เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
หนึ่งวันของฉันใน King's Landing | Valletta, Malta




  • 10 May 2019






    ในวันพรุ่งนี้ (20 May 2019) ซีรีส์เรื่อง Game of Thrones ก็จะเดินทางมาจนถึงบทสรุปแล้วนะคะ และในฐานะที่เราเป็นแฟน GOT ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรา ด่าบทของซีซั่นนี้ยับ รู้สึกใจหายนิด ๆ ที่ปีหน้าเราจะไม่มีอะไรให้ติดตามดูแล้ว เพราะในหมวดหมู่ของรายการโทรทัศน์นั้น ก็มีเรื่องนี้นี่แหละที่ติดตามรับชมมายาวนานมากที่สุดดดด




    และเหมือนว่าทางบริษัทจะรู้ใจเลยส่งให้เรามาบินไฟล์ท ลาร์นากา-มอลตา เพื่อให้เราได้มาสัมผัสบรรยากาศหนึ่งในโลเคชั่นที่ถ่ายทำเมือง King's Landing - The capital of the Seven Kingdoms นั่นเองค่าาาาา✨








    ทริปนี้จะเป็นอย่างไร
    ตามมาอ่านกันเล้ยยยยยยยย : )













    เหนือน่านฟ้าของไซปรัสค่ะ









    ไฟล์ท ลาร์นากา-มอลตา นี้เป็นไฟล์ทแบบ Double Sector ค่ะ กล่าวคือเราจะเดินทางออกจากดูไบไปยังลาร์นากา ไซปรัส ก่อนที่จะบินต่อมาที่มอลตาค่ะ และด้วยความที่เราต้องบอร์ดดิ้งสองรอบ ทำเซอร์วิสสองรอบ และบ๊ายบายผู้โดยสารพร้อมเก็บข้าวเก็บของเคลียร์เคบินสองรอบ ทำให้ไฟล์ทนี้ก็เป็นหนึ่งในไฟล์ทที่ขึ้นชื่อว่าเหนื่อยค่ะ บินทั้งวัน ทำงานทั้งวันเลยเด้อ ลูกเรือไม่ค่อยชอบมาบินกันเท่าไรนัก


    เราก็แอบได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาบ้างเหมือนกัน แต่ก็กลั้นใจว่าเอาวะ! ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการโผล่หัวไปสูดอากาศนอกเครื่องบินที่ไซปรัสและขีดฆ่าประเทศมอลตาออกจากลิสต์ประเทศที่เคยไปยังไงก็คุ้มเหนื่อยเด้อ





















    ซึ่งก็เหนื่อยจริงแหละจ้า แต่พอได้เห็นฟ้าใส ๆ น้ำสีครามสวย ๆ ของทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียนก็คึกคัก นั่งฟังเพลง A Head Full Of Dreams - Coldplay ไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางที่นั่งรถขึ้นลงคดเคี้ยวลัดเลาะริมทะเล มองดูเมืองสีน้ำตาลสลับเฉดสีที่เรียงรายเป็นขั้นบันได




    นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าตัวเองรักในอาชีพที่ทำอยู่ตอนนี้ ชอบที่ได้โผล่มารอบโลกที่นู่นทีที่นี่ที จริงอยู่ที่สายการบินที่เราทำอยู่อาจไม่ใช่สายการบินที่ดีที่สุด เพราะคำว่าดีที่สุดของคนแต่ละคนแตกต่างกัน การให้คุณค่าและการจัดลำดับความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ นั้นไม่เหมือนกัน

    สำหรับบางคนที่รักการอยู่บ้าน ได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองรักแล้วรู้สึกอุ่นใจก็อาจมองว่าการทำงานแบบนี้นั้นมันไม่ใช่สำหรับเขา และบางคน (เช่นตัวเราเอง) ก็ยังคงสนุกกับการโดดไปโดดมาข้ามไทม์โซนอยู่ ยังคงตื่นเต้น ยิ้มอยู่ในใจกับตัวเองเวลาที่ไปในสถานที่ที่แปลกใหม่ เลยยังสามารถนึงถึงข้อดีและรับได้กับข้อที่ไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์ของอาชีพนี้ได้อยู่นั่นเอง
















