เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
ความในใจจากดูไบถึงกรุงเทพฯ
  • 25 June 2016


    สวัสดีคนที่กรุงเทพฯ(และปริมณฑลรวมถึงประเทศอื่นๆ -- ถ้ามี)


    ขอโทษที่ห่างหายไปเสียนาน หวังว่าคงจะยังไม่ลืมกันไปนะว่าติดตามชีวิตแอร์เมืองทะเลทรายอย่างเราอยู่ เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ก็บ่นๆเหมือนเดิมตามประสาแหละ ไม่ได้พาไปเที่ยวเหมือนอย่างเคย สำหรับสาเหตุที่ว่าทำไมห่างหายไปจากการเขียนก็เพราะช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สภาพจิตใจของเราไม่ค่อยเป็นปกติเท่าไรนัก เป็นบ้าเป็นบออะไรก็ไม่รู้เลย รู้สึกว่าไม่พร้อมและไม่สามารถรวบรวมสมาธิจดจ่อกับอะไรได้เลย


    เรื่องของเรื่องคือตั้งแต่ที่เรากลับบ้านเมื่อเดือนพฤษภาคม เรายอมรับตามตรงเลยว่าเรากลับมาดูไบแล้วร้องไห้นั่งน้ำตาซึมเกือบทุกวัน กินอะไรไม่ค่อยลงคล้ายคนอกหักนั่นแหละ อาการดีขึ้นนิดหน่อยก็ตอนที่ไปเอดินบะระห์เพราะไปเจอเพื่อน ได้เที่ยวเล่นชมเมือง แต่พอกลับมาก็เศร้าสร้อยได้แต่นั่งๆนอนๆหายใจอยู่เฉยๆในห้องสี่เหลี่ยมไม่กะจิตกะใจจะทำอะไร เหมือนว่ายังทำใจให้ชินไม่ได้ว่าต้องมาอยู่ไกลบ้านทั้งที่ก็อยู่ที่นี่มาเกือบจะ 8 เดือนแล้วแท้ๆ ยิ่งเห็นว่าการบินไทยจะเปิดรับสมัครลูกเรือใหม่ก็มีความคิดว่าอยากจะลาออก อยากกลับไปอยู่บ้าน อยากเปลี่ยนสายมาทำงานเบสไทย ตอนที่ไม่ซึมก็เฉพาะเวลาทำงานไปบินนี่แหละ


    พอเริ่มเดือนนี้ก็โอเค ช่วงต้นเดือนเราไปมิลานมาและจะเขียนให้อ่านกันในเร็วๆนี้แหละ ก็ร่าเริงสดใสมีความสุขดี ทำใจได้ว่าเอาวะ ก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปนั่นแหละนะ แต่พอกลับจากมิลานเราก็โดนถอดไฟล์ทสตอกโฮล์มที่รอคอย โกรธมาก และก็โดนถอดเมอร์ริเชียสในเวลาต่อมา เราเลยยื่นขอวันหยุดและกลับไทยมาแบบเงียบๆเพราะขืนอยู่ดูไบต่อจะต้องโดนไฟล์ทเทิร์นแย่ๆแน่นอน สู้กลับมาเมืองไทยดีกว่า แถมช่วงนี้เป็นช่วงรอมฎอนด้วย ที่ดูไบไม่มีอะไรให้กินเท่าไรนักเลยเอาวะ กลับไทยและวาร์ปตัวเองไปเกาะล้าน สังสรรค์กับเพื่อนๆ กินข้าวกับที่บ้าน เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่โคตรจะมีความสุขเลยล่ะ


    พอกลับมาที่นี่แล้วมันก็อยากกลับไทยอีก จิตใจวนเวียนเหลือเกิน พอบินไปซูริกที่เจอฝนตกหนักไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน เลยบ้าบอสติแตกกลับมาไทยแบบเงียบๆอีกรอบ คือโคตรบ้าเลยที่กลับมาไทยรอบนี้ ตลกตัวเองเหมือนกันที่เป็นคนคิดจะทำอะไรก็ทำเลยปุบปับจนทำให้คนรอบข้าวตกใจและตามความคิดของเราไม่ทันบ่อยๆ


    ตอนแรกก็คิดเหมือนกันนะว่าคนที่กลับไทยทุกเดือน บางทีเดือนละสองวัน เวลาก็นิดเดียวทำไมเขายังกลับวะ แม่งโคตรจะเปลืองเงินเลยอะ พอมาตอนนี้เรายอมเหนื่อยนั่งเครื่องบิน 6 ชั่วโมง ยอมจ่ายค่าเครื่องบินกลับเพื่อความสบายใจ เติมพลังใจให้สู้ต่อไป ซื้อความสบายใจนั่นแหละ






