07 February 2016
ผ่านเดือนแรกของปี 2016 ไปแล้วนะ และจบเดือนที่สามของการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วล่ะ
ชีวิตของเราเปลี่ยนไปพอสมควรเลยหลังจากเริ่มบินแล้ว จากการที่มีตารางชีวิตแน่นอน ตื่นแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัว ทาปากแดงไปเรียนที่คอลเลจ เลิกเรียนบ่ายสามครึ่ง เดินกลับบ้าน อาบน้ำ ทำกับข้าว สไปก์ อ่านหนังสือเตรียมสอบ นอน มีวันหยุดคือทุกๆวันศุกร์และเสาร์ กลายมาเป็นชีวิตที่ต้องเข้านอนตั้งแต่ตอนบ่าย ตื่นอีกทีตีหนึ่งเตรียมตัวไปบิน เข้าห้องบรีฟ ทำงานบนเครื่อง แลนดิ้งอีกทีเจ็ดโมงที่ไหนซักแห่งบนโลก นอน ออกไปเที่ยวนิดๆหน่อย กลับมาโรงแรม นอน เตรียมไปบินอีก
บางทีก็มีงงๆเหมือนกัน ตื่นมามองเพดานแล้วถามตัวเองว่าวันนี้วันที่เท่าไร วันอะไร ที่นี่ที่ไหน กี่โมงแล้ว หรือนั่งเหม่ออยู่ในครัว คิดว่านี่เรากำลังบินไปไหน ทุกวันนี้ก็ไม่รู้วันเดือนปี รู้แค่ว่ากลับมานอนที่บ้านกี่คืน อีกกี่วันที่จะต้องไปบิน
สำหรับเรื่องสุขภาพร่างกาย ก่อนหน้านี้เราเป็นหวัดไม่สบายอยู่สัปดาห์นึง ทำให้รู้สึกตัวเลยว่าเราป่วยแล้วหายยากมากขึ้นกว่าเก่า ร่างกายเปราะบางเหลือเกินเพราะพักผ่อนน้อย กินนอนไม่เป็นเวลา ก็ต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดีขึ้น ออกกำลังอย่างจริงจังซักทีและกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย ช่วงนี้ลดการกินเนื้อสัตว์ลงเยอะมาก กินแค่เวลาไป layover เท่านั้น กลับมาดูไบกินแต่ผักๆทั้งนั้นเลย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เบื่อๆ กินแค่ไข่กับปลา ฮาาาา
นอกจากดูแลเรื่องสุขภาพกายแล้ว การรักษาสุขภาพจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ดีเป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะจากเมื่อสองเดือนที่แล้วที่เราไปเรียนที่คอลเลจ เราได้เจอเพื่อนๆในแบช ได้เจอพี่ๆคนไทย ได้คุยกันเล่นกัน นัดกันไปเที่ยวไปกินข้าว พอมาตอนนี้ทุกคนล้วนไปบิน เวลาว่างเริ่มไม่ตรงกัน จากที่เราไม่ค่อยจะเหงาเท่าไรก็เริ่มๆรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนกันนะ
บินมาเหนื่อยๆพอกลับมาถึงบ้านก็ไม่เจอใคร มีแต่ห้องว่างๆโล่งๆเงียบๆ จะนัดใครกินข้าวก็ไปบินกันหมด คุยไลน์กับเพื่อนที่ไทยทุกคนก็ทำงาน หรือแม้แต่สไปก์มันก็ไม่รู้สึกเหมือนมานั่งคุยกันจริงๆแหละเนอะ คือมันเหงาอะ มันอยากมี actual conversation กับคนจริงๆที่จับต้องได้มากกว่าการอ่านข้อความในมือถือหรือเห็นหน้ากันผ่านจอคอมพิวเตอร์