  • เราไปถึงโรงแรมที่พักประมาณบ่ายสาม ซึ่งก็ตามสไตล์คนสู้ชีวิตนั่นแหละฮะ ไม่ได้นอนก่อนบินยังไง ทำงานหนักเดินวนไปในเคบินแค่ไหน ยังคงเป็นทีมแลนด์แล้วออกเลยไม่เสื่อมคลาย ไม่คิดแคร์สังขารร่างใดใดทั้งสิ้น พอจัดแจงเปลี่ยนชุด เปลี่ยนสีลิปสติกแล้วก็โดดขึ้นรถเลยทันที




    จากที่เราทำการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำเกมออฟโทรนนั้นก็พบว่า จุดที่เราอยากไปม๊ากมากที่สุด คือซีนที่แดนี่แต่งงานกับคาร์ลโดรโก ที่มีชื่อว่า Azure Window นั้น สะพานหินมันพังไปแล้วจ้า สะเทือนใจมาก เลยเปลี่ยนเป้าหมายว่าจะไปเดินเล่นชมบรรยากาศของ King's Landing แทน ซึ่งฉากประตูเมืองนั้นก็อยู่ในเมือง Mdina ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของมอลตานั่นเอง เมืองนี้มีชื่อเล่นอีกชื่อนึงว่า เมืองแห่งความเงียบ Slicent City



    ส่วนตัวแล้วเราอยากไป Mdina มาก ๆ เพราะนั่นล่ะ อยากไปเห็นคิงส์แลนด์ดิ้งของแท้ต้นตำรับ แต่สมาชิกเพื่อนผู้ร่วมทริปของเรานั้นอยากไปเมือง Valletta มากกว่า ซึ่งเมืองนี้คือเมืองหลวงปัจจุบันของประเทศมอลตานั่นเอง (ก็คงเหมือนกับคนที่มาเมืองไทยครั้งแรก ก็อาจจะยากมาเที่ยวที่กรุงเทพก่อนที่จะไปอยุธยาหรือสุโขทัยละมั้ง แต่เราอยากไปเมืองเก่าก่อนนี่นา ฮืออออ)









    เอาวะ Valletta ก็ Valletta !










    สำหรับการเดินทางในมอลตานั้น นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถยนต์ นั่งรถบัส หรือใช้บริการแท็กซี่ก็ได้ค่ะ โดยค่าบริการของแท็กซี่นั้นจะเป็น fix rate คิดตามระยะทาง ไม่มีมิเตอร์นะเออ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ที่เราโบกตามท้องถนนทั่วไปหรือแท็กซี่ที่เราให้โรงแรมโทรเรียกเข้ามาจะคิดค่าบริการเท่ากันค่ะ :)



















    มา ล้อมวงเข้ามาฟังเรื่องราวของประเทศมอลตากันซักเล็กน้อย :)

    มอลตานี้นั้น นับว่าเป็นไข่มุกแห่งเมอร์ดิเตอร์เรเนียนค่ะ และที่เรียกว่าไข่มุกนี้ก็ไม่ได้มาเพราะความสวยงามของทัศนียภาพแต่เพียงอย่างเดียวนะเออ แต่ที่นี้นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์และเป็นป้อมปราการสำคัญทางทะเลของยุโรปเลยก็ว่าได้ ทุกคนใคร่อยากจับจองเป็นเจ้าของกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกโจรสลัด เติร์ก ฝรั่งเศส อังกฤษ และเรียกได้ว่าเป็นจุดรวมพลของเหล่าอัศวินอีกด้วย แถมยังเป็นจุดรวมของอารยธรรมที่สำคัญต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็น ฟินิเซียน โรมัน กรีก อาหรับ ซิซิเลียน แอฟริกา ตลอดจนฝรั่งเศส และอังกฤษ (ที่มายึดเขาในภายหลัง)


