เพราะสายฝนทำให้เราได้มาพบกัน
ในวัยเด็ก เรารู้สึกฤดูฝนเป็นช่วงที่เราไม่ค่อยจะชอบใจนัก การมาถึงของฤดูนี้นั้นมาพร้อมกับโรงเรียนเปิดเทอม รองเท้าที่เฉอะแฉะและถุงเท้าที่เปียกชื้น แถมฝนตกแล้วไม่สนุกเลย ออกไปเล่นข้างนอกไม่ได้ (แม้ใจจะอยากเล่นน้ำฝนแต่ก็กลัวโดนตี) อากาศก็ชื้น ๆ แถมถ้าฝนตกตอนเย็นนั้นหมายถึงหายนะทางการจราจรในกรุงเทพมหานคร รถติดจนต้องควักเอาสมุดการบ้านมาทำในรถ หลับไปหลายตื่นก็ยังไม่ถึงบ้านเลย หากจะมองหาข้อดีก็คิดว่ามีเพียงข้อเดียวคือเวลาฝนตกแล้วอากาศเย็น นอนหลับสบาย บรรยากาศรอบกายชวนให้ขี้เกียจ อยากจะม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งวันนั่นแหละค่ะ
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนตามไปด้วย กลายเป็นว่าฤดูฝนนั้นเป็นฤดูที่เราชอบมากที่สุดแล้วค่ะ อาจเพราะเราไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอฝนบ่อยครั้งนัก (แน่ล่ะ...ก็ย้ายถิ่นมาอยู่เมืองทะเลทรายนี่นะ) ฉะนั้นเวลาเจอฝนเราจะรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ เพราะทุกอย่างรอบตัวล้วนชวนให้เย็นใจไปหมด เห็นต้นไม้สดชื่นก็ดีใจ นั่งมองสายฝนผ่านบานหน้าต่างไปพร้อม ๆ กับจิบชาอุ่น ๆ ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแล้วดื่มด่ำกับความสุขเล็ก ๆ ง่าย ๆ และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือเวลายื่นมือออกไปรับน้ำฝนแล้วมันรู้สึกดีลึก ๆ ในใจอย่างประหลาด (อนึ่ง...หากฝนตกในวันที่เรากลับกรุงเทพแล้วติดแหงกอยู่กลางถนนหรือเบียดอยู่ในรถไฟฟ้าก็ไม่ชอบอยู่เหมือนเดิมแหละค่ะ)
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เรานึกขอบคุณสายฝนที่ตกลงมาได้ถูกที่ ถูกเวลาค่ะ
หลังจากออกมาจากแกลอรี่แล้ว เราก็ตั้งใจว่าจะเดินต๊อกแต๊กถ่ายรูปตึกต่อไปตามประสา แล้วค่อยเรียกรถกลับโรงแรม ในใจก็คิดว่าอาจจะไปแวะที่ชเวดากองกอ่นเพราะตอนนั้นเพิ่งจะบ่ายโมงนิด ๆ เอง แต่จู่ ๆ ฝนก็เทลงมาเหมือนฟ้ารั่วค่ะ ดีที่ก่อนออกมาฉุกใจคิดหยิบร่มติดมือออกมาด้วยเลยไม่ค่อยเปียกเท่าไรนัก เราพยายามลัดเลาะเดินหลบไปตามซอกตึกต่าง ๆ มือนึงถือร่มพร้อมกับกอดกระเป๋าผ้าไว้ อีกมือนึงก็พยายามกดมือถือเพื่อเรียกรถมารับ แต่ตอนนั้นเหมือนสัญญาณจาก pocket wifi ขาดหายเลยต่อเน็ตทำอะไรไม่ได้เลย
เราเดินมาสุดถนน พยายามสอดส่ายสายตาหารถแท็กซี่ก็ไม่มีผ่านมาเลยซักคนจนใจเริ่มฝ่อแล้ว ก็ไปป๊ะสบสายตากับคุณพี่ที่เปิดแผงขายหมากในซอกตึกหนึ่งที่กำลังยกของหลบฝนเหมือนกัน เราเลยทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด ขอกระดึ๊บไปหลบฝนกับเขาด้วย เผื่อว่ายืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่แล้วสัญญาณไวไฟจะกลับมา เหลือบซ้ายแลขวาก็พบป้ายเขียนว่าชั้นบนเป็นร้านกาแฟ... แม้ว่าไวไฟจะได้ทอดทิ้งเราแล้ว แต่ฟ้ายังคงเมตตาให้หลงมาเจอร้านกาแฟล่ะวะ ลองเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน
เดินดุ่ม ๆ เข้ามาก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่ามันเป็นตึกร้างรึเปล่าวะ
สภาพเหมือนในบุพผาราตรีเลยจ้า แอบน่ากลัว
แต่ป้ายเขาเขียนว่าให้ขึ้นไปก็เลยใจกล้าเดินต่อ
Pansodan Scene Art Cafe เจ้าค่ะ
เจ้าของเดียวกันกับแกลลอรี่ที่เราแวะเข้าไปแหะ
