เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
สวนทิวลิปและโรงสีข้าว
  • 10 April 2016




    สวัสดีอัมสเตอร์ดัม :)


    เราเพิ่งเจอกันเมื่อเดือนก่อนนี่เองนะ เดือนนี้ได้กลับมาเจอกันอีกแล้วนะ ตอนแรกเรากะว่าจะเข้าไปเดินเล่นในเมืองเพราะรู้สึกว่าการเจอกันครั้งที่แล้วของเรามันยังไม่จุใจ ยังมีอีกหลายที่ที่อยากไปเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แต่พอเราคุยๆกับคนบนไฟล์ท ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกทิวลิปกำลังบาน น่าจะไปนั่งเล่นชมดอกไม้และความงามของธรรมชาติมากกว่า เราเลยเออออห่อหมกกับเขาไปด้วย พับโครงการเที่ยวในเมืองไว้ก่อน และออกไปกินลมชมสวนดีกว่า









    เราไปถึงที่พักประมาณบ่ายสองนิดๆ เหลือเวลาเยอะแยะสำหรับการเดินเล่น เราเลยติดต่อกับเคาเตอร์โรงแรมเรื่องค่าตั๋วและวิธีการเดินทางต่างๆ กลายเป็นว่าสามารถซื้อตั๋วเข้าชมสวนจากทางโรงแรมได้เลย ส่วนการเดินทางก็ง่ายมาก นั่งบัสไปเท่านั้นแหละ






    ระหว่างทางก็ฟ้าใส แดดจ้า คิดถึงท้องฟ้าแบบนี้มากๆเลยเพราะที่ดูไบมีแต่ฟ้าโล่งๆกับแดดเปรี้ยง ไม่มีเมฆแม้แต่น้อย






    นั่งรถไปประมาณ 30 นาทีจากสนามบิน เราก็มาถึง Keukenhof แล้วจ้ะ อาณาบริเวณของสวนก็กว้างมาก คนเยอะแยะเต็มไปหมดเลย
















    เราแยกมาเดินกับ น้องดา หรือ Sara สาวน้อยซุปปี้จากเกาหลี ไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทที่สองของเธอ ก็เดินเล่นเม้ามอยกันตามประสาเอเชียนนั่นแหละนะเพราะแอบรำคาญคนอื่นที่เรียกให้เราไปถ่ายรูปให้ตลอดเวลา ตั้งใจว่าจะมาเดินซึมซับบรรยากาศช้าๆ ค่อยหมุนเลนส์ถ่ายรูป สรุปคือแยกกันมาสองคน จบ ไม่เรื่องมากดี



















    นานๆมาอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกว่าใช้ชีวิตช้าๆท่ามกลางอากาศดีๆ อยากเก็บอากาศแบบนี้ใส่ขวดกลับไปดูไบบ้าง























    สวนกว้างมากเหลือเกิน เราเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ที่นี่มีทั้งโซนกลางแจ้งที่ดอกไม้เต็มไปหมดและส่วนที่เป็นเรือนกระจก รู้สึกว่าถ้าคุณแม่มาจะต้องชอบที่นี่มากแน่ๆเลยล่ะ :)










































    หลังจากออกมาจากโซนเรือนกระจกแล้วเราก็เดินเรื่อยเปื่อยมาเรื่อยๆจนกระทั้งเจอกลุ่มคนที่มาสวนเพื่อชื่นชมความงามของซากุระ



























    เราเดินมาจนสุดอีกมุมนึงของสวน จุดนี้เป็นลานกว้างๆ มีร้านขนมและร้านขายของ รวมถึง…


    เพิ่งรู้สึกว่ามาถึงฮอลแลนด์ก็ตอนนี้แหละ ไฟนอลลี่












    ภาพวิวจากบนโรงสีข้าว เป็นทุ่งทิวลิปที่ยังไม่บาน

















    เรานั่งเล่นนั่งคุยกับน้องดาในสวน เรื่องการทำงาน เทรนนิ่ง ชีวิตในดูไบ เหมือนเป็นคนเหงาๆไกลบ้านสองคนมานั่งปรับทุกข์ให้กำลังใจกัน ชีวิตที่นี่มันค่อนข้างยากนะ ความเหงาไม่ได้มาจากการที่เราต้องห่างจากคนที่เรารักอย่างเดียว แต่มันมีความรู้สึกแห้งแล้งอยู่ด้วย

    เราชอบตึกสูง ชอบอะไรที่ man-made รู้สึกว่าเท่จัง แต่การอยู่กับตึกสูงและแสงสีตลอดเวลามันก็ไม่ดีกับสุขภาพของจิตใจเหมือนกัน เราคิดถึงต้นไม้ คิดถึงความเขียวขจี คิดถึงอากาศดีๆที่สามารถหายใจได้เต็มปอดไม่ใช่อากาศสังเคราะห์จากเครื่องปรับอากาศ

    จะว่าไปแล้ว…วิถีชีวิตในดูไบไม่ได้ตอบโจทย์เราอย่างที่ควร ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่เราอินนอกจากการเดินเล่นในห้างใหญ่ๆไปวันๆ ธรรมชาติใกล้เคียงที่สุดที่มีคือทะเล ซึ่ง… ทุกอย่างมันดูปลอมไปหมด (ธรรมชาติอีกอย่างที่เป็นของจริงคือทะเลทราย)

    เรารู้สึกว่าเราอยู่ในกล่องสีเหลี่ยมสีขาวตลอดเวลา ย้ายจากกล่องที่เรียกว่าห้องนอนไปอยู่บนกล่องที่เรียกว่าเครื่องบิน และย้ายไปอยู่ในกล่องอีกกล่องที่เรียกว่าห้องนอนในโรงแรม เรามองโลกผ่านช่องเล็กๆไม่ได้ออกไปสัมผัสมันจริงๆเท่าไร ก็คงจะต้องทำใจยอมรับและไม่บ่นมาก พยายามหาความสุขเล็กๆรอบตัวต่อไป



























    บางทีเวลาเหงาๆตอนอยู่ที่ดูไบ สิ่งที่เราอยากทำมาที่สุดคือนั่งกอดน้องหมาตัวใหญ่ๆนะ อย่างตัวนี้น่ารักมากเลย เจ้าของก็น่ารัก แอร๊









    ทุ่มนิดๆฟ้ายังสว่างอยู่เลยจ้า เราเป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่เดินออกจากสวน ไม่อยากกลับไปเลยยยยยยย












    พอถึงสนามบินก็ซื้ออะไรกินเล็กๆน้อยๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับห้อง ครั้งนี้เราได้ห้องที่หันไปทางสนามบินล่ะ ก็นั่งมองเครื่องบินขึ้นลงไปเรื่อยๆ ฟังเพลง คำบางคำ – Sqweez Animal ไปด้วย โศกหนักเลยทีนี้ มันเหงาแบบประหลาดๆยังไงก็ไม่รู้สิ











    ก็เท่านี้แหละกับอัมสเตอร์ดัมรอบที่สอง เน้นภาพไม่เน้นเรื่องราวเท่าไรเนอะ :) ไฟล์ทต่อไปก็กัวลาลัมเปอร์อีกแล้วล่ะ ทำไมชอบส่งกลับไปแต่ที่เดิมก็ไม่รู้แหะ แต่ก็ดีมีอาหารเอเชียนที่เราคิดถึง









    ด้วยรัก…จากดูไบ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in