ความในใจจากดูไบถึงกรุงเทพฯ
รู้สึกเหมือนว่าเวลาผ่านไปแปบเดียวเอง เรามาอยู่ที่ดูไบครบ 6 เดือนแล้วล่ะนะ ผ่านโปรเรียบร้อยโรงเรียนเอมิเรสต์ เรียกตัวเองว่าเป็น
แอร์โฮสเตส ได้อย่างเต็มภาคภูมิเสียที
ครึ่งปีแล้วสิที่ห่างไปไกลจากบ้านและการไกลบ้านในครั้งนี้มันไม่เหมือนการเดินทางออกจากบ้านเหมือนครั้งก่อนๆ เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กแลกเปลี่ยนแบกกระเป๋าหอบชะลอม ครั้งนั้นเรายังเด็กนักและตื่นเต้นกับโลกใบกว้าง พบเจอสังคมใหม่ สิ่งใหม่ๆ หรือการสะพายเป้จับมือพัดไปอเมริกาด้วยกัน เรียนรู้กันและกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็รู้เสมอว่ามีพัดอยู่เคียงข้างเราตลอด
แต่การเลือกที่จะเก็บข้าวของจัดกระเป๋าก้าวออกจากบ้านในครั้งนี้คงเหมือนกับโฟรโดที่เอาแหวนคล้องคอมุ่งหน้าสู่มอร์ดอร์เพื่อทำภารกิจทำลายแหวนให้สำเร็จ เราเป็นผู้ใหญ่เต็มด้วยแล้ว มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เด็กๆที่เที่ยวเล่นไปวันๆอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เลยมีเรื่องให้คิดและกังวลมากขึ้น ยิ่งโตแล้วก็ยิ่งคิดมากนั่นแหละนะ
กล่าวถึงชีวิตในดูไบและอาชีพสวยหรูที่เรียกว่าแอร์โฮสเตส ความใฝ่ฝัน ความคาดหวัง และความจริงที่ประจักษ์รู้แจ้งเห็นจริงช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน จะเรียกว่าชีวิตดี๊ดีก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก มันไม่ได้งดงามและมีความสุขม๊ากมากดั่งที่เห็นเราโพสต์ทุกสิ่งในโซเชียลมีเดียหรอกนะ ยอมรับอยู่หน่อยๆว่าทุกครั้งที่อัพรูปว่าไปเที่ยวนั่น กินนี่ คือการทำเพื่อแก้เหงา เพื่อเติมเติมความอ้างว้างในจิตใจ เพื่อให้เห็นว่าชีวิตฉันช่างดีงามและน่าอิจฉาเสียเหลือเกิน
ความจริงแล้วทุกอย่างมันก็กลางๆ ไม่ได้แย่จนถึงขั้นที่ใช้ชีวิตและทำงานในอาชีพนี้ไม่ได้ (แม้ว่าจะเจอเรื่องราวร้อยแปดพันประการที่ทำให้กำลังใจถดถอยอยู่บ่อยครั้ง) แต่ก็ไม่ได้ดีงามมีความสุขสุดๆอย่างที่บอกไป มันเหนื่อย มันเหงา มันท้อแท้ใจ มันมีความคิดว่า
นี่กูมาทำเชี่ยอะไรที่นี่วะ บ่อยครั้งระหว่างที่เก็บถาดอาหาร หรือ
นี่เรียนมาตั้งสี่ปี ดูเพื่อนคนอื่นสิ ได้ดิบได้ดีสอบผ่านนู่นนี่กันหมดแล้ว ระหว่างที่โดนผู้โดยสารบ่นใส่ จนบางครั้งก็อดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ว่าเวลาที่คนอื่นเขาโพสต์รูปแฮปปี้มีความสุขกับการทำงานเขาจะเคยมีความคิดแปลกประหลาดแบบเราบ้างไหมนะ
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด สำหรับเราแล้วสิ่งที่ยากที่สุดในการใช้ชีวิตของเราในดูไบคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัว การทำงานของเราเมื่อแลนดิ้งที่ดูไบแล้วจบไฟล์ทคือจบกัน แม้ว่าเราทำไฟล์ทกับทีมนี้แล้วทุกสิ่งช่างงดงามและประเสริฐ ทุกคนออกปากว่าอยากกลับมาบินด้วยกันอีก แต่เมื่อทุกคนรับกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างกันสิ้นสุดลง
มันช่างเปราะบางและฉาบฉวยเสียเหลือเกิน
เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเพื่อนร่วมงานในไฟล์ทที่แล้วชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร และเราเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องคอยสานสัมพันธ์ระยะสั้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอมันวนลูปไปแบบนี้บางทีก็ทำให้เหงาๆและเคว้งคว้างได้เหมือนกัน พอนานเข้ากลายเป็นว่าเราเคยชินกับความสัมพันธ์ระยะสั้นแบบนี้ เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถคงความสัมพันธ์กับคนรอบกายคนอื่นๆได้เหมือนเดิม อาจจะด้วยระยะทางที่ห่างกัน เวลาที่แตกต่างกัน เรารู้สึกได้ถึงช่องว่างในความสัมพันธ์ ทั้งครอบครัว เพื่อน และคนใกล้ชิดที่คุ้นเคย จนบางทีก็คิดโทษตัวเองไปในบางทีว่าการที่เรามาอยู่ที่นี่ ทำให้อะไรๆมันเปลี่ยนไป ทำให้ใจคนมันเปลี่ยนแปลง เรายื้อ เราเหนื่อย และเราพบว่าเราเคว้งคว้างเดียวดายกลางทะเลแห่งความเหงาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เราอยู่นั่นเอง
ก็ยังโชคดีที่คิดได้และตัวเราเองพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง เราติดต่อกับที่บ้านมากขึ้น เราไลน์หาแม่เกือบทุกวัน โทรหาพ่อบ้างในบางครั้งรวมถึงส่งรูปนั่นนี่ไปหาอยู่บ่อยๆ ตอบไลน์พ่อเวลาที่พ่อส่งข้อความหรือบทความต่างๆมาให้(จะได้ไม่เสียนำ้ใจไงว่าส่งมาให้ลูกแล้วลูกไม่อ่าน) สไกป์คุยกับคนที่เราอยากคุยด้วย ส่งความปรารถนาดีและความคิดคำนึงถึงไปให้ และพยายามปล่อยวางกับความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยที่จะวิ่งตาม
นอกจากนี้ในระยะเดือนสองเดือนที่ผ่านมามีข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับวงการการบินเยอะแยะจนอดที่จะรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ทุกๆวันทำงาน เมื่อรถบัสจอดสนิทหน้าเครื่องบินที่จะเป็นสถานที่ทำงานของเราไปตลอดหลายชั่วโมงนับจากนี้ เราจะนึกในใจเสมอว่า
สวัสดีที่ทำงาน ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะ ก่อนที่จะสวมหมวกแดง ยิ้มให้ตัวเองนิดนึง และก้าวลงจากรถ
ทุกครั้งก่อนที่เครื่องจะเทคออฟ จะมีแวบนึงที่เราจะคิดว่าถ้าไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทสุดท้ายของเราล่ะ เพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน เรานั่ง ยืน เดิน ทำงาน หายใจ อยู่บนกล่องเหล็กที่ติดเครื่องยนต์ ลอยอยู่กลางอากาศที่ระดับความสูงประมาณสี่หมื่นฟุตเหนือระดับน้ำทะเล อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเรามั๊ย เพราะฉะนั้นก่อนจะบินเราจะชอบส่งไลน์นู่นนี่ไปบอกรักคนนู้นคนนี้ก่อนเสมอ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาเราจะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรในใจ
Make the most of everyday นั่นแหละนะ
ก่อนจะออกจากเครื่องก็เช่นกัน เราจะนึกขอบคุณอยู่ในใจเสมอ ขอบคุณทุกคนที่พาเรามาไกลได้อย่างปลอดภัยและขอให้เครื่องบินลำนี้บินกลับไปดูไบหรือออกเดินทางต่อไปโดยสวัสดิภาพ และเมื่อเราสามารถต่อไวไฟเรียบร้อยแล้วหรือขึ้นรถบัสเพื่อกลับบ้าน เราจะไลน์หาที่บ้านก่อนเป็นอันดับแรกว่าเราถึงที่หมายแล้วปลอดภัยดี จากนั้นก็ค่อยๆไล่ส่งบอกคนที่เราคาดว่าน่าจะรอข้อความของเราอยู่ (คิดมโนไปเองทั้งนั้นแหละว่าเขารอ)
อาจจะดูว่าเราเป็นคนคิดมาก แต่เมื่อก่อนที่เราจะมาทำงานนี้เราไม่เป็นแบบนี้เลยนะ เราปล่อยชีวิตไหลไปกับสายลมเรื่อยเปื่อยตามใจ ไปไหนมาไหนผลุบๆโผล่เหมือนนินจาไม่บอกใคร นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าเราเปลี่ยนไปมาก เริ่มเห็นคุณค่าของชีวิต ความเป็นห่วงเป็นใยของคนรอบข้าง และคุณค่าของเวลาที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
