มาจะกล่าวบทไปถึงดินแดนชมพูทวีป ลุ่มแม่น้ำสินธุ จุดกำเนิดของศาสนาและอารยธรรม เป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
นี่แหละคือความพีคคคคคคคคคคคเพราะตั้งแต่เริ่มบินแรกๆก็ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าอินเดีย(โดยเฉพาะเดลีและบอมเบย์)แม่งโหดสัส คอลตึ๊งตึ่งกระหน่ำเหลือเกิน ประหนึ่งเป็น
Symphony no. 5 ของบีโธเฟ่น คือซาวด์อลังการแท๊นแท๊นแทนแท่นนนนนนมากๆ อ่านถึงตรงนี้แล้วโปรดเข้ายูทูปแล้วไปเปิดฟังประกอบการอ่านด้วย จะได้ฟิลลิ่งมากว่าอยู่ในเครื่องเป็นยังไง
ส่วนผองเพื่อนที่เคยไปบินก็บอกว่าแกเอ๊ย เป็นการบินเทิร์นที่เหนื่อยมาก หกชั่วโมงไปกลับนี่แทบสิ้นล้มประดาตาย บางทีก็สาหัสกว่าบินเทิร์นรอบๆตะวันออกกลางเสียอีก เพราะความยากอยู่ที่การสื่อสารระหว่างเรากับผู้โดยสาร ครึ่งลำไม่พูดอังกฤษ หรือแม้ว่าจะพูดอังกฤษก็เป็นสำเนียงอินตะระเดียเสียสิ้น ฟังไม่ออก ต้องห๊ะ อะไรนะ เอ็กส์คิ้วมีตลอดเวลา และหากเจอผู้โดยสารที่เป็นบริติชอินเดียน เขาจะมาเป็นสำเนียงอังกฤษแบบถอดแบบต้นตำรับมาเป๊ะ ซึ่งแน่นอนว่ามาพร้อมกับความผู้ดี๊ผู้ดีและความเยอะแบบบริเตนใหญ่ รักการคอมเพลนนั่นนู่นนี่โน่นเป็นชีวิตจิตใจ กดคอลปุ๊บแอร์ต้องมาปั๊บ
ประการต่อมาคือกลิ่นเครื่องเทศจากตัวผู้โดยสาร รวมถึงการรักษาความสะอาดในเคบินและห้องน้ำ เรื่องกลิ่นเราขอข้ามไปไม่ก้าวล่วง แต่เรื่องห้องน้ำนี่บางครั้งผู้โดยสารไม่ทราบว่าห้องน้ำบนเครื่องใช้อะไรยังบ้าง บางทีเปิดไปแล้วก็… ปิดล็อกเลย ไม่ต้องใช้กันแล้ว ไม่ทำความสะอาดแล้วด้วย หนักหนาสาหัสเหลือเกิน
ความพีคอีกอย่างคือการส่ายหัวของคนอินเดีย อย่างเราๆถ้าถามว่าใช่ไม่ใช่ เอาไม่เอา ก็จะพยักหน้ารับหรือส่ายหน้า แต่นี่คือเขาจะมีระบบการตอบกลับอัตโนมัติเป็นการส่ายหัวยักคอซ้ายขวา ซึ่งเราไม่สามารถแปลความใดๆได้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ เช่น
แอร์ : Would you like to have some tea or coffee?
ผู้โดย : *ยักคอซ้ายขวา*
แอร์ : *ห๊ะ! ตกลงจะเอาหรือไม่เอาวะ แล้วจะเอาอะไร ยักซ้ายก่อนนี่แปลว่าจะเอาชาหรือจะเอากาแฟ?*
พอไปบินเรื่อยๆ ฟังมาเรื่อยๆเราก็ชักจะเริ่มกลัวๆการไปอินเดียแล้วแหละ ทุกคนบอกว่าหนัก เหนื่อย ลากเลือด แทบสิ้นใจกันหมดทุกคนเลย แต่ก็แคล้วคลาดปลอดภัยไม่โดนไปอินเดียเลยตลอดมาจนกระทั่ง…ตัดภาพมาวันที่ตารางบินออก เห็น
MAA โชว์หราอยู่ท้ายๆตาราง เอาแล้วไง เชนไน อินเดีย ก็มาว่ะ ไฟนอลลี่ ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะขนาดไหนกับไฟล์ทอินเดีย
ก่อนไปบิน...