    ยัง ยังไม่จบเด้อ นอกจากความงามของท้องทะเลสีคราม ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมแล้ว มอลตานี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลกอีกด้วยเจ้าค่าาาา








    Saint John's Co-Cathedral





    และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เราได้มาชมในเมืองวัลเลตตาแห่งนี้นั้นก็คือ มหาวิหารเซนต์จอห์น Saint John's Co-Cathedral นั่นเอง ซึ่งวิหารแห่งนี้ก็ได้สร้างขึ้นโดย กลุ่มอัศวินเซนต์จอห์นแห่งเยรูซาเล็ม เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้อุปถัมภ์อัศวินทั้งหลายในการทำสงครามศาสนานั่นเอง






    แรกเริ่มเดิมทีนั้น ต้นกำเนิดของอัศวินกลุ่มนี้ก็มาจากกลุ่มนักบวชที่ทำหน้าที่รักษาพยาบาลเหล่าผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ พอถูกฝั่งออตโตมันโจมตีเยอะเข้าก็เปลี่ยนจากพรีสสายฮีลมาเป็นสายตีแทน ซึ่งก็ประกอบด้วยคนจากชนชั้นสูงต่าง ๆ ในยุโรป มีเครื่องหมายประจำกลุ่มคือ กางเขนแปดแฉก

    สงครามศาสนาดำเนินไปเรื่อย ๆ ฝั่งออตโตมัน (อิสลาม) ก็รุกคืบมาเรื่อย ๆ เพราะความเจนพื้นที่ ชินกับสภาพอากาศ เหล่าอัศวินผู้กล้าก็ล่าถอยมาปักหลักกันอยู่บนเกาะหนึ่งในกรีซ

    ต่อมากษัตริย์แห่งสเปนก็ได้จัดสรรพื้นที่ดินแดนบนเกาะมอลตานี้ให้แก่กลุ่มอัศวิน เพราะว่าตรงนี้นั้นเป็นเมืองที่มียุทธศาสตร์ทางทะเลดีเยี่ยม เหมาะแก่การเดินเรือและการป้องกันข้าศึกทางทะเล


    พอสงครามศาสนามันเริ่มจะไม่ใช่เรื่องศาสนาล้วน ๆ แล้ว มันกลายมาเป็นเรื่องของการขยายอำนาจของอาณาจักร ทางฝั่งออตโตมันก็เล็งแล้วว่า เฮ้ยยย เกาะนี้นี่มันแจ๋วว่ะ ก็เลยบุกโจมตีมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมารบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ปิดล้อมดันป้อมปราการไปได้เยอะแยะ ฝ่ายอัศวินเซนต์จอห์นก็สู้ไม่ถอย ไล่คิลอีกฝ่ายจนต้องล่าถอยไปในที่สุด ซึ่งการทำสงครามกันในครั้งนี้นั้น ทางประวัติศาสตร์เขาก็ได้มองว่าเนี่ย เหตุการณ์ครั้งนี้มันเป็นการต่อสู้กันที่มากกว่าการสู้รบระหว่างอัศวินกับพวกเติร์ก แต่เป็นการต่อสู้กันระหว่างตะวันตกและตะวันออก ระหว่างอิสลามกับคริสเตียนที่แท้!













    ค่าเข้าชมวิหาร 10 ยูโร รับฟรีทันที Audio Guide!

