และบางทีบางไฟล์ทเรามีเรื่องอยากเล่า มีบางสิ่งอยากระบาย เช่น เจอผู้โดยสารที่เอาแต่ใจ หรือลูกเรือหรือซีเนียร์บนไฟล์ทแย่ เราก็ไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟังแหะ ไม่มีใครมานั่งปลอบนั่งโอ๋ ทุกคนไปบินและที่ไทยก็ตีสามไรงี้ ก็ทำได้แค่ไลน์บ่นๆๆๆๆๆลงในกรุ๊ป ทวิตบ่นๆบ้างตามประสา แล้วก็ไปนอน แต่ทุกครั้งตอนที่เรากลับมาจากบินเหนื่อยๆไม่ว่าจะกลับมาบ้านที่ดูไบหรือมาถึงโรงแรม ไม่ว่าเราจะเหนื่อยมากแค่ไหน อย่างน้อยเราก็จะส่งไลน์ไปบอกที่บ้านว่าถึงบ้านหรือถึงโรงแรมแล้วแล้ว อย่างน้อยเราก็รู้ว่ายังมีแม่ที่รอฟังข่าวจากเราอยู่นั่นแหละนะ
เราคิดว่าตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่เราแข็งแกร่งขึ้นมาอีกระดับแล้วนะ จัดการกับความเหงาๆเคว้งๆของตัวเองได้ดีขึ้น อยู่คนเดียวได้ เที่ยวคนเดียวเป็น พอว่างๆก็หาอะไรทำ นี่ลองทำกับข้าวหลากหลายเมนูมาก แต่กินไม่ค่อยได้เท่าไร ฮาาา ก็ฝากไว้สำหรับคนที่อยากมาเป็นแอร์ไกลบ้านนิดนึงละกันว่าชีวิตจริงมันไม่ได้สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบ มันเหงา มันโดดเดี่ยวอ้างว้างเดียวดายไร้ที่พักพิงใจนะเฮ้ย ไปสำรวจตัวเองดีๆ คุยกับตัวเองดีๆว่าไหวรึเปล่า คิดว่าอยู่คนเดียวได้มั๊ย เป็นแอร์แขกต้องไฟท์นะเธอออออ
ช่วงนี้ก็หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อยแหละ งานอดิเรกหลักๆคือดูคลิปทำอาหารในยูทูปกับซื้อหนังสือทำอาหารมาแล้วหัดทำตามกับซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสเก็ตภาพมาอ่านเพราะอยากเริ่มสเก็ตภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่ไป ใจจริงๆอยากหาคลาสออกกำลังและอยากเรียนปั้นหม้อทำเซรามิกไรงี้ เจอคลาสที่ถูกใจแล้วด้วยแต่ตารางเวลาไม่เอื้ออำนวยเลย อยากทำอะไรที่เป็น hand made อะ อยากสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาบางอย่าง แต่ก็นะ…ไว้ค่อยดูกันต่อไปก็แล้วกัน
พูดถึงเรื่องการทำงานบ้าง สำหรับเราแล้ว การเจอผู้โดยสารไม่น่ารักดีกว่าเจอลูกเรือไม่โอเค และเจอลูกเรือด้วยกันเองที่ไม่โอเคก็ดีกว่าเจอซีเนียร์ที่แย่ๆนะ ทุกวันนี้เราทำได้แต่ภาวนาว่าให้เจอลูกเรือและซีเนียร์ที่น่ารัก ผู้โดยสารจะเป็นยังไงก็ไม่เป็นไรเท่าไรหรอก จบไฟล์ทก็จบกัน แต่ไฟล์ทจะดีจะแย่ก็ขึ้นอยู่กับทีมที่ทำงานด้วยเนี่ยแหละ อย่างไฟล์ทกัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านมา ทุกอย่างพีคมาก แต่ทีมดีมากจนแทบอยากจะไปบินด้วยกันทุกไฟล์ทเลย