    เรามานั่งคิดจริงๆจังๆว่านี่เราโอเคกับการกินข้าวเย็นคนเดียว ไม่ได้กอดแม่เป็นเดือนๆ คิดถึงใครก็ทำได้แค่ส่งข้อความไปและนั่งมมองหน้าจ้องตากันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมจริงๆหรอวะ นี่คือชีวิตที่เราอยากจะเป็นอยากจะทำจริงๆหรอ สำหรับเราการเป็นแอร์มันสนุกมาก เนื้องานเป็นสิ่งที่เรารัก แต่การที่เราต้องย้ายมาอยู่ไกลบ้านเนี่ยแหละที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไร ไม่รู้สิ... พอโตขึ้นเลยให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้นมั๊ง เพราะเมื่อก่อนตอนเราอยู่หอก็แทบไม่กลับบ้าน หนีเที่ยวไปนู่นไปนี่ แต่พอมาตอนนี้เรากลับอยากกลับบ้านทุกลมหายใจเข้าออก กลัวที่จะต้องไกลพ่อแม่ พออายุมากขึ้นมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนตอนอายุ 17 ที่อยากจะไปก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ เออ...ออกไปท่องโลกสิ ออกไปหาประสบการณ์สิ แต่ตอนนี้อยากอยู่ใกล้ๆคอยดูว่าแต่ละวันท่านสบายดีไหม 

    เวลาเห็นคนอื่นเขาแฮปปี้กับการอยู่ที่นี่ทำงานที่นี่ก็สงสัยนะว่าเขามีความสุขกันจริงๆมั๊ย มีมุมบ่นๆสับสนในตัวเองแบบเรารึเปล่าหว่า





    เราเป็นไฟท์เตอร์นะ ไฟท์มา 8 เดือนแล้ว แต่เราเหนื่อย เหนื่อยมาก มากจริงๆ

    แต่นั่นแหละ... ตอนนี้ก็ยังไม่ออกจากงานหรอก ได้แต่ท่องไว้ในใจว่าถ้าลาออกจะเอาอะไรกิน จะไปทำอะไร การลาออกโดยที่ชีวิตยังไม่พร้อมเป็นเรื่องที่เสี่ยงนะ ประกอบกับเราต้องรับผิดชอบในเส้นทางชีวิตที่เลือกเดินด้วยสิ เลือกด้วยตัวเองแท้ๆก็อย่าเพิ่งถอดใจหันหลังกลับไปง่ายๆ ชีวิตมันก็ไม่ได้มีแต่ความทุกข์ตลอดนะจำไว้


    ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้อาการบ้าๆแบบนี้หายไปซะที พยายามออกกำลังกาย นัดเจอเพื่อน อ่านหนังสือ ทำทุกอย่างที่รู้สึกว่าแฮปปี้แล้วแต่มันก็ไม่โอเคเลย ได้แต่หวังว่าอาการแบบนี้จะหายไปได้โดยเร็ว




    ท้ายที่สุดนี้เราเพิ่งนั่งดู Hana's miso soup บนเครื่องระหว่างกลับมาที่ดูไบ ดูแล้วรู้สึกว่าจากนี้ต้องรักษาสุขภาพกายและใจของตัวเองและคนรอบข้างไว้ให้ดี ต้องคอยดูแลกันและกันไปจะได้อยู่ด้วยกันนานๆนะ เพราะทุกคนที่อยู่ในชีวิตรอบตัวเรา ณ ตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เราอยากให้อยู่ในชีวิตของเราไปเรื่อยๆหมดเลย ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง คนสนิทชิดใกล้อื่นๆ (รวมถึงที่เคยสนิทชิดใกล้เช่นกันนะ)

    ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ทุกคนได้ช่วยหล่อหลอมทำให้เราเป็น "เรา" ได้ในทุกวันนี้ ขอบคุณที่คอยปลอบโยน เป็นกำลังใจ ให้ข้อคิดและเตือนสติเราในหลายๆเรื่อง ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันไปไหนในวันที่เราไม่น่ารัก

    หลายครั้งหลายคราวที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันมันเปลี่ยนไปบ้าง แต่ความห่วงใยที่มีให้กันไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลยนะ เรายังหวังว่าทุกคนจะมีความสุขและพบกับสิ่งดีๆในทุกวันเสมอ




    ขอให้เติบโตไปพร้อมๆกันอย่างแข็งแรงและมีความสุขนะ
    คิดถึงมาก


    ด้วยรัก...จากทะเลทราย
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in