เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
สวัสดีดูไบ เรามาอย่างเป็นมิตร
  • 28 November 2015




    หอบผ้าหอบผ่อน เก็บของยัดใส่กระเป๋ามาอยู่ดูไบครบหนึ่งสัปดาห์แล้วนะ มีเรื่องเล่าเยอะแยะมากเหลือเกินจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี (อ้าว…) จะพยายามเขียนเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะ





    สภาพอากาศ

    ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากสนามบินก็ในใจก็คิดว่าอากาศมันต้องร้อนมากแน่ๆ แต่ผิดคาดครับพี่น้องครับ เชี่ยยยย อากาศที่นี่โคตรเย็นอะ อากาศเย็นมาก สบายมาก ลมพัดตลอดเวลา อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 24 – 27 องศาเซลเซียส เย็นกว่ากรุงเทพอี๊กกกกก เดินไปไหนมาไหนได้สบายๆเลยล่ะ





    อาลี่

    คือรูมเมทของเราเอง มาจากไต้หวัน นางเป็นสาวสวยผมยาวสุขภาพดี ตาโต ผิวแทน ผิดจากสาวเชื้อสายจีนทั่วๆไป ตัวสูงเท่าๆเราเลยล่ะ เป็นคนชิคๆคูลๆ แต่งตัวแบบหวานซ่อนเปรี้ยวซึ่งบุคคลิกตรงข้ามกับเราทุกประการ แถมยังเป็นคนขี้ร้อน ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอยู่บ้านที่เปิดแอร์อุณหภูมิ 24.5 องศาทุกวัน ผิดกับเราที่ห่อตัวแทบจะกลายร่างเป็นเพนกวินจักรพรรดิ เวลามีใครมาที่บ้านทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสองคนนี้ทำตัวเหมือนอยู่คนละที่ คนนึงนี่ซัมเมอร์ไทม์ตลอดเวลา อีกคนเหมือนมีบ้านอยู่ขั้วโลกเหนือไม่ใช่ดูไบ



    ถึงจะอุปนิสัยแตกต่างกันแต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางชาติพันธุ์ อาจเป็นเพราะเป็นคนเอเชียนเหมือนกันเลยเข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายนึงละมั๊ง เช่น เราทำกับข้าวแล้วใช้น้ำปลาเป็นส่วนประกอบ อาลี่จะไม่ว่าอะไร ไม่เหม็น โอเคหมด ทำผัดกะเพราที่บ้านได้ไม่มีปัญหา ชวนกันไปกินอาหารไทยจีนเกาหลีญี่ปุ่นได้หมด หรือจะเป็นการเม้ามอยเรื่องซีรีย์เกาหลี พ่อแม่เอเชียน การใช้ชีวิตอยู่ในกรอบประเพณี เป็นต้น


    นางเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ก่อนเราประมาณ 3 สัปดาห์ รูมเมทคนเก่าเป็นคนเกาหลีที่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นางเลยครอบครองพื้นที่ทั้งหมดทั้งมวลแต่เพียงผู้เดียวมาพักใหญ่ก่อนที่จะมีเราเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านทรายทอง นางจึงเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีในการเตรียมตัวเข้าสู่การเทรนนิ่งและปรับชีวิตให้โอเคกับเมืองทะเลทราย





    ละแวกบ้าน

    วกกลับมาอธิบายเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ซักนิดนึงหลังจากที่ตอนที่แล้วเราได้บรรยายสรรพสิ่งหิ้งห้อยเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่มีต่อบ้าน ไม่ใช่ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่แถวนี้ซักเท่าไร


    เราพักอยู่ในเขตที่เรียกว่า Garhoud เป็นโซนที่พักอาศัยที่ใกล้สนามบินพอสมควร ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำซึ่งง่ายต่อการไปทำงานและการกลับบ้านมากๆ นอกจากนี้สามารถเดินไปที่ Aviation College ได้เลย ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในการเดินแบบอ้อยอิ่ง

    สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือสถานี GGIGO (อ่านว่า จีจีโกะ ฟังครั้งแล้วแล้วรู้สึกว่าโคตรญี่ปุ่นแบบแปลกๆ) เดินก๊อกแก๊กไปแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ดีงาม



    ส่วนตัวแล้วเราอาศัยอยู่ที่ตึก G ซึ่งเป็นตึกสุดท้ายในอาณาบริเวณทั้งหมด ภายในตึกมีสระว่ายน้ำและฟิตเนสในตัว ด้านล่างมีร้านสะดวกซื้อเปิด 24 ชั่วโมง เดินไปตึกข้างๆมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดย่อม ร้านทำเล็บ ใกล้โรงพยาบาล รวมไปถึงร้านอาหารไทย ร้านนวดแผนไทย และร้านอาหารญี่ปุ่น ถ้าเดินเลยไปทางคอลเลจก็จะเจอ Irish Village เป็นเหมือนผับไอริชกึ่งๆลานเบียร์ที่มีต้นไม้เยอะๆและพิชแอนด์ชิพอร่อยม๊ากมาก

    สำหรับฝั่งที่เราอยู่ถัดไปอีกนิดเป็นมัสยิด ก็จะได้ยินเสียงสวดทุกวัน ซึ่งเราว่าดีนะ ได้ยินแล้วสงบดีล่ะ แต่ก็ได้ยินว่าบางคนก็บ่นเรื่องเสียงรบกวนการนอนอะไรแบบนี้



    สำหรับห้างที่ใกล้ที่สุดคือ Deira City Centre นั่งรถไฟฟ้าไปแค่สถานีเดียวก็ถึงแล้ว ตัวห้างใหญ่มาก มีโรงหนัง ร้านค้ามากมี ร้านอาหารมากมาย มีคาร์ฟูไว้จับจ่ายซื้อของ สะดวกสบายดี




    นี่คือถนนหน้าบ้านของข้าพเจ้าเองแหละ ไม่มีดูไบที่อู้ฟู่อะไรทั้งนั้น แห้งๆทรายๆ




    หลังจากที่อยู่ที่นี่มาสัปดาห์นึง เราคิดว่าเราคงไม่ย้ายออกแหละ ก็คิดว่าอยากอยู่ในเมืองเหมือนกันนะ อยากใช้ชีวิตฟู่ฟ่ากับเขาบ้างแต่พอมาคิดดูว่าถ้าถึงเวลาบินขึ้นมาจริงๆ เราคงอยากพุ่งตัวกลับบ้านมานอนมากกว่า ช่างชีวิตรวยๆใน Downtown Dubai มันเถอะ เลยไม่ย้ายละกัน ถ้าอยากเข้าเมืองก็แค่เดินไปรถไฟฟ้า สบายๆน่า (ยกเว้นหน้าร้อนที่อากาศทะลุ 50 องศาเซลเซียส เราจะไม่ไปไหน เราจะอยู่แต่ให้ห้อง!)



    อ้อ… เพิ่มเติมอีกเรื่องนึงคือเรื่องน้ำ ที่นี่ไม่ควรดื่มน้ำจากก็อกน้ำโดยตรง ไม่สะอาดปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกายเพราะเป็นน้ำที่มาจากน้ำทะเลแล้วก็ผ่านกรรมวิธีต่างๆเพื่อให้มันจืดและเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งตั้งแต่มาถึงหลายคนมีปัญหาผมร่วง ส่วนเราก็เป็นสิวที่หลังเพราะแพ้น้ำ (อีกแล้ว) เศร้าใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงต้องซื้อน้ำขวดกินทุกวันเลย











  • เทรนนิ่ง

    การเทรนนิ่งของเรายาวนานประมาณ 2 เดือนนิดๆ ครอบคลุมตั้งแต่การเปิดประตูเครื่อง ทำคลอด ไปจนถึงการเสิร์ฟอาหาร