แต่นั่นแหละ…ใช่ว่าทุกวันของเราช่างอึมครึมไร้ซึ่งแสงแห่งความสุข ในระหว่างการทำงานก็พบกับเหตุการณ์หลากหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกดี ทำให้รู้สึกว่าโชคดีจังเลยนะที่ได้ทำงานนี้ เวลาที่ได้เล่นกับเด็กๆ ดูแลผู้โดยสารสูงอายุ หรือเมื่อผู้โดยสารกล่าวขอบคุณจากใจจริง เวลาที่เรายืนนิ่งๆอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งซักมุมบนโลกแล้วรู้สึกว่าตัวของเราเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับโลกกว้างใหญ่ หรือเวลาที่ได้กินของอร่อยๆจากทั่วทุกมุมโลก และสิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้สู้ต้อไป (รวมไปถึงเงินเดือนด้วย เห็นว่าเงินเข้าแล้วพลังมา)
อีกประการหนึ่งที่เรารู้สึกมากๆเลยก็คือ
การไปเที่ยว – การออกไปมองโลกกับคนที่รักเรา ไปเที่ยวครั้งล่ะนานๆ ใช้เวลาเป็นวันๆในการเดินเล่นในเมือง หลุดเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ครึ่งค่อนวัน ค่อยละเมียดหมุนเลนส์กล้องเพื่อจับภาพดอกไม้และอาคารสถานที่ หรือการนั่งบนม้านั่งในสวนมองผู้คนเดินผ่านไปมาแบบไม่เร่งรีบเป็นสิ่งที่เราถวิลหา
ทุกวันนี้เราเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ กล่าวคือ การเอาตัวเองไปแปะไว้หน้าสถานที่สำคัญ ชักภาพซักสามสี่รูปเป็นที่ระลึก และจากไปอย่างเร่งรีบเพราะต้องกลับไปพัก นอน และเตรียมตัวเพื่อบินต่อไป เลยเอาใหม่แล้วล่ะ เก็บเงินเพื่อลาไปเที่ยวยาวๆทีเดียวเลยดีกว่า ไปกับคนที่เราอยากไปด้วยมันสนุกกว่ากันเยอะเลย นี่ก็แพลนว่าช่วงปลายปีจะไปตะลุยญี่ปุ่นคนเดียว จะล่มหรือจะรอดก็รอดูกัน
ในส่วนของความตื่นเต้นของการขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวที่นั่นที่นี่เริ่มกลายเป็นความเคยชิน จากที่ชอบจัดกระเป๋า เขียนเช็คลิสต์ต่างๆร้อยแปดก่อนไปเที่ยว (ซึ่งในบางครั้งเรารู้สึกสนุกกับการเตรียมตัวมากกว่าการไปเที่ยวจริงๆเสียอีก) กลายมาเป็นการโยนทุกอย่างลงกระเป๋า เป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ ชักจะเริ่มกลัวๆแล้วล่ะว่าความเคยชินต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงเราไปทีละเล็กละน้อยโดยไม่รู้ตัว จนสุดท้ายเราอาจจะหลงลืมตัวเองก็เป็นได้
ความเบื่อการไปบินเปลี่ยนเราไปนิดหน่อย จากที่เราเป็นคนที่ชีพจรลงเท้า พร้อมจะออกเที่ยวได้ทุกเมื่อ จะใกล้จะไกลฉันไปหมดหากเงินมี กลายมาเป็นคนรักบ้าน เป็นแม่บ้านเต็มด้วย มีความสุขกับการทำอะไรก๊อกแก๊กเล็กๆน้อยๆที่บ้านอย่างสงบและสบายใจ ทุกวันนี้เลยพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หมดเวลาไปกับการทำงานบ้านและเข้าครัวทำกับข้าวเสียเป็นส่วนใหญ่ อ่านหนังสือบ้าง เขียนบล็อกนี้บอกเล่าความในใจคลายเหงากันไป เดี๋ยวคงจะไม่สมัครสมาชิกฟิตเนสซักที่และซื้อต้นไม้มาปลูกบ้าง
ตอนนี้ที่กังวลอย่างเดียวคือถ้ากลับจากกรุงเทพจะงอแงไม่อยากกลับมาทำงานที่ดูไบอีก ยังไงก็คอยเป็นกำลังใจให้ด้วยละกันนะ จะฮึบสู้ต่อไป
การเดินทางของเราเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นและหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เพราะฉะนั้นในวันนี้เราขอให้ไฟที่เป็นแรงบันดาลใจของเราไม่หมอดไหม้และดับลง
ด้วยรัก...จากดูไบ
(ข้อความดังกล่าวถูกเขียนขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม 2559 – หลังจาก Graduation Ceremony)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in