เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
รวมมิตรเดือนรีเสิร์ฟ


  • 10 June - 10 July 2019






    สวัสดีค่า♡

    ห่างหายกันไปนานม๊ากมากจากการเขียน ด้วยรักจากทะเลทราย เลยเนอะ วันนี้ก็ฤกษ์งามยามดีได้กลับมาเขียนเล่าชีวิตของแอร์ทะเลทรายให้มิตรรักนักอ่านให้ติดตามถึงความเป็นไปแล้วนะคะ



    ความจริงแล้วเราบินไปนั่นนู่นนี่โน่นโน้นเยอะแยะมากมายและล้วนเป็นสถานที่ใหม่ ๆ ทั้งนั้นเลย แต่จะอัพภาพลงในอินสตาแกรมเท่านั้นเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ไปทำมันเขียนเล่าให้อ่านค่อนข้างยาว (เช่น การไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่แอลเอ มาเป็นสตอรี่ เล่าไม่ไหวเน้อ) หรือไปมาแล้วแต่ยังรวบรวมข้อมูลมาเขียนยาว ๆ ไม่ได้ (เช่น ภูเก็ต เซี่ยงไฮ้ และ สตอกโฮล์ม) ซึ่งนี่คือกลุ่มที่เราคิดว่าจะต้องต้องบินไปซ้ำอีกครั้งหนึ่งถึงจะกลับมาเล่าได้ค่ะว่าทำอะไรบ้าง :)



    แต่สำหรับตอนนี้นั้น เราจะมาเล่าเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนี้ให้อ่านกัน เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน จนถึง 10 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ เดือนรีเสิร์ฟ ของเราค่ะ







    อะไรคือเดือนรีเสิร์ฟ?



    เดือนรีเสิร์ฟ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ช่วงเวลาใช้กรรม ค่ะ กล่าวคือในเดือนนี้เราจะไม่ได้รับตารางบินตามปกติ แต่จะเว้นว่างไว้เป็นสแตนด์บายไว้แล้วแต่ทางทีม Crew Control จะเรียกใช้งานในกรณีที่มีลูกเรือลาป่วยหรือมีเหตุ Operational Reasons อื่น ๆ เกินขึ้นกระทันหัน เหมือนเป็นทีมตัวสำรองกรณีที่ผู้เล่นตัวจริงบาดเจ็บอะไรประมาณนี้ล่ะค่ะ บางคนโดนรีเสิร์ฟเต็มเดือน คือเริ่มวันที่ 1 จบวันที่ 1 ในเดือนถัดไป หรือถ้าเป็นอย่างเราคือเป็นคนครึ่ง ๆ กลาง ๆ คือเริ่มวันที่ 10 และจบวันที่ 10 ของอีกเดือนนึงนั่นเอง









    แล้วช่วงชีวิตติดรีเสิร์ฟที่ผ่านมาของเรานั้นเป็นอย่างไร
    ตามมาอ่านกันได้เล้ย :D





















  • 3 ไฟล์ทติดกันก่อน 30 วันอันตราย




    ด้วยความที่เราเริ่มรีเสิร์ฟวันที่ 10 เลยมีติ่งตารางบินช่วงต้นเดือนมาให้พอใจชื่นขึ้นบ้างเพราะพอจะรู้อนาคต มีเวลาทำใจและสามารถเอาไฟล์ทช่วงต้นนี้ไปแลกได้ ไม่ใช่เปิดตารางตู้มมาแล้วเจอแต่ความว่างเปล่า ใช้ชีวิตตลอดทั้งเดือนตามแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา




    เราเริ่มต้นเดือนมิถุนายนด้วย SKT - เซียลคอต ปากีสถาน ค่ะ ซึ่งสำหรับเราแล้วโดยส่วนตัวคิดว่าแขกปากีสถานเป็นแขกที่ก็โอเคนะ ไม่ได้รักในการดราม่าคอมเพลนจัดหนักเหมือนกับอินเดียในบางไฟล์ท หรือไม่ได้วุ่นวายแบบไฟล์ทไปบังกลาเทศ ก็คิดซะว่าไปสู้ สามชั่วโมงไป สามชั่วโมงกลับ ออกจากบ้านเที่ยงคืน ถึงบ้านอีกทีเที่ยงวันก็ทำไป คงไม่มีอะไรหรอกมั้งนะ...








    แต่ถ้ามันไม่เรื่องให้พีค มันก็ไม่ใช่ไฟล์ทแขก!!








    เรามีชุดความเชื่อเกี่ยวกับเด็กอยู่ประการหนึ่งว่า เด็กไม่ใช่ผ้าขาว ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นผ้าดำ เพราะเด็กจะทำตามสัญชาตญาณแรกเริ่มของมนุษย์ที่จะเอาชีวิตรอด หิวก็ร้อง ป่วยก็ร้อง จะเอานั่นเอานู่นเอานี่ก็ร้อง จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะคอยอบรมสั่งสอน คอยขยี้ซักผ้าดำนั้นให้เปลี่ยนเป็นอื่น (เพราะแน่ล่ะ ไม่มีใครในโลกที่เป็นผ้าขาวสะอาดหรอก ทุกคนเริ่มเปลี่ยนสีไปตามสภาพแวดล้อม สังคม และประสบการณ์ชีวิต)


    แต่ในโลกนี้ก็มีพ่อแม่บางประเภทที่สักแต่ว่ามีลูกเพื่อมาดำรงเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ แต่ไม่ได้สอนสั่งอะไรเด็กเลย หรือถึงสอนก็ไม่ได้อบรมบ่มนิสัยให้ได้ดีพอ ซึ่งพ่อแม่และเด็กประเภทนี้นั้นสามารถพบเจอได้ทั่วไปตามไฟล์ทแขกต่าง ๆ ทั้งแขกกัลฟ์และแขกเอเชียใต้ (เคยเจอพอแม่เอาลูกอมให้ลูกเล็ก ๆ กินบ้าง เอาน้ำตาลห้าซองใส่ชาให้ลูกดูดจากขวดนมบ้าง หรือเคสที่ร้ายแรงที่สุดคือลูกหิวไส้จะขาด ปวดท้อง ร้องไห้ ก็ไม่ยอมซื้ออะไรให้เด็กรองท้องเพราะจะรอมาเอาของกินบนเครื่อง อันนี้โกรธมาก ปรี๊ดจริง)


    แต่นั่นมันก็เรื่องครอบครัวเขา ขอไม่ยุ่งเกี่ยว จบไฟล์ทก็จบกัน ปล่อยไปตามยถากรรมก็แล้วกัน อย่างมากก็แค่หงุดหงิดรำคาญใจว่าเจ้าเด็กนี่มันน่านัก ทำไมพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนบ้าง แล้วก็ละเหี่ยใจขึ้นมาว่าเจ้าเด็กพวกนี้ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ในภายหน้า ก็จะวนลูปผลิตประชากรโลกแบบนี้ขึ้นมาอีก โอ้ย ปวดใจเหลือเกิน...



