บันไดสองร้อยกว่าขั้นที่จะพาเราขึ้นไปยัง The Terrace อยู่ด้านนอก เพราะฉะนั้นก็ต้องเดินตัวเปียกฝ่าฝนไปอีก ตอนแรกก็งงๆว่าจะต้องเดินขึ้นไปทางไหนอะไรยังไง เลยไปถามคุณพี่ทหารที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ได้ความมาว่า Your smile is the brightest thing of the day พร้อมพาเดินไปส่งตรงทางขึ้นบันไดไปอีก ผู้ชายอิตาเลี่ยนนี่มันดี๊ย์ โอ้ยเขินนนนนนน ฉันรักเขา จะเอา อยากด๊ายยยยย
เราก็ปีนขึ้นไปอย่างไม่เจียมสังขาร บันไดเป็นทางแคบๆวนๆๆๆๆๆๆขึ้นไปนั่นแหละฮะ ปีนแบบไม่สงสารร่างกายว่าคืนนี้จะต้องทำไฟล์ทต้องเดินในเคบินเล๊ย แต่ขึ้นมาก็คุ้มค่ามากเหลือเกิน ถ้าไม่เดินก็อาจจะไม่ฟินเท่านี้ก็ได้นะ
ฝนยังคงตกลงมาเรื่อยๆเหมือนฟ้ารั่ว เดินไปก็กลัวจะลื่นไป
เสาแต่ละต้นมีเขียนประกอบไว้ด้วยนะว่าเป็นนักบุญคนไหนบ้าง
ตอนที่ยืนอยู่บนนี้เรามีความสุขมาก สุขใจเพราะฝนและได้ห้อมล้อมอยู่ในอ้อมกอดของสถาปัตยกรรมระดับโลก แม้ว่าถ้าบนจะมีส่วนที่ปิดซ่อมบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของที่นี่ลดลงเลย ความงามของมิลานในม่านฝนทำให้เราติดใจและหลงใหลกับที่นี่มาก มีมนตร์ขลังอย่างบอกไม่ถูกล่ะ เราไม่อยากกลับเลย รู้สึกอีกแล้วว่าเวลาที่มีมันน้อยนิดเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่และอลังการของสถานที่ ยังคงกระหายที่จะซึมซาบความรู้สึกแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ
เราเดินกลับมาที่สถานีรถไฟตอนเที่ยงเพราะอีกสองสาวนัดเวลาไว้ เราเลยต้องตัดการเดินชมพิพิธภัณฑ์ไปเพราะเดินไม่ทันชัวร์ๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกกับทุกคนว่าขออยู่ต่ออีกนิดนึงก็ยังดี นอนน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไรเนอะ
เราเดินฝ่าสายฝนกลับไปที่ Duomo ใหม่อีกรอบนึง แม้ว่าฝนจะตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตาเราก็ยังคงเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ฟังเสียงในที่ไม่ได้ยินมานาน รับความสดชื่นของอากาศ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วแหละ
ด้านข้างของ Duomo di Milano เป็นโซนช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างเหลือเกิน เข้าใจคำว่ามิลานเมืองแฟชั่นก็วันนี้แหละ ทุกร้านมีความเยอะสิ่งจิงเกอร์เบลเหลือเกิน เรากลั้นใจไม่ซื้ออะไรเพราะเก็บเงินไว้เป็นค่าตั๋วกลับกรุงเทพนั่นแหละนะ
ถ้าจะช้อปแบรนด์เนมก็เข้ามาโซนนี้ได้เลยจ้า ได้ข่าวว่าทำ tax refund ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
และไหนๆก็มาอิตาลีแล้ว ก็ต้องซื้อไอติมเจลาโต้กินสิฮะ :3
ตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาทำได้ยังไงอ้ะ
เดินไปเดินมาซักพักฟ้าใสเฉ๊ย ประหนึ่งว่าฝนที่ตกกระหน่ำยามเช้าเป็นเรื่องโกหก ไหนบอกว่าตอนบ่ายฝนจะตกหนักมากๆไง พยากรณ์อากาศทำไมถึงทำงี้อะ คุณหลอกดาววววววว อยากขึ้นไปบนหลังคาอีกแต่คนเพียบเลย ไม่ขึ้นก็ได้ งอนท้องฟ้า เลยเดินเล่นรับแสงแดดที่สดใสก็พอ
สวยมาก คนเป็นล้านมากๆ
ตอนเดินขากลับเจอคนแอฟริกันหลอกเอาสร้อยข้อมือโง่ๆมาพันให้ด้วย คือรู้แหละว่าแม่งหลอกชัวร์แต่หลบไม่พ้น เราเลยให้เศษเหรียญติดกระเป๋าไปห้ายูโรมั๊ง ซึ่งก็เยอะแล้ว แม่งกำเหรียญไปแล้วบอกว่าจะเอาแบงค์สิบ เราก็โน ไม่ให้เว้ย ปรากฎว่ามีอีกคนมายืนประกบเลยจ้า เราเลยโวยวายเสียงดังแล้วชิ่งออกไปแบบว่องไว จับกระเป๋าแน่นมาก มึงแดกเหรียญกูไปแล้วอย่าริอาจเอาอะไรไปจากกูได้อีก เชี่ย!
