BKK-HKG-BKK
1 April 2016 | 22:30
ห้าทุ่มนิดๆของคืนวันที่ 31 มีนา ตอนนั้นเราเพิ่งจัดกระเป๋าที่จะเตรียมไปสิงคโปร์ – บริสเบนในตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น เสร็จและกำลังจะเข้านอนเตรียมห่มผ้าดับไฟอยู่พอดี หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็สว่างวาบพร้อมกับเสียงเรียกเข้าและโชว์เบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย
Roster Team
เอาแล้วไง…
ปลายสายทักทายด้วยเสียงแจ่มใสก่อนจะถามว่าเราสนใจอยากจะทำไฟล์ทกรุงเทพฯ – ฮ่องกงในคืนนี้ไหมจ๊ะหนู
คืนนี้?
เราถามกลับไปว่าไฟล์ทกี่โมงก็ได้ความกลับมาว่าไฟล์ทตอนตีสาม เราจะต้องไปถึงห้องบรีฟไม่เกินตีหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลยนะ เราคิดในใจ ปลายสายคงสังเกตได้ว่าเราเงียบไปเลยหงายไพ่ไม้ตายออกมาว่า
“ยูจะได้กลับไปแบงคอกสองวันเลยนะ ไม่สนใจจริงๆหรอ”
ได้ผล! การ์ดกับดักทำงาน เราตอบตกลงไปทันที ไปมันทั้งๆที่ไม่ได้นอนนี่แหละ ได้กลับไทยสองวัน คุ้มโว้ย สู้!
เราไลน์ไปบอกคุณแม่ โยนของที่เตรียมไปสิงคโปร์และบริเบนออก โยนเสื้อผ้าใหม่ใส่ลงไป เคาะห้องนอนอาลี่เพื่อขอยืมเสื้อเชิร์ตยูนิฟอร์มเพราะเราส่งผ้าทุกอย่างซักและจะต้องไปรับวันพรุ่งนี้ รีบแต่งตัวแต่งหน้า ยัดกล้วยหอมสองลูกและนมหนึ่งแก้วเข้าปากแล้วรีบเร่งนั่งรถบัสออกจากบ้าน
ไปถึงก็เข้าห้องบรีฟตามปกติ มีพี่คนไทยทำไฟล์ทนี้สองคนก็รู้สึกอุ่นใจ ระหว่างไฟล์ทก็พยายามทำตัวให้ตื่นตลอดเวลา โชคดีว่าไฟล์ทไม่ยุ่งเพราะเป็นเวลากลางคืน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็นอนกันหมด เราก็ยืนๆเดินๆวนไปวนมาในแกลลี่ ชงกาแฟกินสองแก้ว กินขนมไปเรื่อยๆแก้ง่วง
เรามาถึงกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ในสภาพวิญญาณใกล้หลุดออกจากร่าง เป็นช่วงเวลาที่ต้องคิดว่าจะกินก่อนหรือว่าจะนอนเลย แต่สุดท้ายเราก็เลือกออกไปหาอะไรกิน ทิงทิง เพื่อนร่วมงานชาวไต้หวันชวนเราออกไปเดินเล่นหาอะไรกินหน้าโรงแรม
ถนนสีลมตอนบ่ายสามมีของกินให้เลือกไม่มากนัก เรากับทิงทิงเลยแวะซื้อมันทุกรถเข็น ตั้งแต่หมูปิ้งนมสด ไก่ทอดหาดใหญ่พร้อมข้าวเหนียว ลูกชิ้นทอดอมน้ำมัน ปลาหมึกย่าง ขนมโตเกียว สังขยาใบเตย รวมถึงซื้อชมพู่และฝรั่งมาคนละถุง เดินไปกินไปคุยกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็เดินกลับโรงแรม
เรากลับมานอนได้ชั่วโมงนิดๆก็ออกไปเจอคุณแม่และไปทานข้าวกันที่สีลมคอมเพล็ก
