เราเดินถ่ายรูปก๊อกแก๊กมาตามทาง พักสมองจากเรื่องราวประวัติศาสตร์และเติมพลังกันที่ร้าน
Mary's Milk Bar ร้านไอติมชื่อดังที่คนต่อแถวยาวเป็นหางว่าว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/55019d0f.jpg)
ระหว่างที่ยืนๆรอๆอยู่นั้นก็สังเกตเห็นว่าเรายืนอยู่บนแนวกำแพงเมืองเก่าจ้า มีประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่ทุกมุมเมืองจริงๆ :D
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/b3616212.jpg)
ภายในร้านน่ารักมาก มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งสองสามตัว คนขายแต่งชุดวินเทจมาก ชอบเหลือเกิน ไอติมโฮมเมดมีให้เลือกหลายรส เช่น กุหลาบ หรือ ลาเวนเดอร์ แต่เราก็ลองวานิลลาธรรมดานี่แหละ อร่อยดี :)
เราเดินต่อไปตรง
Grassmarket เป็นหนึ่งในตลาดในใจกลางเมือง ความสำคัญของโซนนี้คือเป็นจุดประหารชีวิตนักโทษโดยการแขวนคอ ศพสุดท้ายที่ถูกแขวนคอที่นี่คือเมื่อราวปี 1784
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/2d8436b7.jpg)
ที่นี่ในอดีตจึงเป็นเรื่องราวที่หดหู่ สยดสยอง ครั้งหนึ่งเคยมีการประหารพวก
Convenanters นับร้อยภายในตลาด ผู้คนตราไว้ว่าพวก
Convenanters คือกลุ่มคนที่ต่อต้านการแทรกแซงทางศาสนาของกษัตริย์อังกฤษ คนเหล่านี้จำนวนหนึ่งถูกเนรเทศไปยังอาณานิคมใหม่คือ ทวีปอเมริกาและนิวซีแลนด์นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่ยังถกเถียงกันว่าจริงหรือไม่คือ การฟื้นคินชีพของ
Maggie Dickson จากการแขวนคอ เธอถูกลงโทษข้อหาปกปิดการตั้งครรภ์ของตัวแล้วเองคลอดก่อนกำหนด เล่ากันว่าเธอถูกแขวนคอแต่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผู้ตัดสินถกเถียงกันว่าสมควรประหารเธอหรือไม่ ฝ่ายนึงมองว่าควรจะประหารอีก เพราะโทษของเธอคือต้องตาย ถึงฟื้นแล้วก็ต้องตายอีกอยู่ดี ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งแย้งว่านี่อาจเป็นลิขิตของพระเจ้าที่เธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ควรจะไปประหารชีวิตเธออีก สุดท้ายเคราะห์ดี ในช่วงประหารชีวิตเธอมีนักกฎหมายคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ร้องขึ้นว่า
"ตามหลักกฎหมายอาญา ห้ามลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำสอง
(Double Jeopardy)"
เธอจึงใช้ชีวิตอย่าสงบสุขมาอีก 40 ปี และนี่คือหนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั่นเอง (ซึ่งพอเราได้ฟังก็หวีดอยู่ในใจตามประสาคนจบกฎหมายนั่นแหละ เชี่ย... ที่นี่นี่เอง!)
ปัจจุบันที่นี่มีผับดังๆอยู่สองผับที่ทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์อันน่าสยดสยองของ
Grassmarket คือ
The last Drop และ
Maggie Dickson's Pub ซึ่งผับในอังกฤษส่วนใหญ่มีเสนห์คือ เชื่อมโยงเรื่องราวของประวัติสาสตร์บุคคลกับสถานที่ได้อย่างน่าทึ่ง ใจจริงอยากมาเที่ยวไปตามผับต่างๆ จิบเบียร์ และซึมซับประวัติศาสตร์ ต้องฟินและต่อนยอนมากแน่ๆ
และแน่นอน ความติ่งแฮร์รี่ของข้าพเจ้าคืออนันต์อันไม่มีที่สิ้นสุด เราไม่ลืมที่จะแวะร้าน
The Elephant House ซึ่งเป็นร้านที่
J.K. Rowing มานั่งเขียนแฮร์รี่เล่ม 1 และเล่ม 7 นั่นเองงงงง
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/7944a223.jpg)
จากนั้นเราไปติ่งแฮร์รี่กันต่อที่
Greyfrairs Kirk![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/0663d047.jpg)
คำว่า
Kirk เป็นภาษาสก็อตแปลว่า
Church นั่นเอง เดิมที
Greyfrairs Kirk เป็นที่ดินของบาทหลวงคาทอลิกฝรั่งเศส แต่ภายหลังถูกตั้งเป็นศาสนจักรของพวก
Presbyterianความสำคัญของโบสถ์แห่งนี้คือเป็นที่ลงนาม
