24 February 2016
จริงๆเอนทรี่นี้เราพิมพ์ๆจิ้มๆทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่กรุงเทพอยู่เลย คิดว่าจะเขียนถึงดีหรือไม่ดีนะเพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไร ก็ไฟล์ทมากรุงเทพปกติธรรมดา ต่อด้วยฮ่องกงไปกลับแล้วค่อยมานอนค้างที่กรุงเทพอีกคืน ธรรมดามากที่สุดในโลกหล้า
แต่นั่นแหละ… ในเมื่อเราคิดว่าจะเขียนเกี่ยวกับทุกไฟล์ทที่ไปบิน (เท่าที่จะทำได้) ก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เปิดคอมนั่งพิมพ์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเลยดีกว่า แต่เอาเข้าจริงๆ พอมาเริ่มจริงๆก็เริ่มไม่ถูกแหะ มันมีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด หลากหลายอารมณ์เหลือเกิน เอาเป็นว่าจะพยายามเรียบเรียงให้ครบก็แล้วกันนะ ขอเตือนไว้ก่อนว่ามันค่อยข้างจะน่าเบื่อและเวิ่นเว้อเรื่องส่วนตัวเยอะมากพอสมควร :)
“ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้เป็นเวลา….”
ตั้งแต่เราได้ไฟล์ทนี้มาเราก็แอบเช็คว่าลูกเรือที่เราจะทำงานด้วยนั้นมาจากประเทศอะไรบ้าง โป๊ะเช๊ะ! เราเป็นลูกเรือคนไทยคนเดียวเลยนี่หว่า ซึ่งนั่นหมายความว่า ข้าพเจ้า…ในฐานะตัวแทนจากประเทศไทยจะต้องเป็นคนพูด
Third Language PA นั่นเองงงงง
โดยปกติแล้ว เวลาที่สายการบินเราจะประกาศนู่นนั่นนี่บนเครื่องก็จะเริ่มจากประกาศเป็นภาษาอารบิกก่อน (แน่ล่ะ สายการบินแขกก็งี้แหละ) จากนั้นจะต่อด้วยประกาศภาษาอังกฤษ และถ้าจุดหมายปลายทางเป็นประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เราก็จะมีประกาศเป็นภาษาที่สาม ซึ่งก็จะเป็นหน้าที่ของลูกเรือที่สามารถพูดภาษานั้นๆได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย ซึ่งโดยปกติแล้วไฟล์ทมาไทยจะมีพี่ๆซีเนียร์คนไทยทำหน้าที่นั้น แต่ไฟล์ทนี้มีเราแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นหน้าที่จึงตกเป็นของเราไปโดยปริยาย
เฮ้ยแก! เราว่าสิ่งนี้มันเป็นความใฝ่ฝันของคนที่อยากเป็นแอร์เลยนะเว้ยยยยย รองลงมาจากการยืนสาธิตพวกทางออกฉุกเฉิน การใช้ออกซิเจนมาส์กไรเงี้ย แบบพูดสวยๆเสียงเพราะๆได้ยินกันทั้งเคบิน โอ้เย้ โมเม้นต์นี้ที่รอคอยมาถึงแล้ว ฮาาาาา (หรืออาจจะเป็นเราคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ก็ได้นะ แต่มันให้ความรู้สึกแบบโคตรของความเป็นแอร์คือสิ่งนี้ไรเงี้ย) ซึ่งความเป็นจริงตอนที่กดโทรศัพท์แล้วเริ่มพูดคือล่ม บ้ง ยับ พัง อ่านผิดอ่านถูก แถมลืมโพยไว้ในกระเป๋าต้องอิมโพรไวซ์สดๆ ฟังประกาศภาษาอังกฤษปุ๊บ แปลเป็นไทยปั๊บแล้วพูดเลย เฮ้ยคือแม่งกดดันมาก บอกเลยว่าเครียด
ข้าวต้มหมูของคุณแม่และไข่เจียวของคุณพ่อ
เราถึงกรุงเทพประมาณบ่ายโมงนิดๆ กว่าจะนั่งรถจากสุวรรณภูมิเข้ามาเช็คอินที่โรงแรมก็บ่ายสอง เราเลยนัดกับที่บ้านว่าให้มาเจอกันที่โรงแรมดีกว่า ง่ายดี คุณพ่อกับคุณแม่เลยแพลนว่าจะทำอาหารมาเซอร์ไพร์ส :D
รถบัสค่อยๆแล่นมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง ใจเราก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ วิวทุกอย่างบนทางด่วนมันเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ในความรู้สึกเราคือทุกสิ่งดูแปลกใหม่ไปหมด อย่างพอเวลาเห็นป้ายโฆษณาต่างๆไปจนถึงป้ายบอกทางชื่อถนนที่เป็นภาษาไทย มันปริ่มแบบบอกไม่ถูกอะ จะว่าเราเวอร์ก็ได้นะ แต่หลังจากเห็นแต่ป้ายภาษาอังกฤษบอกชื่อถนนแปลกๆที่เป็นภาษาอารบิกกลายมาเป็นป้ายไปสีลมงี้ ตอนนั้นคือ เชี่ยยย อ่านออกแล้วเว้ยยยยยย