    หลังจากอารัมภบทมานานแล้วก็ขอเข้าเรื่องเสียที มาจะกล่าวบทไปถึงผู้โดยสารมหัศจรรย์นวันนี้ เป็นเรื่องราวของเด็ก ๆ ในไฟล์ทเซียลคอตเจ้าค่ะ อย่างที่บอกไปว่าไฟล์ทแขกเด็กเยอะ เราก็เจอเด็กก็ร้องเอาน้ำอัดลมกันวุ่นวาย ดีดนิ้วเรียกแบบมรรยาทแย่ (ก็พยายามคิดว่ามันอาจเป็นวัฒนธรรมเขาที่เราไม่เก็ต)  ก็เออ เรื่องแก ลูกแก จะทำอะไรก็เรื่องของแกเถอะ เล่นอะไรเลอะเทอะ ทิ้งเศษขยะเศษขนมไว้เต็มพื้นก็เรื่องของแกเถิด แต่ความพีคที่อยากจะกรี๊ดใส่หน้าแม่เด็กในไฟล์ทคือ... 





    มันมีอยู่ครอบครัวนึงที่เด็กควักเอา “เสื้อชูชีพ” มาใส่หัวแล้วกระตุกสายให้เสื้อมันพองจ้าาาา




    โอ้โหหหหหห ถ้าจะมองในมุมขำคือไอ้เจ้าตัวกระเปี๊ยกกลุ่มนี้ตั้งใจดู safety video ดีมาก รู้ว่ากระตุกสายไหนเสื้อชูชีพถึงจะพองลม แต่หนูลู้กกกกกกก มันไม่ใช่ของเล่นเว้ย แล้วที่ทำให้อารมณ์เสียหนักเลยคือตัวแม่คือไม่สนหินสนแดดดินฟ้าอากาศอะไรใด ๆ ทั้งนั้น นั่งดูทีวี พอลูกเรือเดินไปบอกก็ตอบแค่ว่า อ้อ งั้นหรอ... They're just kids. They're playing. แล้วก็ไม่อินังขังขอบใด ๆ ไม่แม้แต่จะช่วยเอาหัวลูกตัวเองออกจากเสื้อ... จนเราต้องเป็นคนค่อย ๆ เอาลมออกแล้วดันหัวน้องหนูให้







    เด็กซนคือเด็กฉลาด
    แต่พ่อแม่ประสาททำให้เด็กเวร





    ยัง ยังไม่หมดความป่วงเพียงเท่านี้ ยังมีอีกจ้า เพราะตอนจะแลนด์ เจ้าพวกลิงทโมนนี่ไม่ยอมคาดเข็มขัด เราก็พร่ำบอกพ่อบอกแม่ว่าเฮ้ย เอาลูกแกคาดเข็มขัดด้วยจ้า อย่าเดินไปมา เด็กก็ไม่ฟัง แม่ก็ไม่ใส่ใจ นี่เลยลุกไปจับเด็กนั่งแล้วคาดเข็มขัด เด็กก็มองหน้าอย่างท้าทายยยยยยยยยยยยยยยยย จุดนั้นคืออยากรูดก้านมะยมแล้ววววววว แต่ไม่ได้เอาไว้ตีเด็กนะ ตีพ่อตีแม่นี่แหละจ้า

    พอเราหันหลังกลับ ยังไม่ทันจะนั่งลงไปแตะจั๊มซีท อยู่ ๆ เครื่องก็วูบลงมาจ้า ทั้งเด็กทั้งแม่ก็กรี๊ดดดดด ในใจเราก็คิดว่าถ้าช้าไปวิเดียว นังหนูนี่ลอยติดเพดานแล้วแน่ ๆ









    ตัดจบไปกับไฟล์ทปากีที่ทำกี่ทีก็มีแต่เรื่องให้จดจำ ไฟล์ทต่อมาของเรานั้น ความจริงแล้วเราจะได้ไป ลิสบอน โปรตุเกส ค่ะ ซึ่งเราเองก็อยากไปม๊ากมาก แต่ติดที่ว่ามันจะรีเสิร์ฟแล้วอะ ไม่รู้อนาคตว่าจะไปในทิศทางใด ไม่รู้วาจะได้กลับไปเจอหน้าคนที่เรารักเมื่อไรกันแน่ เลยกลั้นใจแลกเป็นไฟล์ท กรุงเทพ มาแทนค่ะ และไม่ว่าไฟล์ทจะหนัก จะเหนื่อยแค่ไหนก็สู้ทน รู้สึกเหมือนอยู่ ๆ ก็มีพลังใจพิเศษให้สามารถฝ่าฟันไฟล์ท 6 ชั่วโมงข้ามผืนทะเลและแผ่นดินมาสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิ







    สุดใดเล่าจะเท่าการได้กินข้าวเหนียมหมูปิ้ง!







     (แต่ตอนขากลับก่อนเวคอัพคอลแอบน้ำตาไหลเพราะฟังเพลง อยู่นาน ๆ ได้ไหม - SIN ฮือ ไม่อยากกลับเลย ไม่อยากเริ่มรีเสิร์ฟด้วย เหมือนจะเคยชินกับการจากลาแบบชั่วคราว แต่บางทีก็มีจุดที่จิตใจไหวหวั่นเหมือนกันนะคะ)












    จบจากกรุงเทพเราก็บินไป อิสตันบูล ตุรกี ค่ะ นี่ก็เป็นอีกไฟล์ทหนึ่งที่เขาว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน เพราะไฟล์ทไทม์ยาวมาก แล้วบินไปกลับไม่ได้พักค้างแต่อย่างใด และถือว่าเป็นโชคดีที่ได้ตำแหน่งแกลลี่ควีนกลับคืนมาเสียทีหลังจากที่ไม่ได้แตะงานในครัวมานานแสนนานแล้ว เพราะทีมไม่ค่อยน่ารักเท่าไรเลยค่ะ มีลูกเรือบิสเนสคลาสที่มาทำงานในอีโคแล้วแอบขี้เกียจ แอบอู้ตลอดเวลาจนอยากจะกรี๊ดใส่หน้า ซีเนียร์ก็ไม่จูนเลย ทำงานแปลก ๆ ชวนให้หงุดหงิดงุ่นง่านในใจตลอดเวลา เจอผู้โดยสารเยอะใส่เราไม่ว่าแต่ถ้าเจอทีมงงนี่ไม่โอเค เหนื่อยแบบดับเบิ้ลเหนื่อยมากกว่าเดิมไปอีก เดชะบุญที่มีลูกเรือจากเนปาลเป็นคู่หูคู่คิด ไม่งั้นชีวิตจะต้องกร่อยมากแน่










    และในลำดับต่อไปจะเป็นชีวิตในช่วงที่ไม่มีตารางบินค่ะ :)



















  • IAH - ไฟล์ทแรกเก๋ไก๋ เราไปฮูสตัน



    ในเรื่องบางเรื่อง การที่เรารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นมันก็เป็นเหตุแห่งความทุกข์ และเรื่องบางเรื่องนั้น การที่เราไม่รู้ก็เป็นบ่อเกิดของความทุกข์พ่วงด้วยอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย จิตใจกระวนกระวาย ซึ่งอาการเป็นทุกข์เพราะความไม่รู้นี้เกิดขึ้นกับเราในตลอดช่วงที่ผ่านมานี่แหละค่ะ



    เราเริ่มช่วงรีเสิร์ฟด้วย Home Standby ตั้งแต่ตีสามจนถึงสิบโมงเช้าค่ะ สำหรับการสแตนด์บายประเภทนี้นั้น เราจะนอนรอโชคชะตาฟ้าลิขิตอยู่ที่บ้าน ไม่ควรออกไปเริงร่าท้าลมร้อนที่ไหนเพราะเราจะเป็นมนุษย์ตัวสำรองกลุ่มแรกที่ทาง Crew Control เรียกดึงตัวให้ไปบินเพราะมีเวลาเตรียมตัวมากกว่า ไม่ได้กระชั้นชิดรีบด่วนอะไรนัก







    และหวยก็ออกที่ไฟล์ทฮูสตัน!