วันนี้เป็นวันแรกคุณพ่อเริ่มทำงานที่ใหม่ คุณแม่เลยกะว่าจะเซอร์ไพร์สไม่ได้บอกคุณพ่อว่าเรากลับมาไทย แวบแรกที่คุณพ่อเห็นเราก็ตกใจอึ้งๆนิดหน่อย เราเข้าไปสวัสดีตามปกตินั่นแหละแต่ก็สังเกตว่าคุณพ่อเปลี่ยนไปเยอะเลยเช่นกัน สีหน้ามีความกังวลและความเหนื่อยซ่อนอยู่ เราทานข้าวกันตามปกติ น้องพิณตามมาเจอเราทีหลังและขอแยกไปทานข้าวกับเพื่อน เสร็จเรียบร้อยคุณพ่อก็ขับรถกลับไปส่งเราที่โรงแรมก่อนที่จะกลับบ้านสามพราน
เราคุยกับคุณแม่เยอะแยะและคุยกันยาวเกี่ยวกับเรื่องงานเรา เรื่องครอบครัว เรื่องงานใหม่ของคุณพ่อ และเรื่องที่เหมือนว่าพวกเราทิ้งให้คุณพ่อเหงาๆอยู่คนเดียวบ้านมากเกินไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เหตุเพราะน้องพิณต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณแม่เลยย้ายเข้ามาอยู่คอนโดเพื่อดูแลน้องและคุณพ่ออยู่ที่บ้านสามพรานคนเดียว
เราพูดเกี่ยวกับความกังวลลึกๆในใจของเราในเรื่องที่เรามาอยู่ไกลจากบ้าน ไม่ได้คอยดูแลคุณพ่อคุณแม่อย่างที่เคยตั้งใจ เรากลัวเรื่องเวลาที่มันพ้นผ่านไปเรื่อยๆและเหลือน้อยลงทุกวินาทีที่จะได้อยู่ด้วยกัน
ร้องไห้เยอะแยะกันก็ตอนนี้แหละ
เราผลอยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ห้าทุ่มนิดๆ หิวอีกแล้ว… เราออกไปหาของกินแถวๆเยาวราช ทำตัวเป็นเนวิเกเตอร์ที่ดีในการบอกทาง เดี๋ยวนี้ฟีโน่ สกูปปี้ไอ หรือฮอนด้าเวฟไม่ได้นั่งแล้วนะจ๊ะ กลายเป็นสก๊อยยกระดับมาซ้อนไทรอัม สตรีททวินส์แทน พอถึงเยาวราชก็กินไม่หยุดยั้ง แฮปปี้มีความสุขมาก
สำหรับไฟล์ทไปกลับฮ่องกงก็ประหนึ่งว่าทำงานอยู่สายการบินในประเทศ ครึ่งลำเป็นทัวร์คนไทย อีกครึ่งลำเป็นทัวร์ฮ่องกง เราได้พูดภาษาไทยตลอดเวลาตอนเสิร์ฟ ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษ มีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับคนไทย เช่น จะขอสลับที่นั่ง หรืออาม่าคุณย่าคุณยายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ลูกเรือคนอื่นก็จะวิ่งมาหาเรา รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ก็วันนี้นี่แหละ
เรากลับถึงกรุงเทพเที่ยงคืนหน่อยๆ ออกไปกินข้าวที่ร้านโอชารสกับพวกลูกเรือและกัปตัน ก่อนที่จะกลับไปนอนยาวๆ คุณแม่แวะเอาข้าวเหนียวมะม่วงมาฝาก เรานอนต่อไปจนถึงสองทุ่ม ตื่นมากินข้าวแต่งตัว เตรียมกับดูไบ
