อย่างดิฉันพลาดที่ตรงไหน!) ที่เขาติดกับจูดี้ได้เพราะนางเป็นคนสบายๆ ทำให้เขาไม่หวาดระแวง คิดว่าตัวเองยังเป็นผู้ล่าอยู่ สุดท้ายนางตะครุบทีเดียวก็เรียบร้อย คบกันมา 4 ปีแล้วจ้ะ เตรียมจะซื้อบ้านที่ดูไบแล้ว คงจะแต่งงานในเร็วๆนี้ (ทอมบอกว่าไม่รีบแต่สายตาแอบเป็นประกายนิดหน่อย)
3. การทำความรู้จักกับสาวๆหลายคนในเวลาเดียวกันเป็นเรื่องปกติ
การที่เขาไปเดทกับคนนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไปทำความรู้จักกับสาวๆคนอื่นไม่ได้นี่นา ไม่ได้หมายความว่าเขาออกไปนั่งจิบกาแฟด้วยแล้วจะต้องลบเบอร์สาวๆคนอื่นออกจากมือถือซะหน่อย แต่อยู่กับจูดี้แล้วเขาสนุกดี อยากเจอเธออีกเรื่อยๆ อยากเจอกันทุกวันเลยย้ายมาอยู่ด้วยกันซะเลยจะได้ลืมตาตื่นมาเจอเธอทุกเช้า (ถึงตอนนี้นี่เขินแทนมาก)
3. คู่ที่เหมาะสมหรือความสัมพันธ์ที่ดีคือทั้งสองคนต้องช่วยส่งเสริมกัน
เหมือนซุปเปอร์แมนกับแบทแมนที่ช่วยกันสู้ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งมีสถานะต่ำกว่าและคอยเป็นผู้ตามแบบแบทแมนและโรบิน ต้องผลัดกันนำผลัดกันตามนะจ๊ะ
คุยกันไปมาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องสังคม ศาสนา วัฒนธรรมยุโรปและเอเชียน ภาษา สำเนียงบริติชที่โคตรผู้ดีของทอม วนไปวนมาจนแดดร่มลมตก จบเอสเพรสโซ่ช็อตที่สองเรียบร้อยก็ลุกขึ้นไปเดินเล่นริมน้ำกันต่อ
แดดยามบ่ายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน มีเสียงไวโอลินที่แสดงริมถนนดังแว่วมาตามลม เรามองไปที่ผิวน้ำระยิบระยับจากแสงของดวงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นเล็กๆเหนือผิวน้ำ
เป็นช่วงเวลาที่ดี
เราตัดสินใจขึ้นรถรางไปบนภูเขาเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ทอมแวะซื้อเบียร์อีกขวดก่อนที่จะวิ่งขึ้นรถ และรถรางค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆเผยให้เห็นเมืองโคโม่ในมุมสูง คนในรถตื่นเต้นกันใหญ่โดยเฉพาะเด็กๆที่สนุกสนานกับทุกสิ่งรอบตัว ทุกอย่างเป็นสีทองไปหมดเมื่อเราขึ้นมาจนถึงสถานีด้านบน เราสอดส่ายสายตาหาจุดชมวิวเงียบๆ โชคดีที่เจอมุมสงบ
พระอาทิตย์ค่อยๆทอแสงอ่อนลงเรื่อยๆ ไฟในเมืองเริ่มเปิดขึ้นที่ละจุดสองจุด เราได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าเงียบๆ สูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ลึกๆเต็มปอด
นี่คือการมาเลย์โอเวอร์ที่ดีที่สุดตั้งแต่เราบินมา 7 เดือน
ณ ชั่วขณะของวินาทีนั้น เราคิดว่าเราเป็นคนโชคดี