    ตอนแรกที่เห็นตารางบินเปลี่ยนเป็นไฟล์ทนี้คือมึนเหมือนโดนน็อคไปเลย โห... ไฟล์ทแรกก็โดนไปยูเอสเลยหรอว้า ไม่ไปได้ไหม ไม่ทำได้รึเปล่า ไปมาทุกเดือนแล้วเนี่ย เหนื่อยเหลือเกิน ต้องแห้งตายอยู่บนเครื่องแน่นอน แถมบินด้วย A380 ด้วย เวลาพักไปนอนต้องน้อยมากแน่ ๆ เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งนอยด์ ใจมันก็ยิ่งหดเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปห้องบรีฟนั่นแหละค่ะถึงปรับอารมณ์ได้ ยิ้มให้ลูกเรือฮ่องกงที่เป็นเอเชียนเพียงหนึ่งเดียวในอีโค นัยว่าเราจะตัวติดกันในไฟล์ทนี้นะจ๊ะ เราจะสู้ไปด้วยกัน แต่ปรากฎว่าตอนที่เช็คเอกสารการเดินทางและบัตรต่าง ๆ นั้น ซีเนียร์ก็บอกว่า...








    Ploy, you'll be working in business class on this flight.







    What?! บิสเนสคลาสสสสสสสสสสส เอาจริงดิ ทำจริงดิ ยูแน่ใจนะ ฉิบหายแล้วชีวิตนี้! เราว่าจุดนั้นเราคงทำหน้าช็อคเหมือนน้องหมาที่ข้ามถนนแล้วโดนตบไฟสูงใส่อะค่ะ แบบซีเรียสลี่ ไอโนน็อตติงยิ่งกว่าจอห์น สโนว์อีกนะเฟ้ย สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บของแบบเงียบ ๆ หันมองหน้าลูกเรือฮ่องกงว่าฉันไปละนะ เขาก็มองกลับมาแบบตาละห้อยว่าอ้าวววววววว ไปแล้วเร้อออออ และเดินตัวลีบ ๆ ไปแนะนำตัวกับกลุ่มบิสเนสแบบตัวเกร็ง




    ตอนแรกเขาก็เถียงกันว่าจะให้ยัยอีโคนี่ไปทำงานตำแหน่งไหนดี จะให้ยืนเลาจ์มั้ย หรือจะยังไงดี ซึ่งเราก็แล้วแต่เขาเลย ตามที่ทุกคนเห็นสมควร เพราะเราไม่รู้จริง ๆ ว่าโลกข้างบนเขาทำงานอะไรกันยังไงบ้าง ลูกเรือสิงคโปร์ (แดฟนี่) ก็บอกว่าไม่เป็นไร วันนี้โหลดมันไม่เต็ม ให้เราทำงานเป็นบัดดี้กับเขาอยู่ในเคบินด้วยกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องสลับตำแหน่งงานอะไรกันให้วุ่นวาย







    เป็นไงก็เป็นกัน สู้!






    ซึ่งการทำงานใน premium cabin นั้นเป็นโลกใบใหม่มาก ๆ ค่ะ a whole new world ที่สุด ซึ่งดีมาก เราชอบมากมากมากมากมาก ได้ลองทำอะไรใหม่หลายอย่าง เรียนรู้สิ่งใหม่เยอะแยะ เลยทำให้รู้สึกว่ามันท้าทายความสามารถของตัวเองดี ส่วนตัวเรานี้ก็ใช้ชีวิตอุดอู้อยู่ในอีโคมา 3 ปีกับ 7 เดือนแล้ว มันเป็นการตื่นมาทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ในทุกไฟล์ทจนแทบจะหลับตาทำได้แล้วล่ะ ซึ่งยอมรับกันตรง ๆ ว่านี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ Burnout เหมือนกันนะ



    เรารู้สึกว่าชีวิตมันต้องการความก้าวหน้าทางอาชีพการงานและอยากได้ความท้าทายใหม่ ๆ บ้าง การที่ทุกวันทำสิ่งเดิมนั้นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พัฒนาตนเองเท่าไรเลยค่ะ สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในแต่ละวันคือทีมลูกเรือและผู้โดยสารหน้าใหม่ที่แสดงอิทธิฤทธิ์อภินิหารพร้อมเรื่องราวอัศจรรย์ใจในทุกวันเท่านั้นเอง



    การได้มีโอกาสามาลองทำงานในบิสเนสคลาสบนไฟล์ทนี้ ทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองดี ๆ อีกทีว่าเรามีความสุขกับงานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้มั้ย อยากขึ้นมาทำงานในคลาสนี้รึเปล่า ซี่งคำตอบก็คือใช่ค่ะ





    ทำงานทั้งในเคบินและมายืนชงเครื่องดื่มในเลาจ์ค่ะ
    มีอะไรให้ลองทำก็ลองหมด สนุกมาก ลูกเรือน่ารัก ใจดี ช่วยเหลือทุกอย่างเลย







    เรายังคงชอบที่จะทำอาชีพนี้ ยังสามารถหาความสนุกและความสุขในระหว่างการทำงานได้แม้ว่าจะขี้เกียจไปบ้าง มีช่วงจ๋อยที่ทำให้กร่อยอยู่ในใจประปราย แต่ก็สามารถให้กำลังใจตัวเองได้อยู่ ยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่บินไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยไป รักที่จะพูดคุย แลกเปลี่ยน รับฟังเรื่องราวชีวิตของคนแปลกหน้าที่พบกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดตัดเล็ก ๆ ในช่วงชีวิตของกันและกัน และยังคงชอบที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนความสูง 40,000 ft. อยู่ค่ะ



    การที่เราจะหาอะไรที่เราจะหาว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรให้เจอนี่มันยากนะคะ มันเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่จะต้องทำไปตลอดชีวิตนั่นแหละ เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และตอนนี้เราค้นพบแล้วว่าเราทำสิ่งนี้ได้ดีและมีความสุข เท่านี้ก็โอเคแล้วค่ะ ให้พรุ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคตนั่นแหละนะ ขอแค่อย่าเอามาตรวัดความสุขและความสำเร็จของคนอื่นมากดดันตัวเองก็พอแล้วค่ะ



