IAH - ไฟล์ทแรกเก๋ไก๋ เราไปฮูสตัน
ในเรื่องบางเรื่อง การที่เรารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นมันก็เป็นเหตุแห่งความทุกข์ และเรื่องบางเรื่องนั้น การที่เราไม่รู้ก็เป็นบ่อเกิดของความทุกข์พ่วงด้วยอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย จิตใจกระวนกระวาย ซึ่งอาการเป็นทุกข์เพราะความไม่รู้นี้เกิดขึ้นกับเราในตลอดช่วงที่ผ่านมานี่แหละค่ะ
เราเริ่มช่วงรีเสิร์ฟด้วย Home Standby ตั้งแต่ตีสามจนถึงสิบโมงเช้าค่ะ สำหรับการสแตนด์บายประเภทนี้นั้น เราจะนอนรอโชคชะตาฟ้าลิขิตอยู่ที่บ้าน ไม่ควรออกไปเริงร่าท้าลมร้อนที่ไหนเพราะเราจะเป็นมนุษย์ตัวสำรองกลุ่มแรกที่ทาง Crew Control เรียกดึงตัวให้ไปบินเพราะมีเวลาเตรียมตัวมากกว่า ไม่ได้กระชั้นชิดรีบด่วนอะไรนัก
และหวยก็ออกที่ไฟล์ทฮูสตัน!
ตอนแรกที่เห็นตารางบินเปลี่ยนเป็นไฟล์ทนี้คือมึนเหมือนโดนน็อคไปเลย โห... ไฟล์ทแรกก็โดนไปยูเอสเลยหรอว้า ไม่ไปได้ไหม ไม่ทำได้รึเปล่า ไปมาทุกเดือนแล้วเนี่ย เหนื่อยเหลือเกิน ต้องแห้งตายอยู่บนเครื่องแน่นอน แถมบินด้วย A380 ด้วย เวลาพักไปนอนต้องน้อยมากแน่ ๆ เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งนอยด์ ใจมันก็ยิ่งหดเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปห้องบรีฟนั่นแหละค่ะถึงปรับอารมณ์ได้ ยิ้มให้ลูกเรือฮ่องกงที่เป็นเอเชียนเพียงหนึ่งเดียวในอีโค นัยว่าเราจะตัวติดกันในไฟล์ทนี้นะจ๊ะ เราจะสู้ไปด้วยกัน แต่ปรากฎว่าตอนที่เช็คเอกสารการเดินทางและบัตรต่าง ๆ นั้น ซีเนียร์ก็บอกว่า...
Ploy, you'll be working in business class on this flight.
What?! บิสเนสคลาสสสสสสสสสสส เอาจริงดิ ทำจริงดิ ยูแน่ใจนะ ฉิบหายแล้วชีวิตนี้! เราว่าจุดนั้นเราคงทำหน้าช็อคเหมือนน้องหมาที่ข้ามถนนแล้วโดนตบไฟสูงใส่อะค่ะ แบบซีเรียสลี่ ไอโนน็อตติงยิ่งกว่าจอห์น สโนว์อีกนะเฟ้ย สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บของแบบเงียบ ๆ หันมองหน้าลูกเรือฮ่องกงว่าฉันไปละนะ เขาก็มองกลับมาแบบตาละห้อยว่าอ้าวววววววว ไปแล้วเร้อออออ และเดินตัวลีบ ๆ ไปแนะนำตัวกับกลุ่มบิสเนสแบบตัวเกร็ง
ตอนแรกเขาก็เถียงกันว่าจะให้ยัยอีโคนี่ไปทำงานตำแหน่งไหนดี จะให้ยืนเลาจ์มั้ย หรือจะยังไงดี ซึ่งเราก็แล้วแต่เขาเลย ตามที่ทุกคนเห็นสมควร เพราะเราไม่รู้จริง ๆ ว่าโลกข้างบนเขาทำงานอะไรกันยังไงบ้าง ลูกเรือสิงคโปร์ (แดฟนี่) ก็บอกว่าไม่เป็นไร วันนี้โหลดมันไม่เต็ม ให้เราทำงานเป็นบัดดี้กับเขาอยู่ในเคบินด้วยกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องสลับตำแหน่งงานอะไรกันให้วุ่นวาย
เป็นไงก็เป็นกัน สู้!