ต้องบอกก่อนว่าเชนไนเป็นหนึงในไฟล์ทสั้นๆใกล้ๆที่มีทั้งแบบเทิร์นและเลย์ ซึ่งเราโชคดีที่ได้เลย์เพราะไม่งั้นจะต้องทำไปกลับหกชั่วโมง ร่างแหลกแน่ๆ นี่คือไปสามชั่วโมง พักผ่อนกินอิ่มนอนหลับ เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยลุยต่ออีกสามชั่วโมง ยังดีที่เหล่า Roster God ยังคงมีจิตเมตตาปราณี ให้อินเดียมาก็ให้มาแบบสบายๆได้พักผ่อน
ไฟล์ทเราเป็นไฟล์ทเช้าอีกแล้ว ซึ่งสารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยชอบเพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าผู้โดยสารจะตื่น พอตื่นแล้วก็จะคอลกระหน่ำแทบไม่ได้มีเวลานั่งพัก
ตอนเช้าก่อนออกจากห้องเราดันลืมหยิบกระเป๋าสะพายมาด้วย เลยเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตกรถบัสจ้าาาาา โชคดีที่บ้านใกล้ HQ แค่สิบนาทีก็ถึงเลยนั่งแท็กซี่ได้ และแท็กซี่คันที่รับเราก็อินเดี๊ยอินเดีย เปิดเพลงครื้นเครงตลอดทางจนแทบจะใส่ส่าหรีแล้ววิ่งๆเต้นๆไปที่ทำงาน ก็พยายามมองโลกในแง่ดี คิดอะไรในแง่บวกเข้าไว้ว่าแต่ละไฟล์ทมันต่างกันเน้อ ผู้โดยสารและเพื่อนร่วมงานก็เปลี่ยนไปตลอด เพราะฉะนั้นที่เขาว่ามันโครตพีคเหลือเกินอาจจะมีจิตคิดสงสารเอเชียนตาดำๆอย่างเราบ้างก็ได้นะ
บางทีบางครั้งไม่ใช่เฉพาะกับไฟล์ทที่ได้ยินมาว่ายากเหลือเกิน เรามักจะขี้เกียจไปบินเสมอ กว่าจะทำจิตใจให้สงบต่อสู้กับงานได้อย่างราบรื่นแล้วก็ใช้เวลาปลอบตัวเองอยู่พอสมควรจนอดนึกไม่ได้ว่าคนที่เขามีความสุขกับงานที่ทำเขาจะมีความรู้สึกขี้เกียจกันบ้างรึเปล่านะ ตื่นเช้ามาลุกจากเตียงด้วยความร่าเริงแจ่มใสพร้อมสำหรับเริ่มต้นวันใหม่กันมั๊ย คิดไปคิดมาก็เริ่มง่วงเพราะนอนไปแค่ชั่วโมงนิดๆเอง เนื่องจากเป็นมนุษย์ที่ติดการนอนดึกไปเสียแล้ว จะให้มานอนตั้งแต่หัวค่ำก็ไม่เวิร์ค นอนไม่หลับ พยายามแล้วพยายามเล่าก็ไม่นอนเสียที เลยอาศัยจังหวะแอบงีบๆในแท็กซี่นิดนึง พอถึงที่ทำงานก็นั่งอ่าน Safe Talk และเข้าห้องบรีฟตามปกติ โชคดีที่ไฟล์ทนี้มีพี่คนไทยบินด้วย ประเสริฐสุด
บินอินเดีย ใครๆก็โดนมาบินได้
ไฟล์ทนี้เราบิน B777 ที่สบายๆ ไม่หนักหน่วง คนไม่เยอะจนล้นแบบแอร์บัสแม้ว่าคนจะเต็มลำก็ตาม ตอนบอร์ดดิ้งก็มีปัญหาการจัดการเรื่องที่วางกระเป๋านิดหน่อย บางคนเอากระเป๋ามาเยอะที่วางไม่พอ แต่พอเริ่มเซอร์วิสแล้วทุกอย่างสมูทลื่นไหล ยิ้มละไมกันทั้งไฟล์ท เพราะเรายิ้มตลอดเวลา ยิ้มสู้เขาไว้ก่อน พอเรายิ้มให้เขาก็ยิ้มตอบกลับมา อะไรๆมันก็ง่ายขึ้น ผู้โดยสารเกิดเมตตาจิตนึกเอ็นดู เสียแต่เมื่อยคอแทนเขาเวลาเขายักคอซ้ายขวาเท่านั้น เพราะพอเสิร์ฟๆไปซักพักก็ติดการยักคอตามเขามาด้วยซะงั้น เพื่อนร่วมงานก็น่ารักคอยช่วยเหลือตลอด