    สุดท้ายนี้มีเรื่องน่าประทับใจสั้น ๆ เกี่ยวกับผู้โดยสารขากลับจากฮูสตันค่ะ คุณลุงแกเป็นคนจากอาบูดาบีค่ะ ตอนแรกแกแวะเข้ามาขอกาแฟในเลาจ์ เราเลยนำเสนอขนมเค้กให้ไปทานคู่กัน และชวนคุยเรื่องประเทศไทย เพราะแกชอบไทยแลนด์ม๊ากมาก เมื่อก่อนจะพาครอบครัวมาเที่ยวทุกปีเลย คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าคุณลุงแกไปฮูสตันเพราะไปรักษามะเร็ง ต้องจากบ้านไปร่วมปี ตอนนี้หายดีกลับมาเป็นปกติแล้วก็เลยกลับบ้าน ช่วงเวลาที่อยู่ที่อเมริกานั้นก็มีลูกสาวไปดูแลค่ะ


    และสิ่งที่ทำให้เราแอบมีความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ต้องแอบไปซับน้ำตานิดหน่อย คือตอนที่เราถามแกว่าตอนอยู่ที่นั่น คงคิดถึงครอบครัวมากเลยนะ แกก็พยักหน้ารับ พอถามว่าคิดถึงใครมากที่สุด แกก็ตอบว่าคิดถึงภรรยามากที่สุดค่ะ แล้วก็สังเกตว่าตาแกมีประกายวิบวับและแอบมีน้ำตาคลอนิดหน่อย เราก็เลยซาบซึ้งกับคุณลุงแกตามไปด้วยนั่นเอง


    ก่อนที่เครื่องจะแลนด์ถึงเมืองทะเลทราย เราก็เดินไปลาแกก่อนที่จะเดินไปนั่งที่จั๊มพ์ซีท บอกไปว่าขอให้ยูกลับมาแข็งแรงไว ๆ แล้วพามาดามมาเที่ยวเมืองไทยอีกนะ :-)





    เพราะเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้อบอุ่นในหัวใจนี่แหละค่ะ
    คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงรักในอาชีพนี้นัก



    การท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงแต่การเดินทางเอาสองเท้าออกไปเกาโลกเท่านั้น
    แต่รวมถึงการท่องไปในความคิด ในจิตใจของคนด้วย
    ที่ในบางครั้ง บางบทสนทนาก็เป็นการเปิดโลกและเปิดใจของเรา
    ให้ค้นพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิตก็เป็นได้

















  • MUC - มิวนิคในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ





    หลังจากฮูสตันเราก็หยุดอยู่ที่เมืองทะเลทรายยาว ๆ 4 วันรวดเลยค่ะ ซึ่งหยุดยาวแบบนี้นั้น ถ้าเป็นตารางบินปกติก็อย่าได้หวังว่าจะมีเลย ก็นับว่าเป็นโบนัสดี ๆ ให้ได้พักผ่อนไปออกกำลังกาย ทำความสะอาดบ้านกุ๊กกิ๊ก เจอเพื่อน ไปจิบชาที่คาเฟ่แถวบ้าน ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติที่เข้านอนตรงเวลา กินอาหารครบสามมื้อค่ะ


    หลังจากพักกาย หย่อนใจอย่างเป็นสุขแล้ว เราก็เริ่มกลับมากระวนกระวายอีกครั้งเพราะรอบนี้เราโดน Airport Standby ตีหนึ่งถึงตีห้าค่ะ สแตนด์บายแบบนี้เราก็ต้องจัดกระเป๋าไปเผื่อในทุกสภาพอากาศ เพราะไม่แน่ว่าจะต้องโดนดึงไปบินไฟล์ทไหน แล้วก็ต้องเข้าไปนั่งรอชะตากรรมใน Crew Standby Lounge หรือห้องตู้ปลานั่นเองค่ะ


    บรรยากาศในตู้ปลาก็จะเงียบหงอยพอสมควร รู้สึกถึงรังสีแห่งความกระวนกระวายใจแผ่อยู่ทั่วอาณาบริเวณ เนื่องจากตรงผนังจะมีจอแสดงผลชื่อของคนที่โดนดึงไปบินค่ะ พอจอกระพริบ ทุกสายตาก็จะจดจ้องไปโดยพร้อมเพรียงกัน คนที่โดนเรียกก็จะลากกระเป๋าออกไปเคาเตอร์ด้านหน้า ส่วนผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลุ้นกันต่อไปค่ะ


    ภายใน Crew Standby Lounge นี้ก็มีโซนนั่งให้ทุกคนได้หย่อนกาย อ่านหนังสือ เล่นเกม และโซนเงียบที่เป็นห้องมืด ๆ ให้นอนพักค่ะ นอกจากนี้ก็มีห้องอาบน้ำ ไมโครเวฟ และตู้กดน้ำไว้คอยให้บริการ ตลอดจนมีคอมพิวเตอร์ของบริษัทตั้งไว้ให้ล็อกอินเข้าไปทำนู่นทำนี่ฆ่าเวลา









    ตัวเรานั้นก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้โดนแน่นอน มีลางสังหรณ์บางอย่างว่ามันต้องได้ซักไฟล์ทแน่ ๆ แหละนะ เลยทำใจเตรียมไปจากบ้าน นั่งฟัง anxiety relief songs ใน spotify เป็นการข่มใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน และผลออกมาคือเราโดนดึงไป มิวนิค ค่าาา

















    ไฟล์ทเยอรมันยามค่ำคืนก็ดีงามตามท้องเรื่องค่ะ ผู้โดยสารหลับสนิทตลอดคืน ตื่นมาตอนเซอร์วิสอาหารเช้า เงียบเชียบเรียบร้อยมาก ที่เหนื่อยก็เพราะเราต้องฝืนตาตื่นตลอดคืนนี่แหละค่ะ เลยกะว่าพอแลนด์แล้ว ถึงโรงแรมเรียบร้อยก็จะนอนงีบ แล้วก็ออกไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ ซื้ออะไรเล็ก ๆ กุ๊กกิ๊กมาเป็นอาหารเย็นและเตรียมเผื่อไว้สำหรับเช้าวันรุ่งนึ้น










    ภาพจากห้องนอนค่ะ ชอบมาก เขียวไปหมดเลย




































    สวัสดีโลกที่หนึ่ง!