การกลับกรุงเทพรอบนี้ก็ดี เหมือนได้พักเบรกจากความเหงาที่เกิดจากความไกลบ้าน ได้มากินอาหารไทย พูดภาษาไทย เจอหน้าครอบครัวและคนที่อยากเจอเรา ผิดจากการกลับไทยรอบที่แล้วตอนเดือนกุมภาที่เต็มไปด้วยความดราม่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โตขึ้นนิดนึงแล้วมั๊ง ใจนิ่งขึ้นเยอะเลย
Airport Standby 1st time
4 April 2016
ไฟล์ทต่อมาเราได้ไปไคโรอีกแล้วเนื่องจากโดน Airport Standby เพราะพอเราไม่ได้ไปบินสิงคโปร์ – บริสเบน ก็เลยเหลือวันว่างอยู่หนึ่งวัน
สำหรับการแสตนด์บายนั้น อย่างที่เคยเล่าให้อ่านกันว่ามี 2 แบบ คือ Home base และ Airport ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนดีหรือแย่กว่ากันแหะ สำหรับการแสตนด์บายที่สนามบินก็คือการเตรียมของทุกสิ่งเสื้อผ้าทุกฤดูลงในกระเป๋าเดินทาง หอบทุกอย่างมาที่ HQ
พอถึงปุ๊บก็ต้องไปรายงานตัวที่ Airport Standby Lounge เช็คชื่อ เช็คเอกสาร ฝากกระเป๋าเดินทาง และก็เข้าไปนั่งๆนอนๆรอคอยว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตให้บินไปไหน ด้านในก็จะมีห้องน้ำ มุมชากาแฟ มีคอมให้ใช้ มีเก้าอี้โซฟาให้นั่งไรงี้
เวลาแสตนด์บายของเราเริ่มตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงเก้าโมง ก็เดินใจตุ้มๆต่อมๆเข้าไปนั่งหน้าคอม กะว่าจะเช็คเมลนู่นนี่ ทำเอกสารต่างๆ คอมยังไม่ทันจะล็อกอินเลยจ้า หกโมงสามนาทีโทรศัพท์มือถือดัง เบอร์ที่คุ้นเคยโชว์หราที่หน้าจอ….
เราโดนเรียกให้ไปทำไฟล์ทแล้วจ้า ก็เดินหงอยๆออกไปด้านหน้าโดยมีสายตาเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนร่วมชะตากรรมส่งมาให้เป็นกำลังใจ (ประมาณว่าแกเพิ่งจะนั่ง แกโดนแล้วหรอ)
สรุปแล้วคือได้ไปไคโร่ค่ะ อียิปต์ไฟล์ทเช้าอีกแล้ว เข้าห้องไปกลางวงที่เขาบรีฟกัน แต่ทุกอย่างก็โอเคดีตลอดรอดฝั่ง ไฟล์ทไม่ยากมาก กำลังสบายๆ ขากลับเจอผู้โดยสารเด็กที่อยากเป็นกัปตัน น้องเก่งมาก รู้เรื่องเครื่องบินเยอะมาก เลยคุยกันสนุก เอากล้องโพลารอยด์ออกมาถ่ายรูปกันใหญ่ลย พอกลับมานอนพักยาวๆ ถือว่าเป็นการแสตนด์บายที่ไม่แย่มากนะ :D
KHI 1st time
7 April 2016
ไปการาจีครั้งแรก ไม่ดีไม่แย่ ไม่ได้น่ากลัวเต็มไปด้วยแขกอย่างที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงในใจ แต่สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่โหดพอควร เพราะจบจากการาจีแล้วก็จะต้องไปอัมสเตอร์ดัมต่อในวันรุ่งขึ้น กลับจากอัมสเตอร์ดัมก็ต่อด้วยกัวลาลัมเปอร์เลย ทำงาน 7 วันติดต่อกันไม่ได้พัก ก็หวังว่าร่างจะไม่พังไม่ป่วยไปเสียก่อน
ด้วยรัก...จากดูไบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in