จนกระทั่งรถมาจอดหน้าโรงแรม เราเป็นคนแรกๆที่เด้งตัวลุกออกมาจากเบาะแล้วเดินลงจากรถ สอดส่ายสายตามองหาคุณพ่อคุณแม่และน้องพิณ วินาทีตอนที่เจอหน้ากันมันตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกอะ นี่คือครั้งแรกที่ท่านเห็นเราในชุดยูนิฟอร์มของสายการบิน มันภูมิใจเหลือเกิน แอบเห็นคุณแม่ตาแดงๆนิดนึงแล้วมันแบบ โอ้ยยยยย อธิบายไม่ถูกอะ ตื้นตันไปหมดเลย พูดยากจัง นี่พิมพ์อยู่ยังแอบน้ำตาจะไหลเลย
เราพาทุกคนขึ้นไปบนห้อง เห่อถ่ายรูปเซลฟี่ครอบครัวกันนิดหน่อย ที่เซอร์ไพร์สคือคุณพ่อเป็นคนถือกล้องเซลฟี่เองเลยนะ รูปที่ออกมาก็น่ารักดี สามคนแม่ลูกยิ้มพิมพ์เดียวกันเลยแหละ มีแต่คุณพ่อที่ไม่ได้ยิ้มเหมือนกัน… ก็นานแล้วนะที่ไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกัน ครั้งล่าสุดก็ตอนที่ถ่ายรูปวันเรารับปริญญา ก่อนหน้านั้นไปอีกก็ตอนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน เลยจากนั้นไปก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไร…
คุณแม่ทำข้าวต้มหมูมาให้ทานแหละ อร่อยเหมือนเดิม แต่ตอนนั้นมันเหนื่อยมาก ทำงานและไม่ได้นอนมาเลยกินไปแค่ชามเดียว จริงๆอยากจะกินอีกเยอะๆ กินทุกอย่างเลยแต่ความง่วงเข้าครอบงำ เริ่มมึนงงพูดไม่รู้เรื่องแล้ว เบลอหนักมาก พอเรากินเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเพราะจะให้เรานอนพักผ่อน ทิ้งกล่องข้าวไข่เจียวที่คุณพ่อทำไว้ให้ดูต่างหน้า ซึ่งเราตื่นมากินอีกรอบก็อร่อยเหมือนเดิม กินไปน้ำตาก็พาลจะไหลไปอีก ช่วงเวลาที่เจอกันอยู่ด้วยกันมันน้อยจนน่าใจหายจริงๆแหละนะ
ตอนที่เราไปบิน ทุกๆครั้งเวลาเรานั่งกินข้าวตรง jump seat เงียบๆคนเดียวบนเครื่อง เราชอบมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็คิดว่าเรามาทำอะไรที่นี่วะ มันเหงา คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน ถึงแม้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันก็มีทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง ดราม่าน้ำตานองน้อยใจเวลาคุณพ่อดุทุกครั้งที่กลับบ้านแต่ก็นะ… พอมาอยู่ห่างกันแล้วเรายอมกลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิมดีกว่าแหะ (แต่รักกันเข้าใจกันมันดีที่สุดแหละนะ)
การมาอยู่คนเดียวที่นี่มันไม่เหมือนช่วงชีวิตตอนที่ไปแลกเปลี่ยนหรือชีวิตมหาลัยที่อยู่หอเริงร่า ไม่อยากกลับบ้าน ชอบการอยู่หอกับผองเพื่อน ตอนนั้นมันรู้สึกอิสระเสรีอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ทำอะไรก็ได้ตามใจ พอเรียนจบย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านก็ต้องปรับตัวใหม่หมดเลย มีเซ็งๆเบื่อๆที่บ้านบ้างแหละ แต่พอตอนนี้ที่มาอยู่ไกลกันจริงๆแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากพอก็ไม่รู้สินะ เหมือนเพิ่งจะคิดได้เมื่อต้องมาห่างกันแล้ว
ทุกวันนี้ที่ฟังเพลง “ไม่เคย – 25 hours” แล้วก็น้ำตาไหลตลอดเลยนะ คิดถึงบ้าน แต่ก็สู้แหละ ท่องโลก ทำงาน เก็บเงิน ผันตัวมาเป็นเสาหลักของบ้านต่อไป เย๊!