    แต่แผนทั้งหมดก็มาพังทลายตรงที่พอเราตื่นมาเพื่อไปซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นก็พบว่าทุกอย่างปิดค่ะ ปิดเงียบสนิทเหมือนเป็นเมืองร้าง เราเองก็งงเพราะวันนี้ก็ไม่ใช่วันอาทิตย์นี่นา ทำไมทุกอย่างปิดละนี่ ก็มาสืบทราบในภายหลังว่าเขาหยุดกันวันนี้เพราะเป็นวันสำคัญทางศาสนาวันหนึ่งค่ะ ทุกอย่างเลยปิดทำการ ห้างร้านไม่ขายของ เลยอดซื้อน้ำมันเมล็ดฟักทองที่หมายมาด ไม่ได้ซื้อวิตามินเม็ดฟู่ตามที่ตั้งใจเลย เซ็งเหลือเกิน ตอนนั้นรู้สึกจ๋อยและหิวมาก กะว่าจะกลับห้องมาสั่งรูมเซอร์วิส ก็ติดที่ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้สั่งเลย พอจะกลับออกไปหาของกินฝนก็ดันตกลงมาเหมือนฟ้ารั่ว ไม่มีอะไรได้ดั่งใจซักอย่างเลยยยยย










    สูดกลิ่นของลมฝนจนเต็มปอดทำให้ใจสงบขึ้น









     

    สุดท้ายเราก็ตัดสินใจฝ่าฝนออกไปที่ร้าน Paulaner's ที่อยู่ในอีกโรงแรมนึง แม้ว่าจะเลิกดื่มไปแล้วแต่บรรยากาศซึม ๆ เซ็ง ๆ แบบนี้ก็ต้องการเบียร์เย็น ๆ มาย้อมใจกันหน่อยเนอะ








    ดื่มเบียร์เพื่อลืมเศร้า (ดื่มเหล้าเพื่อลืมเธ๊อออ)















    ถ้าไม่ได้กินแล้วเหมือนมาไม่ถึงเยอรมัน บาวาเรี่ยนที่แท้
    เนี่ย กินคนเดียวหมดนะจ๊ะ






    เวลามามิวนิคทีไร เราจะชอบมีก้อนอะไรก็ไม่รู้มาจุกอยู่ตรงกลางใจทำให้ท่อน้ำตาตีบตันด้วยความคิดถึงคนที่บ้านโดยเฉพาะคุณพ่อค่ะ ปกติแล้วเมื่อก่อนนี้ครอบครัวของเราชอบไปทานอาหารกลางวันกันที่เกอร์เธ่ ตรงสาธร ด้วยความที่มาด้วยกันเยอะก็เลยสั่งอาหารเยอะแยะหลากหลาย เริ่มจากซุป ไส้กรอก ขาหมู และปิดท้ายด้วยของหวาน


    ด้วยความที่เรากับที่บ้านไม่ค่อยสนิทกันมากนัก โดยเฉพาะกับคุณพ่อ อาจเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของท่านที่เป็นคนดุ เข้มงวดในกฎระเบียบ จริงจังในทุกเรื่อง บางทีบางครั้งก็มีเหมือนกันที่เราเข้าหน้ากันไม่ค่อยติดนัก ฉะนั้นเวลาที่คุยกันก็จะมีเฉพาะแต่เรื่องที่สำคัญ จำเป็น โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนและเส้นทางอาชีพของเราในอนาคต หรือปรึกษาคุณพ่อเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่าง ๆ ฉะนั้นเวลาที่ครอบครัวของเราออกมาทานอาหารนอกบ้านจึงเป็นช่วงเวลาพิเศษ คุณพ่อจะท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นและชวนคุยได้ง่ายกว่าเวลาปกติ บทสนทนาจะเป็นเรื่องรอบตัวมากกว่าที่จะพูดคุยกันในเรื่องการงาน


    ทุกครั้งที่มาที่นี่ จะมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะกิดใจให้เราคิดถึงท่านตลอด อยากให้มาเที่ยวด้วยกันที่นี่เพราะคุณพ่อเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ยังไม่เคยมาเที่ยวเยอรมันเลย และเรารู้ว่าท่านจะต้องชอบที่นี่มากเหมือนกับที่เราชอบเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนี้ก็เลยส่งไลน์ไปเล่าให้คุณพ่ออ่านว่าวันนี้เป็นยังไง ทำอะไรบ้าง ซึ่งก็รับรู้ได้ว่าลึก ๆ แล้ว ท่านดีใจที่เราส่งข้อความไปหาและเป็นห่วงเราอยู่เช่นเดียวกันค่ะ






    บางที... ความไกลตัวก็ทำให้ใจใกล้กันขึ้นกว่าเดิมนะ
















  • มูเตลู Cabin Crew



    ถัดจากไฟล์ทมิวนิคเราก็ได้พักยาว ๆ อีก 4 วันค่ะ อะเมซิ่งโรสเตอร์มาก ดีกว่าตารางบินจริงเสียอีกนะ และหลังจากที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว เราก็กลับมาโดน Airport Standby อีกครั้งหนึ่งค่ะ คราวนี้ได้เวลา 7.45 - 11.45 น. เช้ามาก เช้าเกิ๊น เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาอันตรายเพราะเช้า ๆ แบบนี้มีไฟล์ทเยอะเชียวล่ะค่า



    สารภาพว่าเราแอบงอแงพอสมควรเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากไปทำงาน แถมเพื่อนก็ชวนกันไปเดินเล่น ทานข้าว ดูหนังด้วย เลยแอบจ๋อยนิดนึง มีจิตคิดอยากรอดจากสแตนด์บายนี้ค่ะ



    เมื่อจิตคิดฟุ้งซ่าน สิ่งที่เป็นที่พึ่งทางใจได้ดีที่สุดคือการเข้าหาทางธรรม การสวดมนต์คือคำตอบ โดยเฉพาะบทสวดมนต์ให้รอดพ้นสแตนด์บายจากเพจ มูเตลู Cabin Crew ! (ตามไปสวดกันได้เด้อ) เพราะบางทีเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของไฟล์ทบิน เราเลยตั้งจิตอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ตั้งแต่นั่งบัสไปทำงานค่ะ คาถาอะไรก็สวดหมด แถมด้วยสวดทำวัตรเช้า บทพาหุงฯ อิติปิโสเท่าอายุ+1 คาถาชินบัญชร กำแพงแก้ว แคล้วคลาด บังกาย เมตตาใหญ่ เรียกได้ว่าในแอพสวดมนต์ที่โหลดติดมือถือไว้มีบทอะไรที่น่าจะเข้ากับสถานการณ์ก็สวดหมดจนครบเวลาค่ะ






    รอด


    และเป็นลูกเรืออีโคคนเดียวที่รอดด้วย
    คุณพระช่วยที่แท้!













  • 14,448 ก้าวในลอนดอน



    หลังจากที่รอดพ้นจากสแตนด์บายไปได้ เขาก็ใส่ไฟล์ทมาให้เกือบจะในทันทีทันใดว่าวันต่อไปเอ็งจงไปทำลอนดอนซะเถิดจะเกิดผล ซึ่งไฟล์ทนี้ก็โอเคแบบงง ๆ ดีค่ะ เป็นลอนดอนไฟล์ทกลางคืน ทุกคนเงียบกริ๊บสลบไสลกันไปหมด ไม่มีแม้แต่การขอ Gin and Tonic ประเสริฐแท้ ดีจนบอกตัวเองในใจว่าถ้าลอนดอนเป็นแบบนี้ทุกครั้งก็สามารถมาทำไฟล์ทนี้ได้ทุกเดือนเลยนะนี่ เพราะเราอินเมืองนี้อยู่แล้วเนื่องจากชอบประวัติศาสตร์อังกฤษและรักในแฮร์รี่ พอตเตอร์ แถมลูกเรือก็น่ารักนิสัยดี มีคนไทยบินด้วยกันอีก แฮปปี้ดี๊ด๊ามาก