National Convenant เป็นเอกสารทางการเมืองและศาสนาเพื่อประกาศว่า ศาสนาคริสต์ไม่ขึ้นกับราชบัลลังก์และสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ควรได้รับความคุ้มครอง เอกสารฉบับนี้เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้า
Charles I สังคายนาพระคัมภีร์ให้กษัตริย์มีอำนาจเหนือศาสนจักร เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยเล็กๆที่ไม่ถูกกล่าวถึงมากนักในประวัติศาสตร์ยุโรป
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/1efb37c1.jpg)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/da472299.jpg)
ร่องรอยของกำแพงเมืองเก่านะฮะ
ภายในบริเวณโบสถ์ยังเคยเปนที่คุมขังพวก
Convenanters ในสมัย
Charles II โดยนักโทษถูกปล่อยให้อดตายภายในนั้นจำนวนมาก ยังดีที่มีพลเมืองดีที่เอาอาหารมาให้นักโทษเหล่านั้น
และนอกจากนี้ตรงสุสานด้านหลังโบสถ์ยังเปนที่ที่
J.K. Rowing ชอบมาเดินเล่นและชื่อของ
ศาสตราจารย์มักกอนนากัล และ
ทอม มาโวลโล่ ริดเดิ้ล ยังมาจากหลุมศพภายในสุสานที่นี่อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าภารกิจของเราคือการตามหาหลุมศพทั้งสองนั่นแหละ! ติ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/9cd16221.jpg)
เจอแต่ของศาสตราจารย์มักกอนนากัล ไม่เจอของจอมมารแหะ เสียดาย
ติดๆกันนั้นเป็นที่ตั้งโรงเรียน
George Heriot Watt ตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 17 สำหรับเด็กกำพร้า ซึ่งมีลักษณะการบริหารกิจการนักเรียนคล้าย
Hogwarts เลยล่ะ โดยแบ่งนักเรียนออกเป็นเป็นบ้านและชิงถ้วยบ้านประจำปี
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/4a0ee0f7.jpg)
เดินเรื่อยเปื่อยฟังเรื่องราวมาเรื่อยๆจนเกือบๆจะหกโมงเย็น คุณคงสัจเลยพาเราขึ้นบัสไปทานอาหารเย็นที่บ้าน เราได้เจอคุณแม่โฮสต์และญาติๆรวมถึงเพื่อนชาวญี่ปุ่นอีกคนนึงชื่อว่า
โทโมมิ นั่งเล่น จิบชา ชิมชีส จนกระทั่งสองทุ่มนิดๆ ฟ้าเริ่มมืดเราก็ออกมาจากบ้านเพื่อกลับไป
Glasgow![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/06484b7b.jpg)
ระหว่างทางหมอกลงจัดมากๆจ้า
ไหนๆก็มาแล้ว เลยเดินไปดูเมืองฝั่ง
New Town ด้วยเลยก็ได้ ระหว่างทางก็แวะที่สวน
The Meadows ซึ่งเป็นลานเขียวขนาดใหญ่ ตอนนั้นอากาศกลับมาเย็นมากแต่เย็นชื้นๆแบบสดชื่น หมอกลง ได้เห็นเมืองครบทุกสภาพอากาศแล้วนะเนี่ย
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/f679317a.jpg)
เราเดินตัดเข้ามาย่านเมืองเก่านิดหน่อย เดินอ่อยอิ่งชมบรรยากาศเมืองเก่าในม่านหมอกแถวๆ
Victoria Street ซึ่งแต่เดิมชื่อว่า
Bow Street เป็นถนนที่สูงชันยากสำหรับการเข็นรถเข็นในสมัยก่อน แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะขึ้นไปสู่กลางเมือง จากทางตะวันตกในอดีต
มาจนศตวรรษที่ 19 มีการปรับพื้นที่ถนนให้น่าดึงดูดและเดินทางสะดวกมากขึ้น พร้อมกับการตั้งชื่อถนนให้พ้องกับสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษที่เพิ่งสืบบัลลังก์ในต้นศตวรรษคือ วิกตอเรีย
เอกลักษณ์ของถนนเส้นนี้คือทางชันขึ้นเป็นตัว Z ให้มุมมองที่สวยงาม และอาคารบ้านเรือนที่หลังคาสูงติดกันมาก จนเกิดเป็นคำกล่าวต่อกันมาว่าเพื่อนบ้านแทบจะดื่มชาคุยกันข้ามหลังคาได้
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/0a443283.jpg)
ส่วนย่าน
New Town เกิดขึ้นหลังการปราบปรามกบฏ
Jacobite คือกลุ่มผู้สนับสนุนรัชทยาทสายสจ๊วต ต่อต้านกษัตริย์
George จาก Hanover
สถาปัตยกรรมในย่านนี้จะเป็นแบบ