    วันแรกๆก็ไม่ได้ทำอะไรมาก วุ่นวายกับการทำเรื่องเอกสารต่างๆ เซ็นต์สัญญานู่นนี่นั่นโน่นเต็มไปหมด ตรวจสุขภาพ เจาะเลือด เอ็กเรย์ปอดอะไรก็ว่าไป เรียกได้ว่าใช้เวลาหมดไปกับการฟังบรรยายเกี่ยวกับการปรับตัวเข้ากับที่นี่ อ้อ… มีกฎให้ต้องทำตามด้วยนะ เพราะว่าตอนนี้เราเหมือนกัน Brand Ambassador ของสายการบิน เพราะฉะนั้นเรื่องรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลย จึงมีกฎต่างๆให้ทำตามตลอดเวลาดังต่อไปนี้

    • ดื่มน้ำจากขวดต้องใช้หลอด
    • ห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง
    • ต้องปัดมาสคาร่าและทาปากแดงอยู่เสมอ เก็บผมทำมวยผมให้เรียบร้อย
    • ห้ามลงภาพหรือโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ ใส่บิกินี่ลงรูปในไอจีไม่ได้ (แต่ทุกคนก็ทำนะเอาจริงๆแล้ว...) และรูปที่ลงได้คือใส่ยูนิฟอร์มครบถ้วนเรียบร้อย ห้ามลงรูปในเคบินบนเครื่องเด็ดขาด เป็นต้น



    ข้ออื่นไม่เท่าไร แต่ดื่มน้ำโดยใช้หลอดนี่ชอบลืมทุกทีเลยยยยย








    สิ่งที่ตื่นเต้นคือการได้เจอเพื่อนๆในแบชที่เราจะต้องอยู่กันไปตลอดการเทรนนิ่งนั่นแหละ สมาชิกในแบชเรามีทั้งหมด 14 คน จาก 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เซอร์เบีย สเปน สโลวาเกีย สก็อตแลนด์  สิงคโปร์ เยอรมนี เกาหลี จีน และโรมาเนีย ทุกคนน่ารักและนิสัยดี ค่อยๆสนิทกันขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะ ดีใจ :)

    ส่วนสองวันสุดท้ายเริ่มเข้าไปที่เทรนนิ่งคอลเลจแล้วแหละ ก็ยังจิ๊บๆไม่หนักหน่วงมากเท่าไร มีการบ้านให้ทำบ้างประปราย อาลี่ผู้แสนจะใจดีที่เริ่มเทรนก่อนก็เอาสมุดการบ้านมาให้


    "ยูแคนก๊อปปี้เอฟวรี่ติง ด้อนวอรี่" ก่อนที่จะปลอบโยนเราผู้แพนิกกับทุกสิ่งจิงเกอร์เบล


    แต่สำหรับสัปดาห์หน้าคือของจริงแล้วนะ ชีวิตต้องสู้ ได้หนังสือเล่มยักษ์มาสองเล่ม ได้แต่ปลอบตัวเองว่าไม่เท่าไรหรอก สบ๊ายยยยย



    อ่านวนไปค่ะ! วนไปจนกว่าจะจำได้ค่ะ!!





    ตารางการเทรนของสองสัปดาห์ต่อจากนี้เริ่มตีห้าครึ่งแหนะ เช้าไปอี๊ก ต้องรีบตื่นมาแต่งหน้าทำผม ยังดีที่ยังไม่ได้ยูนิฟอร์ม ชุดคือใส่แค่เสื้อโปโลสีแดง (เขาแจกให้) กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าส้นแบนสีดำ จบ! ตอนนี้เลยรู้สึกดีม๊ากมากที่ที่พักใกล้ เดินไปได้แปบเดียวถึงไม่ต้องตื่นมารอขึ้นรถบัส











  • อาหารการกินและค่าครองชีพ


    แพง แพงมากกกกกกกกกกกกกกกกก

    ทุกอย่างแพงมากแบบหูดับตับไหม้ ใช้เงินออกไปราวกับที่บ้านพิมพ์แบงค์เอง แต่ก็คงใช้เยอะขนาดนี้เฉพาะสัปดาห์แรกนี่แหละ เพราะเพิ่งมาไง ต้องซื้อของอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ (บอกกับตัวเองซ้ำๆว่ามันจำเป็นนะแกทุกครั้งที่จ่ายตัง)