    แต่ก็ยังมีเคสผู้โดยสารมหัศจรรย์อีกแล้วค่ะ ลุ้นระทึกในที่วันทำงานที่แท้ และเรื่องก็มีอยู่ว่า ลูกเรือครัวหลังเดินดุ่ม ๆ มาครัวหน้า แล้วเล่าด้วยสีหน้าระทึกให้ฟังว่ามีชายวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งที่นั่ง B ซึ่งมันก็เป็นหลุมอยู่ตรงกลาง เขาก็เดินมาถามว่าอยากจะนั่งริมหน้าต่าง มีที่ว่างบ้างมั้ย แต่ไฟล์ทมันเต็มมาก แน่นแบบจุก ๆ อีกนิดจะขี่คอกันไปแล้ว ลูกเรือก็พยายามเช็คให้และพยายามขอแลกที่นั่งให้เขา พอไม่ได้เพราะไม่มีใครอยากแลกด้วยเขาก็โวยวายใหญ่โต โวยไปโวยมาก็ร้องไห้จ้า ร้องแบบฟูมฟายจะเอาวินโดว์ซีทๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



    จุดนั้นทุกคนก็ช็อคแบบอิหยังวะ เลยไปตามเพอเซอร์มาดูว่าจะเอายังไง ออฟโหลดมั้ย สุดท้ายเขาก็ยอมสงบจิตใจและกลับไปนั่งที่ค่ะ จบ จบแบบงง ๆ ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นนะ แต่ตลอดทั้งไฟล์ทก็เรียบร้อยปกติดีทุกอย่างค่ะ เขาหลับตลอดทางเลย






    พอไปถึงปุ๊บเราก็งีบไปนิดหน่อยและเดินทางเข้าสู่ใจกลางมหานครลอนดอนเพื่อไปเจอกับเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ชีวาที่มาเรียนต่อที่นี่นั่นเอง และกิจกรรมแรกที่เราทำก็คือการไปนั่งจิบชาทาน Afternoon Tea ที่โรงเแรม The Kennington ค่ะ สาเหตุที่อยากมาที่นี่เพราะเคยเห็นรูปเพื่อน ๆ ไปนั่งทานชาธีม Beauty and the Beast ที่นี่นั่นเอง แต่ลืมเช็คว่าเขาไม่ทำแล้ว เลยได้ทานแบบ London Signature แทน


















    จากนั้นเราก็นั่ง tube ไปที่ Covent Garden เพื่อซื้อสกินแคร์ The Ordinary และเดินเลียบแม่น้ำเทมส์ยามเย็น คุยเฟื่องถึงเรื่องเก่าตลอดจนถกกันเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเหมือนอย่างเคย












































    มา Secret Garden ที่เป็นสวนลับในดวงใจของเขาเสียดายที่มันปิดนะ




















    เดินคุยกันมาเรื่อย ๆ จนกลับมาที่ Hyde Park






















    พระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณของการลาจาก


















    เดินมาจนถึง Kennington Park
    ก็เจอกับคุณลุงคุณป้าคู่นี้ที่มานั่งปิกนิกจิบไวน์และโยนบอลเล่นกับน้องหมา
    ยังคุยกันว่านี่แหละคือชีวิตบั้นปลายที่ใฝ่ฝัน

















    เขาพามาดูงาน Serpentine Pavilion 2019 - Junya Ishigami
    สมกับที่เรียนและทำงานในด้านนี้มาก













    วันนี้ก็เป็นวันที่ดีค่ะ ได้คุยเยอะ พูดแยะ ซึ่งเราว่าเวลาที่เราเจอคนที่อินในเรื่องที่คล้ายกัน มีความสนใจและความรู้สึกนึกคิดที่ไปในทางเดียวกันนั้นดีมาก ต่างคนต่างสนใจในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างเล่าให้กันฟัง มีการแลกเปลี่ยนความชอบในแบบที่เป็นตัวเอง มันเลยทำให้รู้สึกว่าเออ ดีจังที่ได้รู้จักคน ๆ นี้ :)

    การกลับมาเจอกันในครั้งนี้และมีบทสนทนาที่หลากหลาย ทำให้รู้สึกได้ว่าตัวเราโตขึ้น ตัวเขาก็โตขึ้นในตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา และดีใจที่ยังคุยกันได้ จูนติดกันเหมือนเดิม และมุมมองที่มีต่อโลกก็ลุ่มลึกขึ้นไปตามวัย เราเองก็อยากจะคงมิตรภาพแบบนี้ไปนาน ๆ เพราะเขาก็เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่อยากให้อยู่ในชีวิตไปเรื่อย ๆ คนแบบนี้นั้นหายาก เมื่อเจอแล้วก็อยากจะรักษาไว้ไม่ให้หายไปไหน และยังขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกัน



    เจอกัน เมื่อเจอกัน
    และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ



    :-)





















  • CAI - ใครไม่โร ไคโรรรรรร



    หลังจากกลับจากลอนดอนก็โดน Home Standby ตั้งแต่ตีสามถึงสิบเอ็ดโมงต่อทันทีแบบไม่มีวันหยุดพักเลยค่ะ และเมื่อเข็มนาฬิกาหมุนมาถึงเลขสามปุ๊บ ไฟล์ทก็เด้งปั๊บ ปุบปับไปไคโรเจ้าค่าา ความผีมันเริ่มมาเยี่ยมเยือนแล้วแหละแกเอ๊ย เพราะเต็มแน่ขาไปและโอเวอร์บุ๊คขากลับค่ะ


    เราก็ไปทำไฟล์ทด้วยความหวาดหวั่น ในใจก็ขอให้ไคโรในค่ำคืนนี้นั้นสดใส ขอให้เจอทัวร์จีนเต็มลำไปเล้ย ไฟล์ทจะได้เงียบเชียบเรียบร้อย ไม่เจอแอตติจูดแรงจากผู้โดยสาร ไม่มีคอลเบลกระหน่ำเป็นเสียงเพลง แต่แล้วความหวังก็มลายลงไปสิ้นเมื่อเข้าห้องบรีฟแล้วพบว่าไม่มีผู้โดยสารชาวจีนเล้ย มีแต่อียิปต์เชียนล้วนไม่มีอไรผสม แถมต้องอยู่ตำแหน่ง R3 ที่ต้องแจกของเล่นเด็กด้วย ฮืออออออ แถมบนไฟล์ทมีเด็กเยอะแยะตั้ง 65 คน ตายแน่นอนจ้า


    และไฟล์ทนี้ก็เป็นไฟล์ทรวมดาวชาวรีเสิร์ฟที่แท้ค่ะ เพราะลูกเรือครึ่งไฟล์ทนั้นโดนดึงมาบินหมดเลยจ้า ไล่มาตั้งแต่เพอเซอร์ ซีเนียร์ ลูกเรือเฟิร์สคลาส บิสเนส และอีโค่สามคน จากลูกเรือทั้งหมดหกคน โอ้โห จุดนั้นทุกคนมองหน้ากันแล้วแบบ แฮ่ นี่มันคือไฟล์ทใช้กรรมนี่หว่า...



