ก่อนอื่นเลยต้องขออัพเดตเรื่องไฟล์ทบินนิดหน่อย คือเราโดนถอดออกจากไฟล์ทดับลิน ไอร์แลนด์แหละ กลายมาเป็นสแตนบายซะงั้น เซ็งๆนิดหน่อยนะเพราะเตรียมกระเป๋าจัดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เสื้อโค้ทพร้อม ถุงมือพร้อม พอตอนบ่ายนี้เช็คอีกรอบนึงกลายเป็นว่าตารางเปลี่ยนอีกแล้วจ้า จากพรุ่งนี้ที่ไปบินตอนบ่ายเปลี่ยนเป็นได้พักนิดหน่อยแล้วตื่นมาสแตนบายตั้งแต่ตีสามถึงเก้าโมงเช้า
ถ้ารอดไม่โดนอะไรก็พักยาวไปทั้งวัน ถ้าไม่รอดโดนไปบินก็มีเวลา 45 นาทีไปให้ถึง HQ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ต้องเฝ้าโทรศัพท์ไว้ไม่ไปไหนทั้งนั้นนนนนนน จริงๆก็ไม่ค่อยชอบนะ มันรู้สึกว่าเวลาเตรียมตัวน้อยไปนิดนึง แต่ก็นั่นแหละ รอดูพรุ่งนี้ตอนตีสามก็แล้วกันว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป ลุ้นทุกสัปดาห์เลยวู้ย
คืนนี้เลยมาอัพให้อ่านเกี่ยวกับทริปล่าสุดดีกว่าเนอะ หวังว่าคงจะไม่เบื่อหน้ากันไปก่อนเพราะช่วงนี้เขียนนู่นเขียนนี่บ่อยเหลือเกิน ก็แหม… คนมันเหงาๆนี่นา การเขียนก็เป็นการใช้เวลาอยู่กับตัวเองและใช้เวลาช่วงที่ว่างๆทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ดีกว่านอนอืดอยู่เฉยๆ :)
ไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทที่ 3 ของเราแหละ กลายเป็นว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเราคุ้นชินกับ A380 ไปซะแล้วเพราะบินเครื่องนี้มาตลอดเลย จำได้เกือบหมดแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน ไปบรีฟตอนเช้าก็โอเคปกติดี ลูกเรือน่ารักดีแหละ พอรู้ว่าเราเพิ่งบินก็ช่วยสอนนู่นสอนนี่ตลอดเลย เวลาเราถามอะไรก็ยินดีตอบ ไม่มีเหวี่ยงหรือหงุดหงิดใส่ รู้สึกดีเพราะตอนแรกก็แอบกลัวว่าจะเป็นแบบไฟล์ทที่แล้ว ฮาาา โชคดีที่เจอแต่คนดีๆนะ
อย่างที่นั่งตรงจั๊มพ์ซีทของแอร์ เราได้นั่งข้างๆกับ FG1 (First Class) เป็นสาวเกาหลี ทำงานที่นี่มา 8 ปีแล้ว ก็นั่งคุยกันเยอะแยะเลย ตอนนั่งในบัสไปโรงแรมก็นั่งด้วยกันอีก เขาก็แนะนำนู่นนั่นนี่ทั้งเกี่ยวกับการทำงาน การใช้ชีวิตที่ดูไบ รวมถึงฟิตเนสไหนโอเคบ้าง ออกกำลังกายแบบไหนดี
ขาไปนี่โอเคมาก ชิว ชีวิตดี ทั้ง Economy Class มีผู้โดยสารแค่ 190 คนเอง ว่างแบบวิ่งเล่นได้อะ ทำเซอร์วิสแค่ 2 อย่างคือ Lunch กับ Light Bite จบ ง่าย สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เย๊เฮ<3
พอมาถึงสนามบินก็เวลาประมาณสามทุ่มนิดๆ รอกระเป๋ากับผ่านตม.ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้ออกมาจากสนามบิน วูบแรกที่เดินออกมาเจออากาศข้างนอกคือ อาาาาาาาาาาาห์ อากาศร้อนๆชื้นๆที่คุ้นเคย มีความสุขที่ได้เจออากาศแบบนี้ซะที ตอนอยู่ไทยบ่นร้อนอย่างงู้นอย่างงี้ ตอนนี้คือยิ้มแก้มแทบแตก คิดถึงกลิ่นอากาศแบบนี้เหลือเกิน