ในช่วงที่ทุกอย่างกำลังเป็นสีเทา เต็มไปด้วยความท้อแท้ เหนื่อยล้า และสิ้นหวัง การมาทะเลสาบครั้งนี้เหมือนเราได้เห็นแสงสว่างเล็กๆที่ปลายอุโมงค์อีกครั้งนึง จากที่เราอยากจะลาออก งอแง ร้องไห้เกือบทุกวัน ไม่มีความสุขกับชีวิตเลย วันๆได้แต่นั่งเฝ้านั่งรอว่าเมื่อไรจะได้กลับไทย เมื่อไรจะถึงไฟล์ทกรุงเทพ อีกกี่วันจะถึงวันหยุด เราบ่น เราคร่ำครวญ เราเฝ้ามองแต่ด้านแย่ๆของชีวิตซ้ำไปซ้ำมา พูดถึงแต่สิ่งเรื่องแย่ๆ คิดแต่เรื่องที่บั่นทอนกำลังใจและเอาความสุขของตัวเองไปผูกอยู่กับอนาคตจนลืมว่าจริงๆแล้วความสุขเล็กๆน้อยๆก็เกิดขึ้นได้ทุกวัน
ประกายในแววตาของเราเวลาพูดถึงเรื่องความฝันมันหายไปหมดสิ้น
หายไปตั้งแต่เมื่อไรก็เองก็ไม่ทันได้สังเกต
แต่พออย่างวันนี้ที่ตกรถไฟ ถ้าเรามัวแต่มองว่าเชี่ยเอ๊ย ตกรถไฟว่ะ ทุกอย่างก็จะกร่อย การมาเที่ยวก็จะไม่สนุก มันทำให้เราคิดได้ว่าบางครั้งเราแค่ต้องลองเปลี่ยนมุมมองบ้าง มองหาความสุขในเรื่องเล็กๆน้อยๆบ้าง แม้กระทั่งพยายามหาข้อสิ่งที่ดีในเรื่องที่แย่บ้าง เราต้องรู้จักปรับใจของเราให้มากขึ้น ให้กำลังใจตัวเองให้สู้ต่อไป
เราคิดว่าเราเองก็โชคดีนะที่ได้มาทำงานนี้ หอบร่างแบกใจตัวเองมาทำงานไฟล์ทนี้ เพื่อที่จะได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้ ขอบคุณตัวเองยังคงสู้อยู่ทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งรอบกายมันแห้งเหี่ยวไปหมดแต่ก็กัดฟันอดทนจนถึงวันนี้... วันที่เรารู้สึกดีกับชีวิตของเราอีกครั้ง
ในวันที่ฟ้าใสเราก็สุขใจ แต่ในวันที่ฝนตก เราก็ต้องรู้จักหลบและรอให้ฝนซา หรือถ้าตัวเปียกไปแล้วก็จงเรียนรู้ที่จะมีความสุขและอยู่กับมันไปให้ได้ เพราะเดี๋ยวฟ้าก็สว่าง แดดจ้า เรื่องร้ายๆเข้ามาแล้วก็จากไป
เราสามคนยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนพระอาทิตย์ตก ฟ้ามืดสนิท รู้สึกตัวกันอีกทีเวลาก็ปาไปสามทุ่มสิบห้าแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะอยู่ที่นี่กันนานขนาดนี้เลยรีบขึ้นรถไฟกลับไปนอนพักเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อกลับดูไบ
สำหรับไฟล์ทขากลับก็สบายๆสไตล์มิลาน ไม่วุ่นวายเท่าไรนัก มาถึงดูไบเย็นๆก็พอดีเวลานอนแบบปกติมนุษย์ ซึ่งก็โอเค
หลังจากมิลานเราก็ไปบินกรุงเทพและข้อเท้าพลิกบนเครื่องอีกแล้ว กลับเข้าสู่ความชีวิตพังและหมองหม่น สิ่งที่คิดได้จากทริปนี้หายวับไปกับตา งอแงอยากลาออกมากขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ แต่ก็คิดได้ว่าแล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปละมั๊ง... ตอนนี้ก็ให้กำลังใจตัวเองไปก่อนว่าอย่างน้อยต้องทำงานให้ครบ 1 ปี ถึงจะลาออก ดูใจกันไปจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม ถ้าไม่ไหวแล้ว ร่างกายไม่ไหว สุขภาพใจย่ำแย่ก็คงกลับบ้านแล้วล่ะ แต่ก็จะพยายามอยู่ให้ครบสัญญา 3 ปีนะ สู้กันต่อไปแหละ :)
รูปนี้พอลล่าแอบถ่ายไว้ เหมือนเป็นหนึ่งในซีนหนังรักโรแมนติก
ด้วยรัก...จากทะเลทรายที่ร้อนระอุถึง 50 องศาเซลเซียส
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in