    แต่สรุปแล้วไคโรก็ไม่ได้แย่ม๊ากมากอย่างที่ใจคิดกลัวค่ะ ใจเสาะไปอย่างนั้นเองแหละ ทีมดีมาก ทุกคนขยันขันแข็ง ขาไปก็วุ่นหน่อยเพราะเด็กเยอะ เราก็แจกของเล่นวนไป ไฮไฟว์กับเด็ก ๆ ตั้งแต่บอร์ดดิ้ง เวลาเช็คความเรียบร้อยของผู้โดยสารก่อนเทคออฟก็จะถามชื่อเด็กว่าหนูชื่ออะไร Are you ready? แล้วก็ให้ชูมือเช็คเข็มขัด จากนั้นก็ไฮไฟว์อะไรก็ว่าไป เด็กจะชอบมาก พ่อแม่ก็จะรักเรา เกิดความเอ็นดูว่าแอร์คนนี้เอาของเล่นมาให้ลูกฉัน เล่นกับลูกฉัน จึงไม่กินหัวเรานั่นเอง เวรี่กู้ดดดด


    ส่วนขากลับนั้นสบายมาก เพราะผู้โดยสารเกือบทั้งลำมาจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเจอคนไทยสองคนด้วย (ดีใจมาก!) ทั้งไฟล์ทเลยเงียบกริ๊บ มีคอลเบลดังประปรายเพราะเผลอกดไปโดนเท่านั้น นับว่าแต้มบุญยังดี ชีวียังสดใสซ่าบซ่าค่ะ





















  • CGK - จาร์กาต้ารีทรีท




    หลังจากได้วันหยุดมากรุบกริบสองวัน เราก็โดน Airport Standby ตีสามถึงเจ็ดโมงเช้าค่ะ ซึ่ง... แน่นอนว่ายังไงก็โดนแน่ ไฟล์ทเด้งมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากบ้านเลยเด้อ ผลคือหวยออกที่จาร์กาต้า ไฟล์ทที่ไม่เคยไป ไม่เคยทำ เพราะได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความเยอะแยะวุ่นวาย เนื่องจากเหล่าแขกกัลฟ์ทั้งหลายชอบไปเที่ยวกัน (โดยเฉพาะพี่ ๆ ซาอุดี้ทั้งหลาย)






    แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เลือกที่จะไม่ไปได้รึเปล่า





    ตอนที่เห็นไฟล์ทคือหงอยมาก ไม่อยากไปทำงานเลย อยากกลับบ้าน ขอไปกรุงเทพแทนได้ไหม ซึ่งไม่รู้ว่าอาการหม่นในใจนี่มาจากเหตุเพราะไม่ได้นอนก่อนไปบินหรือโฮมซิกกันแน่ งอแงยิ่งกว่าตอนที่ไม่อยากไปลอนดอนและไคโรอีก มีความตะหงิดว่ามันต้องมีอะไรซักอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่บนไฟล์ท



    ซึ่งลางสังหรณ์ของเราก็ถูกต้องตรงเผง แม่นยิ่งกว่าจับวาง กล่าวคือ... เราได้กลับมาเป็นแกลลี่ควีนอีกครั้ง ลูกเรือก็น่ารักสดใส ผู้โดยสารหลับกันหมดเพราะเป็นไฟล์ทกลางคืน เฮ้ย...ค่ำคืนนี้มันควรจะดี แต่ความผีอยู่ที่ซีเนียร์ค่ะ คือเขาเพิ่งมาเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ได้ประมาณเดือนกว่า มุ่งมั่นไฟแรงมากจนรู้สึกว่าเอ๊ะ นี่เราเป็นผักบุ้งอยู่ในกระทะไฟแดงรึเปล่าหนอ ตามจิกทุกคน จี้ทุกอย่าง ไม่ให้พื้นที่ลูกเรือได้ทำงานเลยเพราะเขาจะเข้ามาสั่งนู่นนั่นนี่ตลอดเวลา เป็นคนเยอะ ๆ ที่ทำให้เราปวดหัวจี๊ดตลอดเวลา



    เคราะห์ดีที่ได้ทำแกลลี่ เลยมีพื้นที่ครัวกลางเป็นของตัวเอง ปิดม่านแล้วคือโลกเล็ก ๆ ของเราที่จะจัดคาร์ทจุ๊งจิ๊ง โหลดมีล เตรียมชากาแฟนั่นนี่ไปตามประสา ต้องโทรเพื่อคุยกับเขาบ้างว่าจะเริ่มเซอร์วิสกี่โมง ทำอะไรยังไงบ้าง เลยโอเค (แต่ลูกเรือคนอื่นสายหัวแล้วจ้า แบบพอ ฉันพอ ขอมาอยู่ในครัวกลางด้วยคน)









    ช่วงนี้กำลังติดอ่านเพชรพระอุมาอยู่ค่า
    นั่งอ่านบนบัสระหว่างทางจากสนามบินไปที่โรงแรมค่ะ



















    แลนด์แล้วไปนวดตัวสองชั่วโมงเต็ม
    แล้วกลับมาสั่งรูมเซอร์วิส จากนั้นก็นอนยาวยันเวคอัพคอลของอีกวัน







    ส่วนขากลับก็ลูปเดิม ทีมดี ผู้โดยสารเรียบร้อย แต่ซีเนียร์เยอะมาก เราก็หลบมาเกาะติดกับลูกเรือที่ทำครัว ซึ่งเราเคยบินกับเขามาแล้ว สบตากันแล้วเข้าใจ ทำงานแบบไม่ต้องบอกกันว่าต้องทำอะไร เลยรอดพ้นจากการโดนสั่งนู่นสั่งนี่จากครัวหลังไปได้บ้าง แต่มีเรื่องให้หงิดใจประการหนึ่ง คือ เครื่องสั่นในระดับที่เดินในเคบินลำบาก ซีเนียร์ก็ยังคงยืนยันให้เดินดริ้งค์เพราะอ้างว่าทิ้งไว้ชั่วโมงนึงแล้ว ซึ่ง...ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เซอร์วิสมาก่อนความปลอดภัยและสวัสดิภาพของลูกเรือ เราไม่ใช่คนขี้เกียจ อิดออดไม่อยากทำงาน แต่ตามสภาพแล้วมันไม่ปลอดภัย (แต่ก็ต้องออกไปทำอยู่ดีนะ ฮือออออ)



    พอตอนแลนด์ ลูกเรือที่ทำแกลลี่และลูกเรือ R5 ที่นั่งข้างหลังเครื่องด้วยกันปล่อยบอมระเบิดความในใจว่าเขามีฟีดแบคเกี่ยวกับการทำงานของซีเนียร์คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อภิปรายมาเป็นข้อ ๆ ซึ่งเราก็ขอหลบหลีกจรลีหนีหาย ไม่เข้าไปยุ่ง ถือว่าจบไฟล์ทก็จบกันเด้ออออ















  • BOM - เปิดซิงบอมเบย์แล้วนะจ๊ะ




    สุดท้ายก่อนปิดรีเสิร์ฟ เราโดน Home Standby สามทุ่มถึงตีห้าค่ะ ซึ่งก็คิดว่าโอ้ยแก เหลือแค่สองวัน ไม่น่าจะโดนเรียกให้ไปบินอะไรหรอกมั้ง เพราะต่อไปเรามีบินซานฟราน ซึ่งเขาก็ไม่น่าให้ไปบินอะไรที่กระทบกับไฟล์ทนั้นเพราะขณะนี้ทางบริษัทกำลังขาดแคลนลูกเรือที่มี US Visa ค่ะ





    แต่ที่ไหนได้ โดนดึงไปบอมเบย์ซะงั้น!