ปัญหาก็มีแต่เมนูอาหารเนี่ยแหละ คือไฟล์ทอินเดียเราจะมีเซอร์วิสที่แตกต่างออกไป คือเราจะเสิร์ฟน้ำมะนาวเป็นเหมือน
Complimentary Drink ก่อน ตามด้วยผ้าร้อน เมนู ใบต.ม. และของเล่นเด็ก ส่วนอาหารก็จะมี 2 เมนูคือเนื้อสัตว์และมังสวิรัติ และบางทีเมนูมังสวิรัติไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็ต้องไปหาอะไรอย่างอื่นมาเสิร์ฟแทน
พอจบเซอร์วิสก็หลับกันเกือบหมดเพราะไฟล์ทมันเช้าม๊ากมาก และส่วนใหญ่เป็นผู้โดยสารที่เดินทางมาจากที่อื่น นักท่องเที่ยวก็มีประปรายเลยคงจะเหนื่อยๆจากการเดินทาง เพราะฉะนั้นคอลจึงนุ่มนวลเหมือน
Spring Waltz ของโชแปง ติ๊งๆแบบน่ารักๆ และโชคดีที่ได้คุยกับผู้โดยสารสาวชาวบริติชอินเดียท่านหนึ่ง เป็น Travel Journalist เท่มาก เดินทางคนเดียวและเขียนไปเรื่อยๆ เราก็เล่าให้เขาฟังว่าเราก็มีบล็อกนะ เขียนเป็นภาษาไทยอะไรแบบนี้ ดีใจที่ได้เจอคนคูลๆ ดี๊ดี
นมัสเต เชนไน
เราถึงเชนไนประมาณเที่ยงนิดๆ พอถึงสนามบินก็เจอกับลูกเรือที่จะบินกลับดูไบ ทักทายไฮไฟว์ส่งกำลังใจกันนิดหน่อยแล้วเราก็ผ่านออกมาด้านนอก วูบแรกคือลมร้อน ร้อนมากจนหายใจไม่ออก ประกอบกับใส่สูทด้วยยิ่งอึดอัดเวียนหัวชวนเป็นลม รีบเดินขึ้นรถอย่างไว การจราจรติดขัดนิดหน่อยระหว่างทางไปโรงแรม เราก็ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่ง อินเดียเฟิร์สไทม์นี่เนอะ
พอถึงโรงแรมแล้วก็ชีวิตดี๊ดี ได้พักที่
ITC Grand Chola Hotel เป็นโรงแรมที่หรูที่สุดในทุกเลย์ของสายการบินเรา หลายๆคนบิดมารูทนี้เพื่ออยากรู้ว่าโรงแรมเป็นยังไงนี่แหละ เป็นโรงแรมที่ใหญ่เป็นอันดับที่สามของอินเดียและแน่นอนว่าห้าดาวนั้นมันจิ๊บๆไป เขาเคลมว่าโรงแรมนี้มัน
เจ็ดดาวนะจ๊ะนายจ๋า
นี่ก็นอนชิคๆอยู่บนเตียง สั่งรูมเซอร์วิสผ่านไอแพด พอเขาเสิร์ฟก็กดๆจิ้มๆเช็คดูกล้องหน้าประตู กดปลดล็อก พนักงานก็มาเสิร์ฟและจากไป ใช้ชีวิตเยี่ยงราชินีจริงๆแหละคุณเอ๊ยยยยย เหมือนเป็นการพักผ่อนให้รางวัลตัวเองหนึ่งวัน เสียดายที่ลืมเอาชุดว่ายน้ำมา ไม่งั้นก็ไปชิวๆชิคๆ ออกกำลังกาย ไปยิมสวยๆแล้วล่ะ
บ่ายสามนิดๆเราและเพื่อนอีกสองคนก็เช่ารถแท็กซี่ออกจากโรงแรมมาเที่ยวเล่นดูเมือง บรรยากาศเหมือนขับรถมาต่างจังหวัดเลย แตกต่างกันตรงที่อ่านทุกอย่างไม่ออกและมีเสียงแตรดังตลอดเวลา