วาเลนไทน์ – คนโสด – หมูกระทะ
ตอนเย็นเรานัดกินหมูกระทะกับ วุ้นเป็ด แก๊งค์มหาลัยของเราเอง ซึ่งทุกคนก็มากันเกือบจะพร้อมหน้ายกเว้นสมาชิกที่ไม่โสดและปอมที่เกิดวันนี้พอดี ซึ่งก็เราคิดถึงทุกคนแหละนะ แต่มาไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร เพราะถ้ามากันครบนี่คงไม่ได้กิน ขำอย่างเดียว พอมาไม่ครบเลยไม่มีค่อยคนยิงมุกให้ขำตลอดเวลาทำให้เราได้กินหมูกระทะได้อย่างอิ่มเอม ถ้ามากันครบแก๊งนี่เราจะกินอะไรแทบไม่ได้เลย ขำจนไม่มีแรงจะจับตะเกียบ ขำแล้วหยุดขำไม่ได้
ร้านหมูกระทะชื่อ Best Beef เป็นบุฟเฟ่ต์ราคาย่อมเยาไม่เกิน 300 บาท การเดินทางก็สะดวกสบายเหลือเกิน แค่นั่งบีทีเอสมาลงสถานีอ่อนนุช เดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว คุณภาพก็อยู่ในระดับที่กินๆเข้าไปเถอะ กินได้เรื่อยๆ กินแบบเน้นปริมาณก็เวิร์คอยู่ เนื้อนุ่ม หมูนิ่ม ไก่เป็นยังไงไม่รู้ไม่ได้สั่งเพราะอยู่ที่นี่กินแต่ไก่จนกลัวตัวเองจะเป็นเก๊าแล้วเนี่ย เมนูมีหลากหลายและสามารถสั่งนู่นสั่งนี่เพิ่มได้เรื่อยๆ บริการก็รวดเร็วดีแต่พอดีว่าวันนั้นมีบอล พนักงานเลยจ้องจอทีวีนานไปหน่อยบ้าง โดยรวมก็ดีเหมาะแก่การมานั่งหน้าเตาจิ๊กหมูจิ๊กเนื้อเพื่อนไปพลาง เม้าไปพลาง หน้ามันหัวเหม็นหน่อยแต่ก็คุ้มแหละ
นอกจากเราจะคิดถึงหมูแล้ว สิ่งที่เราคิดถึงไม่แพ้กันก็คือบรรยากาศการกินหมูกระทะร่วมกันกับเพื่อนๆแบบนี้แหละ ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้อยู่ห่างกันเท่าไรเพราะก็ไลน์หากันวันละสามร้อยโนติกขึ้นไปต่อวัน แต่มันก็ไม่เหมือนการมาเจอกันแล้วโหวกเหวกโวยวายเล่นตลกกันต่อหน้าแบบนี้แหละนะ จริงๆคือขาดไปอีกหนึ่งกิจกรรมคือการไปนั่งร้านที่คล้ายๆก้ำกึ่งรำลึกความหลังนั่นเอง
สายนกที่แท้จริงต้องแข็งแกร่งแม้ในวันวาเลนไทน์
ตัดช่วงเข้าสู่โหมดดราม่าหลังจากผ่านอารมรณ์ตื่นเต้น ซึ้ง และสนุกสนานมาแล้ว ซึ่งๆจริงๆก็ไม่อยากเขียนเอามาลงเท่าไรหรอก มันเวิ่นเว้อเกินไป แต่ก็นั่นแหละไหนๆโลกจะโหดร้ายกับเราแล้วก็เผยแพร่ความนกต่อสาธารณะชนเลยละกันนะ
เรื่องของเรื่องคือมันก็วาเลนไทน์ไงแก เห็นหน้าอย่างงี้ก็มีนัดกับเขาเหมือนกันนะเว้ย แต่นั่นแหละ… เรื่องมันยาว เอาเป็นว่า…
- เราได้ไฟล์ทกลับไทย
- เราบอกเขาว่า เออ ได้กลับไทยก่อนกำหนดนะ มาเจอกันไหม
- เราบอกว่าเราจะกินหมูกระทะเสร็จประมาณสองทุ่มครึ่ง
- เขาบอกว่าเขา “น่าจะ” มาได้
- เรากินหมูกระทะเสร็จ เรารอ เราติดต่อ เขาเงียบหาย
- เรานั่งรถไฟฟ้าจากอ่อนนุชมาลงที่ศาลาแดง กะว่าจะหาที่นั่งรอ แต่ทุกอย่างปิด รวมถึงมีปิดถนนขายของด้วย
- ความซวยคือแม่งไม่มีรถผ่านหน้าสีลมคอมเพล็กซ์เลย จะกลับโรงแรมยังไงดีละวะ
- ไหนๆก็รอเขาแล้ว งั้นก็เดินกลับโรงแรมเลยละกัน เผื่อเขาจะติดต่อมาระหว่างนั้นจะได้เจอกันได้ แต่ถ้าเราถึงโรงแรมแล้วก็จะไม่ออกไปไหนแล้ว
- เดินไปสิ จากสีลมจนถึงสุรศักดิ์ ถนนสีลมทั้งเส้นอะ เดินไปจับมือถือไปด้วย เผื่อมันจะสั่น เผื่อว่าเขาจะโทรมา โคตรบ้าเลย
- ไอ้เชี่ย! แม่งไม่โทรว่ะ
- ทำไมมาไม่ได้แล้วทำไมไม่บอก
- ถึงโรงแรมแล้ว นอน ช่างแม่ง พรุ่งนี้ต้องทำงาน มีงานมีการมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทำเว้ย บาย
นกขนาดนี้ มีใครให้มากกว่านี้มั๊ยคะ?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in