ทำงานด้วยแล้วสบายใจมากเลยนะ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเจออะไรแย่ๆก็ตามแต่ เราก็ได้แต่ปลงๆ ดูนาฬิกานับถอยหลังกลับบ้าน และท่องไว้ในใจเสมอว่าจบไฟล์ทก็จบกัน ลาก่อน ซึ่งเราคิดว่าเป็นข้อดีของการทำอาชีพนี้อย่างนึงนะ ไม่ชอบหน้าใครเดี๋ยวเขาก็ไป ไม่เหมือนทำงานบริษัทที่จะเจอคนนี้ในที่ทำงานตลอดกาลและตลอดไปจนกว่าฝ่ายใดจะลาออก
อีกอย่างนึงคือเวลาไป layover แล้วไม่ค่อยชอบความรู้สึกก่อนจะบินกลับดูไบซักเท่าไร มันจะรู้สึกเนือยๆหงอยๆยังไงก็ไม่รู้สิ คืออยากกลับบ้านนะ อยากกลับดูไบ แต่อยากกด forward ข้ามช่วงบินไปเลยอะ ตอนทำงานมันก็โอเคแหละ สนุกสนานเหมือนอย่างเคย แต่แค่ไม่ชอบช่วงเวลานั้นเฉยๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแหะ…
อ้อ.. และตั้งแต่บินมา 3 ไฟล์ทก็โดนคนเตือนมา 2 รอบทั้งจากเพื่อนร่วมงานกันเองและเคบินซุปแล้วว่า Don’t be too nice พร้อมกับคำอธิบายว่าเป็นคนดีได้ แต่ยูดีเกินไปจนถ้าเกิดไปเจอคนที่แย่ๆจะโดนเอาเปรียบแน่ๆ จะต้องทำงานมากกว่าคนอื่น เหนื่อยกว่าคนอื่นเพราะความเป็นคนดีโอบอ้อมอารีจนเกินไป (พอเอาเรื่องนี้มาเล่าให้อาลี่เดอะรูมเมทฟัง นางเห็นด้วยกับคำเตือนมากถึงกับบอกว่าถ้าจะต้องไปซ่อนในห้องน้ำก็ต้องทำ ถ้าโดนเอาเปรียบโดนใช้งานเยอะๆ) คือช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่ว่าไปทำแทนเขาซะทั้งหมด อย่างคอลจากผู้โดยสารก็สลับๆกันไป ไม่ใช่ว่าปิ๊งป่องมาแล้วเราลุกเดินไปเลย มันต้องช่วยกัน (แต่ทุกครั้งที่มีคอล เรามักจะเดินไปรับคอลก่อนตลอดนะ เด็กใหม่ก็งี้แหละ แอคทีฟเกิ๊น) แล้วก็ให้ระวังคนที่ต่อหน้ามาทำเป็นพูดดีแล้วลับหลังเอาเราไปนินทา นอกจากนินทาเฉยๆไม่พอ มีบางเคสทั้งปั้นน้ำเป็นตัวแต่งเรื่องมาด้วยซ้ำ เราก็เออออกับเขาไปแล้วก็คงจะต้องระวังตัวไว้นิดนึงแหละมั๊ง
อัพเดตสั้นๆก็เท่านี้แหละมั๊ง คิดอะไรไม่ออกแล้ว ง่วง เที่ยวในดูไบก็ไม่ค่อยได้ไป ไม่มีเวลาอะไรเท่าไรเลยเพราะใช้กับการนอนหลับพักผ่อนเป็นส่วนใหญ่ นอนยังไม่ทันหายเหนื่อยต้องจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปบินอีกแล้วล่ะ สู้แหละนะ เย๊เฮ
เดี๋ยวบล็อกเกี่ยวกับไฟล์ทกัวลาลัมเปอร์ที่ไปบินล่าสุดจะตามมาเร็วๆนี้ จะพยายามเขียนไฟล์ทต่อไฟล์ทเพราะถ้าทิ้งไว้นานๆมันจะดองค้างไว้และไม่ได้เขียน ส่วนไฟล์ทต่อไปที่จะไปบินคือดับลิน ไอร์แลนด์จ้า ตื่นเต้นมาก ขอให้ไม่โดนถอดกลางอากาศนะ สาธุ อยากไปเหลือเกิน
ด้วยรัก...และคิดถึงเสมอจากดินแดนทะเลทราย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in