คนขับรถก็ใจดี เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟังเยอะแยะ เช่น คนที่ทานมังสวิรัติคือคนที่ทำงานอยู่ในวัด ต้องสะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายใจ หรือเรื่องเทพและต่างๆในศาสนาฮินดู ซึ่งในหัวข้อนี้เราสามารถพูดคุยได้อย่างสนุกสนานเพราะเรียนมาบ้าง อย่างหัวข้อเรื่องรามยะณะและมหาภาระตะ การกำเนิดโลก การกวนเกษียรสมุทร จนลุงคนขับแปลกใจ ต้องขอขอบคุณแบบเรียนภาษาไทยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และขอบคุณตัวเองที่ไม่ลืมไม่ทิ้งเรื่องราวเหล่านี้ไปเสียก่อน
จุดหมายแรกของเราคือ
Kapaleeswar Temple เป็นวัดของพระศิวะ ซึ่งตอนที่เราไปเป็นช่วงที่เขาเตรียมงานเพื่อจัดเทศกาลกันด้วย เลยค่อนข้างที่จะเคร่งครัดในเรื่องของการถ่ายภาพ ต้องคอยถามว่าอันนี้ถ่ายได้มั๊ย ตรงไหนที่จะโอเค
ทางเดินเข้าไปที่วัด เสียดายที่เขาเอาผ้าตาข่ายเขียวๆปิดเพราะเตรียมจะบูรณะให้สวยสดงดงามตอนช่วงเทศกาล
ก่อนเข้าไปด้านในต้องถอดรองเท้าฝากไว้ก่อน ซึ่งก็ต้องบริจาคเงินให้แก่เจ้าหน้าที่ตามศรัทธา จริงๆเขามีไกด์นำทัวร์ด้วยแต่เพื่อนคนอื่นดูรีบๆถ่ายรูปแล้วไปต่อ เลยให้คุณลุงคนขับเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังแทน
ในวัดนี้มีความพิเศษคือมีต้นไม้อยู่ต้นนึงที่เขาเชื่อว่าถ้าสาวโสดคนใดอยากมีสามีจะต้องเอาเชือกมาพันรอบต้นไม้แล้วไหว้อะไรประมาณนี้ (คือลุงแกอธิบายเป็นอังกฤษแบบคนอินเดียพูดโดยแท้ ฟังยากมาก) เอาเป็นว่าถ้าทำตามนี้แล้วจะได้แต่งงาน ก็พบเห็นร่องรอยของการเอาเชือกไปผูกๆพันๆไว้เป็นจำนวนมาก ลุงแกก็โฆษณาซะจนอยากลองเลย ฮาาาาา
ต้นนี้แแหละ ภาพมืดไปนิดขออภัย เห็นสายๆที่เขาผูกไว้ก็นั่นแหละฮะ ด้านหลังเป็นโรงเลี้ยงวัวเยอะแยะเลย ทุกเช้าจะมีเจ้าหน้าที่มารีดนมวัวเอาไปไหว้สักการะล่ะ
เตรียมดอกไม้สำหรับงานที่กำลังจะมาถึง ทุกคนในและแวกนี้ก็เข้ามาช่วยกันนะ
นี่คือร้านขายของด้านนอกวัด รวมทุกสิ่งอยู่ในร้านเดียว ครบถ้วนกระบวนความมากๆ
นอกจากร้านขายของก็จะมีร้านขายดอกไม้ขายพวงมาลัยเต็มไปหมดเลยล่ะ แต่ถ่ายแค่ร้านขายของมา คืออะเมซิ่งอะ
ระหว่างทางเราผ่านโบสถ์นี้ สร้างขึ้นตอนที่อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษนั่นแหละ ตรงข้ามโบสถ์เป็นเหมือนโรงเรียนคอนแวนต์ ตอนที่เราผ่านเป็นช่วงเด็กๆเลิกเรียนพอดี คนเลยเยอะแยะเลย มีเด็กๆโบกมือให้ด้วยนะ น่ารักมากกกกกกกกกก เราก็โบกกลับเว้ย รู้สึกว่าเป็นนางงาม อร๊าย
สำหรับจุดหมายที่สองคือ
Parthasarthy Temple ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สักการะพระกฤษณะ ซึ่งเป็นหนึ่งในร่างอวตารของพระวิษณุนั่นเอง สำหรับวัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่มีความเก่าแก่ทางสถาปัตยกรรมของเมืองเชนไน เราก็เดินวนๆเข้าไปดูด้านในเหมือนเดิม เพื่อนฝรั่งสองคนก็ตื่นเต้นกันใหญ่ แต่สำหรับเราผู้นั่งรถผ่านวัดแขก สีลมมาตลอดหลายปีก็เฉยๆ ในวัดก็ห้ามถ่ายรูปเช่นกัน