    ผักผลไม้แพ๊งแพง เนื้อสัตว์ก็ราคาสูง ครั้นจะกินแต่มาม่าที่แบกมาก็กระไรอยู่ เราถือคติว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราเลยเลือกซื้อมาแต่ของดีมีประโยชน์ ยอมจ่ายค่าผักแพงหน่อยแต่สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ก็ดีกว่าเจ็บป่วยนะ ยิ่งทำงานแบบนี้ด้วย ตอนนี้เลยกินอาหารเฮลตี้กว่าตอนที่อยู่ไทยซะอีก


    โดยส่วนตัวแล้วเราไม่มีปัญหากับการกินอาหารชนิดเดียวกันซ้ำๆทุกวัน เราเลยทำกับข้าวกินเองทุกวัน เช่น สัปดาห์นี้เราทำซุปกิมจิไว้หม้อใหญ่ๆ กลับถึงบ้านก็หุงข้าวทอดไข่เจียว กินทุกวันจนซุปหมด แล้วก็จะทำอย่างอื่นตุนไว้กินเยอะๆต่อไป สัปดาห์หน้าคงเป็นแกงกะหรี่ละมั๊ง



    สำหรับมื้อเช้า ถ้ามีเวลาก็ทำสมูทตี้กับแซนวิช ใส่ผักๆ มะเขือเทศและอะโวคาโดของโปรด ส่วนตอนกลางวันก็ไปฝากท้องกับร้านข้าวในคอลเลจเอา ซึ่งโดยมาก็เป็นอาหารแขกแหละ ข้าวกับแกงนู่นนั้นนี่พร้อมสลัด ซึ่งอร่อยมากกกกกก เอนจอยอาหารแขกเฉ๊ย อ้วนขึ้นแล้วเนี่ย





    ส่วนค่าครองชีพอื่นๆก็แพ๊งแพง โดยเฉพาะค่าอินเตอร์เน็ต อย่างไวไฟในบ้านเราก็หารกับอาลี่ ตกเดือนละ 1,500 บาทต่อคน หรือค่าเติมเงินเติมเน็ตในมือถือก็ 1 GB 1,000 บาท ซึ่งเราว่ามันแพงมากเลยแหละ เลยไม่ซื้อไม่เติมเลยละกัน อาศัยไวไฟฟรีในตึกเอา ถ้าไม่มีก็ไม่ใช้ ลดละเลิกนิสัยการติดโทรศัพท์มือถือไปโดยปริยาย ฮิปสเตอร์ไปอีก ถ้าไปไหนแล้วหลงทางก็ถามเอา ไม่ง้อกูเกิลแมพก็ได้…





    ชีวิตประจำวันทั่วไป

    - วันหยุดราชการ คือวันศุกร์และวันเสาร์

    - แต่งกาย สุภาพเรียบร้อย ไม่ใส่ขาสั้น ใส่เสื้อปิดไหล่ แต่ก็เห็นฝรั่งก็ใส่ขาสั้นแขนกุดกันนะ แต่เราไม่เอาดีกว่า เกรงใจมัสยิดหน้าบ้าน

    - รถไฟฟ้า สถานีเก๋มาก ติดแอร์และเปิดแอร์แรงมากเหมือนจะเลี้ยงนกเพนกวิน ซื้อแบบบัตรเติมเงินถูกกว่า ราคา 25 AED ถ้าเป็นหญิงสาวเดินทางคนเดียวให้เดินไปขึ้นที่สองตู้ข้างหน้าเพราะตู้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น สังเกตได้จากพื้นก่อนเข้าประตูจะเป็นสีชมพู แต่ถ้าเราเป็นผู้หญิงไปนั่งตู้แบบปกติก็ได้นะ แต่จะโดนคนมอง มอง มอง แล้วก็มองเหมือนเป็นตัวประหลาด หรือไม่ก็โดนบีบอัดเป็นปลากระป๋องกลิ่นแขกถ้าขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพราะงั้นไปขึ้นตู้ผู้หญิงเถอะ สภาพรถใหม่ สะอาดและกว้างม๊ากมาก