    ก่อนหน้าไฟล์ทนี้เราก็งอแงหนักมาก แสตนด์บายสามทุ่มถึงตีห้า อยากจะถามว่าจะนอนยังไงว้า จิตใจคนจัดตารางทำด้วยอะไรหรือ ก็เกิดอาการพารานอยด์ ว้าวุ่น ไม่หลับ ตาค้าง ใจก็ภาวนาว่าอยากเรียกไปบินเล้ย แต่ไฟล์ทก็เด้งตั้งแต่ตอนยังไม่สามทุ่ม และชีวิตนี้ไม่เคยทำบอมเบย์เจ้าค่า กลัวมาก รู้สึกว่าตลอดเกือบสี่ปีที่ผ่านมาเราโชคดีไม่เคยโดนเลย ทำไมต้องมาดวงซวยตอนนี้ด้วยวะ เนี่ยยย บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของไฟล์ทบิน!





    ผลปรากฎว่าเราไปบินไฟล์ทนี้กับไทยมาเฟียจ้า มีพี่ซีเนียร์คนไทย พี่เฟิร์สคลาสคนไทย และมีเพื่อนลูกเรืออีโคอีกคนนึงเป็นเพื่อน พอเห็นดังนี้ก็ใจชื่นขึ้นมาบ้างว่าไฟล์ทหนักแค่ไหนก็มีคนไทยสู้ไปด้วยกัน เฮ! เอาวะ ขาไปสองชั่วโมงสี่สิบนาที ขากลับสองชั่วโมงยี่สิบเจ็ดนาที รั้งตำแหน่งแกลลี่ควีนเหมือนเดิมด้วย วู้ฮู้วววววววว!!







    และแน่นอนว่า... ถ้าไม่มีเรื่องดราม่า ก็อย่าเรียกว่าไฟล์ทอินเดียยยยย!





    ไฟล์ทขาไปเงียบเชียบเรียบร้อยดีค่ะเพราะเป็นไฟล์ทกลางคืน ทุกคนหลับ บางคนไม่ทานอาหารเลยด้วยซ้ำ เซอร์วิสเสร็จไว้มาก ลูกเรือก็น่ารัก แวะเวียนมาช่วยที่ครัวกลางตลอดเวลา ทีมดีชีวิตดีที่แท้ ทุกอย่างเป็นไปได้ดีจนกระทั่งไฟล์ทขากลับ พอเราทำเซอร์วิสเสร็จแล้วก็มาเคลียร์แกลลี่ เก็บของนู่นนี่เตรียมจะแลนด์ดิ้งตามปกติ



    อยู่ ๆ ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งโผล่พรวดเข้ามากลางแกลลี่แล้วก็ซัดตู้มใส่เราว่าเขาขอผ้าห่มตั้งแต่เทคออฟแล้ว นี่มันอีก 20 นาทีจะแลนด์ดิ้ง ฉันยังไม่ได้ผ้าห่มเลยซักผืนเดียว!



    ไอ้เราก็งงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย หมกตัวอยู่ในแกลลี่ เสิร์ฟฝั่งซ้ายไม่ใช่ฝั่งขวา ก็อ้าปากจะอธิบาย พอดีว่าเพื่อนลูกเรือคนไทยก็สวนกลับไปว่า ใช่ ยูขอตั้งแต่หลังเทคออฟ ไอก็เอาไปให้แล้วสองผืนตามที่ขอไง!



    ป้าก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกลง ตอบกลับไปว่า ถูก! ขอจริง ได้จริงสองผืน แต่ขอเพิ่มอีกสอง ไม่เห็นได้เลย!! เพื่อนเลยบอกว่าขอตัวซักครู่ ขอไปเช็คกับลูกเรือให้แน่ใจ แล้วก็ทิ้งเราให้อ้าปากพะงาบ ๆ เป็นปลาทองที่ว่ายชนโหลแบบงงยืนเป็นสนามอารมณ์ของป้าแต่เพียงผู้เดียว






    เอาแล้วไง ฉันต้องทำ ทำอะไรซักอย่างแล้วววววววววว





    ป้าแกก็ตวัดสายตามายังเหยื่ออารมณ์คนใหม่ (อิฉันเองไม่ใช่ใคร) แล้วก็พูดใส่หน้าต่อว่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไม่เซอร์วิสของสายการบินนี้แย่มาก ลูกเรือไม่เอาผ้าห่มมาให้ คนเมื่อกี้ก็กิริยาไม่ดี ทางเราเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกไปว่า ขอโทษสำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนะค้า น่าจะเป็นความเข้าใจผิดของลูกเรือที่สื่อสารกันพลาดไป ไม่ทราบว่าซีทนัมเบอร์เท่าไร เดี๋ยวจะเขียนไว้ให้ว่ามีเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น ว่าแต่จะดื่มอะไรมั้ยค้าาาา (น้ำส้ม!) แล้วนี่มีคอนเน็กติ้งไฟล์ทมั้ย ไปเที่ยวไหน (บูดาเปสต์!) โอ้โห ไปบูดาเปสต์ เนี่ย ช่วงนี้อากาศดี๊ดี ต้องสวยมากแน่ ๆ เลย จากนั้นก็ชวนป้าคุยเรื่อยเจื้อย ป้าแกก็เริ่มยิ้มแล้วก็เล่าแพลนทริปของแกให้ฟังว่าไปกี่วัน ทำอะไร ไปไหนบ้าง นั่นนี่นู่นโน่นและจากไปพร้อมกับรอยยิ้มโดยมีผู้โดยสารที่ยืนรอจะเข้าห้องน้ำ เป็นสักขีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดปรบมือแปะ ๆ ให้แล้วชมว่า you did great!



    และจากที่เพื่อนลูกเรือไปสืบหาความจริงมาก็พบว่า ป้าแกขอเพิ่มอีกสองผืนก็จริง แต่เป็นตอนที่เรากำลังเก็บถาดอาหารเมื่อประมาณ 10 นาทีก่อนหน้านี้เท่านั้นค่ะ ไม่ได้ขอตั้งแต่เริ่มไฟล์ทแต่อย่างใดนะเออ













    และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเราตลอดช่วงรีเสิร์ฟที่ผ่านมาค่ะ
    จะว่าเป็นช่วงใช้กรรมก็ไม่ใช่ แต้มบุญยังดีอยู่ก็ไม่เชิง
    ผ่านมาได้ก็โอเคแล้วละเน้อออออ



    สำหรับทริปต่อไปนั้นเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน
    โปรดติดตาม ด้วยรักจากทะเลทราย ตอนต่อไปด้วยนะคะ



    ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามค่า
    บ๊ายบายยยย



    :-D



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in