ซึ่งการทำงานใน premium cabin นั้นเป็นโลกใบใหม่มาก ๆ ค่ะ a whole new world ที่สุด ซึ่งดีมาก เราชอบมากมากมากมากมาก ได้ลองทำอะไรใหม่หลายอย่าง เรียนรู้สิ่งใหม่เยอะแยะ เลยทำให้รู้สึกว่ามันท้าทายความสามารถของตัวเองดี ส่วนตัวเรานี้ก็ใช้ชีวิตอุดอู้อยู่ในอีโคมา 3 ปีกับ 7 เดือนแล้ว มันเป็นการตื่นมาทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ในทุกไฟล์ทจนแทบจะหลับตาทำได้แล้วล่ะ ซึ่งยอมรับกันตรง ๆ ว่านี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ Burnout เหมือนกันนะ
เรารู้สึกว่าชีวิตมันต้องการความก้าวหน้าทางอาชีพการงานและอยากได้ความท้าทายใหม่ ๆ บ้าง การที่ทุกวันทำสิ่งเดิมนั้นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พัฒนาตนเองเท่าไรเลยค่ะ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในแต่ละวันคือทีมลูกเรือและผู้โดยสารหน้าใหม่ที่แสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารพร้อมเรื่องราวอัศจรรย์ใจในทุกวันเท่านั้นเอง
การได้มีโอกาสามาลองทำงานในบิสเนสคลาสบนไฟล์ทนี้ ทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองดี ๆ อีกทีว่าเรามีความสุขกับงานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้มั้ย อยากขึ้นมาทำงานในคลาสนี้รึเปล่า ซี่งคำตอบก็คือใช่ค่ะ
ทำงานทั้งในเคบินและมายืนชงเครื่องดื่มในเลาจ์ค่ะ
มีอะไรให้ลองทำก็ลองหมด สนุกมาก ลูกเรือน่ารัก ใจดี ช่วยเหลือทุกอย่างเลย
เรายังคงชอบที่จะทำอาชีพนี้ ยังสามารถหาความสนุกและความสุขในระหว่างการทำงานได้แม้ว่าจะขี้เกียจไปบ้าง มีช่วงจ๋อยที่ทำให้กร่อยอยู่ในใจประปราย แต่ก็สามารถให้กำลังใจตัวเองได้อยู่ ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่บินไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยไป รักที่จะพูดคุย แลกเปลี่ยน รับฟังเรื่องราวชีวิตของคนแปลกหน้าที่พบกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดตัดเล็ก ๆ ในช่วงชีวิตของกันและกัน และยังคงชอบที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนความสูง 40,000 ft. อยู่ค่ะ
การที่เราจะหาอะไรที่เราจะหาว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรให้เจอนี่มันยากนะคะ มันเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่จะต้องทำไปตลอดชีวิตนั่นแหละ เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และตอนนี้เราค้นพบแล้วว่าเราทำสิ่งนี้ได้ดีและมีความสุข เท่านี้ก็โอเคแล้วค่ะ ให้พรุ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคตนั่นแหละนะ ขอแค่อย่าเอามาตรวัดความสุขและความสำเร็จของคนอื่นมากดดันตัวเองก็พอแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้มีเรื่องน่าประทับใจสั้น ๆ เกี่ยวกับผู้โดยสารขากลับจากฮูสตันค่ะ คุณลุงแกเป็นคนจากอาบูดาบีค่ะ ตอนแรกแกแวะเข้ามาขอกาแฟในเลาจ์ เราเลยนำเสนอขนมเค้กให้ไปทานคู่กัน และชวนคุยเรื่องประเทศไทย เพราะแกชอบไทยแลนด์ม๊ากมาก เมื่อก่อนจะพาครอบครัวมาเที่ยวทุกปีเลย คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าคุณลุงแกไปฮูสตันเพราะไปรักษามะเร็ง ต้องจากบ้านไปร่วมปี ตอนนี้หายดีกลับมาเป็นปกติแล้วก็เลยกลับบ้าน ช่วงเวลาที่อยู่ที่อเมริกานั้นก็มีลูกสาวไปดูแลค่ะ
และสิ่งที่ทำให้เราแอบมีความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ต้องแอบไปซับน้ำตานิดหน่อย คือตอนที่เราถามแกว่าตอนอยู่ที่นั่น คงคิดถึงครอบครัวมากเลยนะ แกก็พยักหน้ารับ พอถามว่าคิดถึงใครมากที่สุด แกก็ตอบว่าคิดถึงภรรยามากที่สุดค่ะ แล้วก็สังเกตว่าตาแกมีประกายวิบวับและแอบมีน้ำตาคลอนิดหน่อย เราก็เลยซาบซึ้งกับคุณลุงแกตามไปด้วยนั่นเอง
ก่อนที่เครื่องจะแลนด์ถึงเมืองทะเลทราย เราก็เดินไปลาแกก่อนที่จะเดินไปนั่งที่จั๊มพ์ซีท บอกไปว่าขอให้ยูกลับมาแข็งแรงไว ๆ แล้วพามาดามมาเที่ยวเมืองไทยอีกนะ :-)
เพราะเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้อบอุ่นในหัวใจนี่แหละค่ะ
คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงรักในอาชีพนี้นัก
การท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงแต่การเดินทางเอาสองเท้าออกไปเกาโลกเท่านั้น
แต่รวมถึงการท่องไปในความคิด ในจิตใจของคนด้วย
ที่ในบางครั้ง บางบทสนทนาก็เป็นการเปิดโลกและเปิดใจของเรา
ให้ค้นพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิตก็เป็นได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in