รอบๆก็มีร้านขายของเช่นกัน และมีวัวเดินไปเดินมาขวักไขว่ จริงๆก็เดินไปๆมาๆทั้งเมืองแหละ คุณลุงคนขับก็อธิบายว่าวัวทุกตัวที่เดินไปมามีเจ้าของนะ พอถึงตอนเย็นวัวก็จะเดินกลับบ้านเอง หรือเจ้าของก็เดินไปตาม อีกอย่างที่มีเยอะคือแพะหรือแกะนี่แหละ เดินกันอย่างมีความสุขเหลือเกิน รถต้องเบรกให้
มีคนเดินมาขอเงินเหมือนกัน เพื่อนเราใจดีก็ให้เงินเขาไป ปรากฎว่ามีคนทยอยมาขอเรื่อยๆเพราะถ้าคนนึงได้ปุ๊บ คนอื่นจะเข้ามารุมบ้าง แต่ก็ไม่ได้ขอแบบน่ากลัวนะแต่ก็ไม่ไปไหนซะทีจนกว่าจะได้เงินหรือเราขับรถออกไปนั่นแหละ
จุดหมายที่สามซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของชะโงกทัวร์อินเดียในคราวนี้คือ
Marina Beach เป็น
ชายหาดที่ยาวที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลก เราตั้งใจจะมาที่นี่แหละ เพราะคิดว่าจะเหยียบให้ครบทุกทะเล นี่มันคือมหาสมุทรอินเดียเลยนะ (แม้ว่าจะเป็นผืนน้ำเดียวกันกับอันดามันก็เถอะ แต่ความรู้สึกมันต่างกันอ้ะ)
พอเปิดรถไปปุ๊บ กลิ่นคาวโชยมาปั๊บ กลิ่นเหมือนไปเดินแถวๆสะพานปลาอะไรแบบนี้อะ อานุภาพรุนแรงมาก ตอนแรกว่าจะเดินไปดูริมหาดแต่เพื่อนๆไม่อยากไปเลยอด ได้แต่ถ่ายรูปก๊อกแก๊กอยู่แถวนั้นเอง
มีร้านแผงลอยขายของกินประปราย คนเดินไปเดินมานิดๆหน่อยๆ อดเห็นทะเลเลยเพราะอยู่ไกลลิบมาก เชื่อแล้วว่าหาดมันใหญ่เป็นอันดับสองของโลกจริงๆ
ในตอนแรกก็คิดว่าจะไปแวะตลาดพื้นเมืองท้องถิ่นเพราะเพื่อนๆอยากซื้อผ้าพันคอผ้าไหม แต่มันเริ่มเย็นตลาดปิดหมดแล้ว คุณลุงแกเลยพาไปที่ร้านขายของอีกที่นึงแทน(ไม่รู้ว่าตลาดปิดจริงมั๊ย แต่คิดว่าที่แกพามาที่นี่ก็น่าจะได้ค่าคอมมิชชั่นแหละ) เพื่อนสองคนก็เลือกผ้านู่นนี่ไป เราก็เดินวนๆในร้านไปเรื่อยๆ ตอนแรกอยากได้ชุดส่าหรีเพราะเห็นคนอื่นใส่แล้วอัพไอจีกันเก๋ๆ แต่ร้านนี้ไม่มีแหะ มีแต่ที่เป็นชุดกางเกง เลยไหนๆก็มาแล้วก็เลือกๆดูหน่อยก็ได้ ปรากฎว่าเจอชุดที่ดูแล้วถูกใจ เลยได้มาซะงั้น
ไม่รู้ว่าจะเอามาทำไมเหมือนกัน แต่ก็ใส่เล่นถ่ายรูปในโรงแรม น่ารักดี พนักงานโรงแรมชมด้วย > <
มีความเมียแขกขายเครื่องเทศมากทีเดียว ฮาาาาาา
พอกลับมาโรงแรมก็ถ่ายรูปเล่นแล้วก็ไปกินข้าวแหละ บุฟเฟ่ต์อาหารเย็นตามเคย เอนจอยอาหารอินเดียทุกสิ่งอย่าง อร่อยไปหมดเลย กลับมาที่ห้องก็นอนแช่น้ำดูหนังนอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in