จากนั้นก็รีบวิ่งมาขึ้นรถไฟทันเวลาพอดิบพอดี๊ ทำตั๋วยุ่ยนิดนึงเพราะเปียกฝนแต่นายสถานีใจดีออกตั๋วให้ใหม่ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย หล่อแล้วยังใจดีอีกต่างหาก ปลื้มปริ่มทำให้หายอารมณ์เสียจากที่โดนหลอกเอาตังค์ไปได้
พอกลับมาถึงห้องก็จิตตกอีกแล้วครับท่าน ก่อนบินก็สติแตกร้องไห้อีกแล้ว เป็นบ้าเป็นบอเหลือเกิน Home sick หนักมาก เศร้าทุกวันแบบจะบ้าตาย ไม่ซึมก็เฉพาะตอนมาเที่ยวเนี่ยแหละ ตอนแรกตั้งใจว่าจะนอน 4 ชั่วโมงก่อนบิน แต่ก็เศร้าสร้อยนอนไม่หลับสไกป์กับคนที่ไทย ไปๆมาๆได้นอนแค่ชั่วโมงเดียวก่อนไปบินเท่านั้น :(
สำหรับไฟล์ทขากลับนั้นเงียบเชียบเรียบร้อยมากๆ ผู้โดยสารกินเสร็จปุ๊บหลับปั๊บ เลี้ยงง่ายเหลือเกิน เลิฟที่สุด พอไฟล์ทสงบแบบนี้ก็มีเวลาจิบชามองวิวข้างล่าง คืนนี้ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีเมฆล่ะ มองลงมาเลยเห็นแสงไฟของเมืองสีส้มๆระยิบระยับเป็นหมู่อยู่เบื่องล่าง
เอาจริงๆ...เรารักงานนี้นะ เรารักการบิน เราชอบเวลาที่ผู้โดยสารหลับแล้วเราแอบเดินไปปิดจอทีวีให้เพื่อแสงจะได้ไม่รบกวนเขาเงี้ย รู้สึกสวยมากเหมือนมีปีกนางฟ้าวิ้งๆ มันรู้สึกดีที่ได้ทำเรื่องเล็กๆน้อยๆให้กับคนอื่นทุกๆวันแหละนะ ไม่มีใครเห็นแต่เราก็สุขใจที่ได้ทำแหละเนอะ
อีกอย่างนึงคือก็มานั่งคิดว่างานทุกอย่างในโลกนี้มันก็มีความเชี่ยและวายปวงแตกต่างกันไปทั้งนั้นแหละ ไม่งานไหนที่จะดี๊ดีได้ดั่งใจในโลกหล้าไปได้หรอก แต่งานที่ทำเงินดีแบบนี้มันหายาก แถมได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ ได้ไปนู่นไปนี่แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม ก็นึกภาพตัวเองทำงานรูทีนนั่งโต๊ะไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นยังไงกันนะและก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าลาออกไปจะไปทำมาหากินอะไร เออ...อยู่ต่อก็ได้วะ ยังคงตั้งมั่นในปณิธาน "ไม่เด่นไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป"
เรามาถึงดูไบตอนหกโมงครึ่ง แดดเปรี้ยงอีกตามเคย เห็น Burj Khalifa แล้วก็เออ...ถึงบ้านแล้วว้อย อบอุ่นในใจอย่างประหลาด เตียงนอนที่เรารักรอเราอยู่ ฮูเร่!
นี่แหละชีวิตของแอร์เมืองทะเลทราย สุขเศร้าเคล้าน้ำตาดราม่ากันไปล่ะเนอะ
หลังจากไฟล์ทมิลานนี้ก็มีสตอกโฮล์มและเมอร์ริเชียสแต่ก็โดนถอดซะงั้น โมโหเลยหนีกลับมากรุงเทพ 4 วัน กลับมาดูไบ บินไปซูริก เจอฝน อดเที่ยว งอแงเป็นบ้าเป็นบอเลยกลับไทยมาอีกรอบและไปบินเจดดาห์กับดุสเซลดอร์ฟ ก็ดี ได้ไปเยอรมนีครั้งแรกล่ะ เดี๋ยวจะมาเขียนให้อ่านกันนะ
ด้วยรัก...จาก one of the fastest growing city in the world ตามที่เขาเคลมไว้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in