    สถานีรถไฟฟ้าแถวบ้านครับ มีลานจอดรถให้เสร็จสรรพด้วยนะเธอ 



    - รถเมล์ เรายังไม่เคยนั่ง แต่ป้ายรถเมล์ติดแอร์นะจ๊ะ เก๋มาก

    - แท็กซี่ เริ่มต้นที่ 5 AED (50 บาทไทย) มิเตอร์ขึ้นเร็วมากเหลือเกินจนเหงื่อตก ถ้าไม่รู้ทางคนขับอาจจะดุเอาได้เพราะส่วนใหญ่ไม่ใช่คนพื้นที่แต่มาจากปากีสถาน อินเดีย ถ้าหลงทีต้องอ้อมโลกมาก แต่ที่เราเจอคนขับใจดีและรู้เส้นทางนะหรืออาจเพราะไปแค่ใกล้ๆก็ได้มั๊ง อ้อ...อีกอย่างนึงเกี่ยวกับแท็กซี่ ถ้าหลังคาสีชมพูจะเป็น Lady Taxi นะจ๊ะ คนขับเป็นผู้หญิง

    - น้ำขวด ไม่แพงอย่างที่คิดไว้ ซื้อไปเถอะ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพร่างกาย

    - มือขวา พยายามรับส่งของ กินอาหารด้วยมือขวา ใครที่ถนัดซ้ายต้องฝึกหน่อยนะ

    - ถนนหนทาง ที่นี่ขับรถได้เชี่ยมาก เวียนหัวเหลือเกิน อยากปาดใคร่ปาด อยากแซงใคร่แซง ไฟแดงยังไม่ทันจะเปลี่ยนบีบแตรไล่แล้ว เดือดไปอีก ฟาสแอนด์ฟิวเรียสเหลือเกินพี่น้อง

    - รถหรู หาได้ในเมือง วิ่งกันขวักไขว่ แถวบ้านเรา... ไม่มี๊





    กล่าวโดยสรุป

    ตอนนี้เราโอเคดีนะ ไม่ได้คิดถึงบ้านมาก ไม่มีอาการ Home Sick อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ทำให้รู้สึกใกล้กันด้วยมั๊ง เหมือนได้มาแลกเปลี่ยนอีกรอบบวกกับกลับมาอยู่หอคนเดียวอีกครั้ง มีความสุขดี อ้วนขึ้นด้วยล่ะอย่างที่บอกไป



    เรารู้สึกว่าดูไบก็เหมือนกรุงเทพที่มีตึกสูงเยอะกว่าและต้องพูดภาษาอังกฤษทุกวันเลย เราชอบที่นี่นะ เป็นเมืองที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติอย่างที่สุด รปภ.ที่ห้างมาจากเนปาล คนขับแท็กซี่มาจากปากีสถาน พนักงานในร้านมาจากฟิลิปปินส์ คิดว่า..เออ เท่ดีนะ ที่รวมคนหลากหลายมาอยู่ในที่เดียวกันได้เยอะขนาดนี้ ความรู้สึกของเราก็คล้ายๆกับตอนที่ไปอเมริกานะ แต่นั่นทุกคนเคลมตัวเองว่าเป็นอเมริกันไง แต่ที่นี่คือทุกคนดูภูมิใจที่มาจากที่หลากหลายกันอะ

    ถ้าได้ไปเที่ยวที่ไหนก็จะกลับมาอัพเดตก็แล้วกันเนอะ ติดตามดูรูปต่างๆได้ผ่านไอจี ชื่อเดียวกันนี่แหละ ว่างๆจะมาเขียนเล่าให้อ่านกันใหม่นะ

    ขอให้การเทรนผ่านไปได้ด้วยดี เพี้ยงงงงงงง > <




    ด้วยรัก...จากเมืองทะเลทราย






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in