คนต่างถิ่นหน้าตาผู้อยู่ ๆ มาปรากฎตัวหน้าประตูร้านในสภาพเปียกครึ่งนึง แห้งดีอยู่ครึ่งนึงทำให้คนในร้านที่กำลังนั่งล้อมวงคุยกันเงียบเสียงลงระยะหนึ่งก่อนที่จะหันหน้ากลับไปคุยกันตามเดิม (เหมือนเขากำลังจัดงานเสวนากันอยู่แหละ แล้วอยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็โผล่พรวดเข้าไปกลางวงเสียอย่างนั้น) ไอ้เราก็ดูท่าว่าร้านเขาเปิดรึเปล่าวะ เข้ามาถูกจังหวะหรือเปล่า ก็งก ๆ เงิ่น ๆ พยายามบิดน้ำออกจากร่มให้ได้มากที่สุดแล้วก็เดินตัวลีบ ๆ เข้าไปนั่งจ๋อง ๆ ที่มุมนึงของร้าน
คุณพนักงานก็ยิ้มแย้มเอาเมนูมาให้แล้วก็พูดกับเราเป็นภาษาพม่า พอเราตอบกลับเป็นอังกฤษเขาก็หันซ้ายหันขวาแล้วไปลากคุณอีกคนนึงมาแทน คุณคนใหม่เขาก็บอกว่าเนี่ย ตอนแรกคิดว่าเราเป็นคนที่นี่ ขอโทษด้วยที่ตอนเราเข้าร้านมาไม่ได้ต้อนรับ วันนี้ร้านเปิดตามปกตินะ สั่งอาหารได้เลยแต่บางเมนูทำไม่ได้นะเออเพราะพ่อครัวลาป่วยจ้า
ฝนด้านนอกลงเม็ดหนักขึ้นทุกที
บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยงานศิลปะรอบตัวค่ะ ดีมาก
เราสั่งกาแฟแล้วก็ระเห็จตัวเองขึ้นไปนั่งบนชั้นลอยของร้าน เพราะดูท่าว่าวงเสวนางานศิลป์ต้องการขยับขยายพื้นที่ และแม้ว่าสัญญาณไวไฟจะกลับมาแล้วเราก็เลือกที่จะหยิบเอาหนังสือที่ถือติดมือมาด้วยออกมาวางแปะไว้บนโต๊ะ หยิบปากกาออกมาเขียนสั้น ๆ ใส่สมุดเล่มเล็กที่เพิ่งซื้อมาเป็นโน้ตทิ้งไว้เกี่ยวกับความรู้สึกของเรา ณ ขณะนี้ในช่วงเวลาที่เรานั่งฟังเสียงฝนสาดกระทบกับหน้าต่างปนไปกับเสียงพูดภาษาต่างถิ่นที่เราไม่เข้าใจ
จะว่าเหงาก็ไม่ใช่นะคะ เพราะมีความอุ่นลึกอยู่ใจอย่างประหลาด ซึ่งอาจเพราะสายฝนทำให้อารมณ์อ่อนไหว ประกอบกับบรรยากาศทุกอย่างรอบตัวช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน ทั้งเสียงฝนและเสียงคน กลิ่นอากาศชื้นชวนชื่นใจผสมปนไปกับกลิ่นสี หรือแม้แต่กาแฟธรรมดาที่หนักน้ำตาลไปหน่อยแต่ก็โอเค ด้วยเหตุที่ทุกอย่างรอบกายมันรวมกันแล้วมันพอดีไปหมดเลย ตรงจุดวินาทีนั้นเลยกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีต่อใจค่ะ
เหมือนกับว่าเราค้นพบกับที่นี่ในจังหวะเวลาที่พอเหมาะ เป็นความบังเอิญที่นึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะถ้าฝนไม่ลงเม็ด เราก็คงเดินเลยผ่านตึกนี้ไปแล้ว
ขอบคุณสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาในยามบ่ายของวันนี้
ที่พาให้เราได้มาพบกับร้านกาแฟแห่งนี้ค่ะ
วันฝนพร่ำมันดีอย่างนี้นี่เอง
:)
กาแฟก็เนสเล่ธรรมดานี่แหละค่ะ ไม่ได้ฟู่ฟ่าอลังการแต่อย่างใด
เรานั่งอ่านหนังสือไปซักพักก็เงยหน้าขึ้นมา
เพราะมีคนหยิบกีต้าร์มาดีดคลอกับเสียงฝนค่ะ
ทำให้บรรยากาศทุกอย่างยิ่งดีแสนดียิ่งขึ้นไปอีก
ก่อนเราจะกลับออกมาก็มีคนมาดีดเปียโนด้วยแหละ
นั่งยาวจนถึงเวลาประมาณห้าโมงก็เรียกรถกลับค่ะ
ยืนต่อราคากลางสายฝนไปอีก สนุกดี
ระหว่างทางกลับฝนตกไม่หยุดและรถติดมาก
เรากลับถึงโรงแรมประมาณทุ่มกว่า ๆ เลย
โชคดีที่ขากลับได้นั่งเป็นผู้โดยสาร เลยไม่ต้องนอนก่อนไปบินค่ะ
เจดีย์ชเวดากอง
หวังว่ารอบหน้าเราจะได้เข้าไปเยี่ยมชมความงดงามนะคะ
และนี่ก็คือเรื่องเล่าในวันฝนพร่ำของเรา
กับการมาเยือนกรุงย่างกุ้งเป็นครั้งแรก
ที่ทำให้เราตกหลุมรักและอยากกลับมาเที่ยวที่นี่อีกในโอกาสต่อไป
หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในเร็ววันนี้
:)
ด้วยรัก...จากทะเลทราย
(ที่ไม่ค่อยมีฝน)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in