Georgian คือยุคกษัตริย์จอร์จสี่พระองค์ (นักประวัติศาสตร์บางท่านได้รวมวิลเลียมที่สี่ไปด้วยเพราะนิสัยที่น่าเบื่อของกษัตริย์เหล่านั้น เลยเอามารวมๆไว้ในยุคเดียวกันเสียเลย)
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/43b9c6c0.jpg)
สถาปนิกที่ออกแบบย่านนี้คือ
James Craig เดิมทีตั้งใจออกแบบให้นิวทาวน์มีรูปร่างแบบธง
Union Jack แต่ภายหลังก็ลดความท่าเยอะลง ส่วนชื่อบ้านนามเมืองในเขตนี้แสดงถึงความเป็นเจ้าอธิราชเหนือสก็อตของกษัตริย์สาย
Hanoverian ดังเช่น
Princes Street, Hanover Queen Street, Federick Street และ
George Street เป็นต้น
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/a1ebf8b1.jpg)
แน่นอนเมื่อมีการตั้งย่านเมืองใหม่ขึ้น บุคคลกลุ่มแรกที่ย้ายจากเมืองเก่าคือ ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง เพราะในสมัยก่อนตึกแถวตึกหนึ่งจะอยู่กันหลายครอบครัว ถ้าไม่ใช่ชนชั้นสูง แบ่งพื้นที่เป็นชั้นๆ คนจนจะอยู่ชั้นล่างสุดและบนสุดเพราะอุณหภูมิต่ำที่สุดในตัวตึก
ส่วนในเมืองเก่านั้นความเป็นอยู่เลวร้ายกว่านั้นมาก คนจนจะอยู่ในตรอกมืดๆลาดลงไปสู่ที่ต่ำ ที่เรียกว่า
Close อยู่ในห้องแคบๆ ราว 15-30 คนต่อห้อง ไม่มีส้วม (ห้องน้ำส่วนตัวเริ่มเกิดขึ้นในสมัย Victorian นอกนั้นอย่างดีที่สุกคือนั่งกระโถน) มีแต่ถังเล็กบรรจุสิ่งปฏิกูลโดยคนที่เด็กสุดในห้องมีหน้าที่นำไปเท หน้าบ้าน ซึ่งก่อนเท เขาก็จะตะโกนเตือนคนที่เดินผ่านไปมาว่า
Gardyloo!!!! (Mind the water) เพราะฉะนั้น
Edinburgh จึงมีฉายาในอดีตว่า
Auld Reekie (Old Reek) แปลว่ากลิ่นคาวปลาเก่าๆ
นอกนั้นแสงสว่างก็เป็นเรื่องลำบากของคนสมันก่อน ก่อนการกำเนิดของหลอดไฟ คนสมัยก่อนใช้ขี้ผึ้งและไขมันสัตว์เป็นเทียนให้แสงสว่าง แต่ขี้ผึ้งเป้นของแพงเพราะให้แสงสว่างมาก คนทั่วไปจึงใช้ ไขมันสัตว์ ซึ่งให้แสงมัว แสงสว่างในอดีตเป็นตัวแปรที่กำหนดวิถีชีวิต เพราะเขาจะนอนกันเมื่อไม่มีแสงสว่างแล้ว เพราะสมัยก่อนไม่มีกิจกรรมให้ทำมากเหมือนปัจจุบัน
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/6a1d5d15.jpg)
อันนี้ไม่เกี่ยวกับแสงสว่าง แต่ผ่านหน้าบ้านอเล็กซานเดอร์ เกรย์แฮม เบล เฉยๆเลยถ่ายรูปมา
โอ้ย เดินที่นี่คือพีคมาก สถานที่สำคัญเต็มไปหมด ฟินนนนนนน
เราจับรถไฟกลับไปเวลาประมาณห้าทุ่มนิดๆ ไปถึงก็เที่ยงคืนกว่า เดินสั่นๆกลับไปโรงแรมและไข้ขึ้นจ้า ระหว่างทางกลับมาดูไบนี่คิดในใจตลอดเวลาว่าจะรอดไหมหว่า แต่ก็ถึงโดยสวัสดิภาพไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน :)
สำหรับการเยี่ยมเยือนนครเอดินบะระห์ก็จบลงเท่านี้ ถ้ามีเงินมีเวลาก็อยากมาเที่ยวใหม่นะ รู้สึกว่ายังไม่จุใจ ต้องใช้ความละเลียดเดินเล่นซึมซับบรรยากาศมากกว่านี้ เอาจริงๆเราอยากมาเรียนป.โทที่นี่นะ เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันของเราเลย แต่ถ้าจะเรียนก็คงไม่เรียนต่อด้านกฎหมายแล้วแหละมั๊ง อยากเรียนเพราะอยากรู้ เพราะอยากยกระดับความคิดและจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาไปประกอบอาชีพนั่นแหละ สนองความเนิร์ดของตัวเองล้วนๆ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณคุณคงสัจสำหรับการต้อนรับและการนำเที่ยวต่อนยอนชมเมือง ตลอดจนพาไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้าน และที่สำคัญคือเกร็ดความรู้ต่างๆมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอังกฤษและสก็อตแลนด์
![](//c.min.ms/t/h150/member/c/5/5798/pagegallery/1465403456/383e9ce1.jpg)
ไฟล์ทหน้าจะพาไปเที่ยวไหน ติดตามด้วยนะจ๊ะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in