ระยะทางจากสนามบินมาถึงโรงแรมไกลมากเพราะโรงแรมอยู่กลางเมืองเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนึงเลยอะ รถไม่ติดเลยนะ แค่มันไกลจากกันมากๆ ก็นั่งคุยกับ FG1 นั่งสไลด์ Soda Crush นอนงีบตื่นมามองวิวไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงโรงแรม เช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็นัดกับลูกเรือคนอื่นไปกินข้าวกัน ตอนแรกจะไป Night Market ที่เปิดถึงตี 3 แต่ไปๆมาๆทุกคนเหนื่อยเมื่อยล้า เลยเดินไปหาของกินแถวๆโรงแรมก็แล้วกัน
เปิดห้องมาปุ๊บเราพุ่งไปที่หน้าต่างก่อนเลย วิวสวยมากจริงๆ :)
โรงแรมเราห่างจาก
Petronas Towers ไม่มาก เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ซอยข้างๆตึกแฝดก็มีร้านอาหารผับบาร์ทั่วไป เราก็ไปด้อมๆมองๆส่องราคา จนไปจบที่ร้าน
Senya เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น เราสั่งเบียร์กับข้าวแกงกะหรี่หมูทอดมากิน (กินสิ่งเหล่านี้ตอนเที่ยงคืน คุณพระ!)
จากนั้นทุกคนก็ไปต่อกันที่บาร์ชื่อว่า
Beach Club เราเข้าฟรีเพราะมีบัตร Platinum Card ของบริษัท ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดีแหละ บาร์มันเป็นฟิลลิ่งบาร์โลคอลแถวๆพัทยาที่มีฝรั่งลุงๆเต็มไปหมดเลยและมีสาวๆที่แยกไม่ออกว่าเป็นสาวแท้สาวเทียมเต้นแบบยั่วๆนมหกมาก ยืนๆเต้นๆสังเกตคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ตลกดีแหละ ส่วนค่าเครื่องดื่มไม่ต้องออกเพราะ First Officer สุดหล่ออิมพอร์ตจากสเปนเป็นคนเลี้ยงลูกเรือทุกคนเลยจ้าาาาา ป๋ามาก (แต่แต่งงานแล้วเรียบร้อย ภรรยาสวยมากด้วยแหละ) พอตีสามก็เดินกลับโรงแรมกัน นัดแนะกันเสร็จสรรพว่าพรุ่งนี้จะออกไปเที่ยวไหน
เก้าโมงเช้าเหล่ายอดมนุษย์ที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือจากเมื่อวานก็ตื่นมากินข้าวเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม ก่อนที่จะเหมารถแท็กซี่ไปที่
Batu Cave ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่นี่คือที่ไหน เป็นยังไง เขาว่าไงก็ว่าตาม ไปไหนไปด้วย
ระหว่างทางเหมือนขับรถไปต่างจังหวัดแหละ โคตรคิดถึงบ้านเลย ทุกอย่างเหมือนที่ไทยมาก มีภูเขา มีต้นมะม่วงที่เห็นแล้วน้ำตาจะไหล เฮ้อ… อยู่ห่างจากบ้านแค่พันกว่ากิโลเอง :(
พอมาถึง Batu Cave แล้วอู้หูววววว ด้านหน้าสวยมากกกกกกกก ลิงก็เยอะมากเช่นกัน ฮาาา
นี่คือถ่ายด้วยไอโฟนธรรมดา ไปไม่ได้แต่งรูปอะไรเพิ่มเลย คือสวยจริงๆ ประทับใจ ยิ่งใหญ่มาก
วันนั้นเราใส่กางเกงขาสั้นไป ก็ต้องไปเช่าผ้าคลุมมาปิดขา ราคา 5 ริงกิต พอเอาผ้ามาคืนก็จะได้เงินคืน 2 ริงกิตนะ
ปีนบันไดขึ้นมาก็ถึงทางเข้าถ้ำ
ลิง ลิง ลิง ลิง เต็มไปหมด ต้องคอยระวังข้าวของในกระเป๋าให้ดีเชียวล่ะ!
พอเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆก็จะเป็นช่องแบบนี้แหละ
ข้างในก็มีจุดให้ไหว้เทพต่างๆแหละ เราก็เข้าไปด้อมๆมองๆอยู่เหมือนกัน พอเดินเล่นถ่ายรูปเซลฟี่กับลิงซักพักก็ได้เวลากลับเพราะต้องกลับไปนอนพักผ่อนเตรียมบินกันอีกแล้ว (มาเที่ยวแค่แปบๆเอง เซ็งเหมือนกันนะ)
จากจุดที่ยืนอยู่ก็เห็นกัวลาลัมเปอร์ทั้งเมืองเลย บรรยากาศดี๊ดีเชียวแหละ
ระหว่างทางปีนบันไดลงมาก็มีทางแยกให้เข้าไปเดินเที่ยวในถ้ำด้วยนะ เป็นการชมถ้ำแบบเส้นทางธรรมชาติ แต่เพื่อนๆคนอื่นไม่อยากไปกันเพราะมันใช้เวลาค่อนข้างนานเลยอดได้ไปผจญภัยเลย
ลงมาด้านล่างก็พุ่งตัวไปร้านมินิมาร์ทใกล้เคียง ซื้อไอติมแพดเดิ้ลป๊อบเรนโบว์กับป๊อกกี้รสช็อคโกแลตมากินให้หายอยาก ฮืออออ คิดถึงขนมกุ๊กกิ๊กในไทยเหลือเกิน ระหว่างที่รอคนอื่นซื้อน้ำมะพร้าวขนมนมเนยก็แอบมาแช๊ะภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกนิดนึงเนาะ :P
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็โดดขึ้นรถกลับโรงแรมกัน เรากับเพื่อนอีกสองคนอยากไปถ่ายรูปตรงตึกแฝดเลยตัดสินใจเดินต๊อกแต๊กไปถ่ายรูปกันนิดนึง เสียดายมากที่ฟ้าครึ้มอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนฟ้าจะต้องครึ้ม ฝนจะต้องตกเสมอเลย ไม่เข้าใจจจจจจ นี่แอร์นะคะไม่ใช่นางแมว อะไรจะเรียกฝนขนาดเน้ โธ๊…
ถ่ายรูปมุมนี้เสร็จก็รีบเดินไปหาอะไรกินในตัวตึก เราก็ได้หนมปังกุ๊กกิ๊กกับชามะนาวมากินที่ห้อง ไม่มีแรงจะช้อปปิ้งอะไรแล้ว เหนื่อยมากเหลือเกิน มาถึงห้องก็กิน มองออกไปนอกหน้าต่างก็ฟ้าทึมๆเทาๆเหงาๆเหลือเกิน นอนดีกว่าก็เลยนอนหลับสนิทตั้งแต่สี่โมง ตื่นอีกทีตอนทุ่มครึ่ง เดินลงไปหาอะไรกินนิดหน่อยแล้วก็ขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัวเตรียมไปบิน เย๊ :D
สี่ทุ่มล้อหมุนมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างทางเราก็งีบไปด้วย เพราะกว่าเครื่องจะออกก็ตีหนึ่ง ต้องเก็บพลังไว้สำหรับทำงานบนเครื่อง ซึ่งขากลับเราก็เช็คจำนวนผู้โดยสารแล้ว พบว่าไม่เต็มลำค่าาาา แค่ 378 คนเท่าน้านนนน ดีใจเหลือเกิน รอเวลากลับบ้านที่ดูไบ
ห้าทุ่มปุ๊บเรามาถึงสนามบิน หลังจากเช็คอินกระเป๋าใบใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว ความพีคของทริปนี้ก็บังเกิดค่ะ กราวน์สตาฟวิ่งเข้ามาหากัปตันแล้วแจ้งให้ทราบว่า
เครื่องยนตร์มีปัญหา คาดว่าจะดีเลย์ 4 ชั่วโมงงงงงงงงงง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in