     
    นี่แค่พื้นวิหารเท่านั้น
    อะร้าอร่ามสมกับความบาโรคเป็นที่สุด
    แสดงถึงความมีอำนาจของศาสนาคริสต์และการปกครองในยุคนั้นโดยแท้








































































     มีชั้นลอย สามารถเดินขึ้นมาชมวิหารในมุมสูงได้นะคะ



















  • หลังจากที่เราละลานตาไปกับความท๊องทองภายในวิหารแล้ว ก็มาพักเบรกกันนิดนึงเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด เราที่เดินเที่ยวก็ต้องการพลังงานเป็นอาหารอร่อย ๆ ฉันนั้นเนื่องจากเรายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลยเพราะบนเครื่องไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้พอยาไส้ (ตายล่ะ เขียนซะดูน่าสงสาร คือเซอร์วิสระหว่างลาร์นากามาที่มอลตานั้น เราเสิร์ฟเป็น cold plate ค่ะ ไม่ได้เสิร์ฟอาหารร้อนเพราะไฟล์ทสั้น เราเลยไม่ได้ทานอะไรเลย หยิบแต่ขนมจุบจิบเข้าปากเท่านั้น)



    เราเลยเดินออกมาด้านนอกวิหารจนมาเจอกับ หอสมุดแห่งชาติ ซึ่งด้านหน้าก็มีร้านอาหารและมีนักดนตรีสลับสับเปลี่ยนมาเล่นเพลงเปิดหมวก สร้างความรื่นรมย์ เพิ่มความโรแมนติกให้กับบรรยากาศโดยรอบ เราเลยตัดสินใจว่าจะนั่งชิวเล่นรับอากาศเย็น ๆ แดดอุ่น ๆ ของฤดูใบไม้พลิสักครู่ค่ะ












    นั่งมองคนเดินไปเดินมาก็สนุกดีค่ะ
    บางคู่ก็น่ารัก โดยเฉพาะคุณตาคุณยายที่จับมือเดินมาด้วยกัน
    มีการเต้นรำหมุนกันนิดหน่อยพอให้จิตใจได้ชุ่มชื่น เหมือนย้อนคืนวันไปในวัยหนุ่มสาวด้วย




















    หอสมุดแห่งชาติที่แกรนด์มากกกกกก












    - ช่วงสารภาพบาปประจำวัน -



    สำหรับอาหารกลางวันในวันนี้นั้น
    เราได้รับการแนะนำมาจากลูกเรือมอลตีสบนไฟล์ทว่า
    อาหารที่ควรลองก็คือ เนื้อกระต่าย





    ใช่ฮะ...

    กระต่ายตัวเล็กน่ารักนุ่มฟูวววว์
    สิ่งมีชีวิตกุ๊กกิ๊กกินผักเราชอบมากที่สุดในบรรดาสัตว์บกทั้งมวล


































    พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว พี่จะไม่กินหนูอีก
    แต่หนูอร่อยมาก รสสัมผัสเหมือนเนื้อไก่ที่เด้งมากกว่า




    ฮืออออ กินด้วยความรู้สึกผิดที่แท้



    TT________TT















  • หลังจากทานอาหารกลางวันค่อนไปทางเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็ตั้งใจว่าจะไปที่ Grandmaster Palace ซึ่งเป็นอาคารรัฐสภามอลตา สถานที่ทำงานของประธานาธิปดี แต่ปรากฎว่ามันปิดจ้าาาาา เลยเวลาเข้าชมแล้ว บายเด้อออออ










    ถนนพ่อค้า เมื่อก่อนเอาไว้ขายของ ตอนนี้ก็ยังเอาไว้ขายของเหมือนเดิม








































































































  • เมื่อผิดหวังจากพระราชวัง เราก็เดินลัดเลาะผ่านตึกสีน้ำตาลหลากเฉด หน้าต่างหลากสี และประตูน่ารักกุ๊กกิ๊กมาจนกระทั่งถึง Barrakka Gardens ค่ะ ซึ่งสวนนี้แบ่งเป็นสองส่วนคือ Upper และ ​Lower








    ทางเข้าสวนจ้า




















    ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปภายในสวน เราได้กลิ่นหอมของดอกไม้
    คือหอมจริง ๆ ไม่เคยเดินเข้าไปในสวนไหนแล้วได้กลิ่นหอมแบบนี้มาก่อน
    ประทับใจมาก
















    มีรูปปั้นประดับสวนประปราย










    สวนนี้คือจุดชมวิวของเมืองวัลเลตตาเลยค่ะ เพราะจากตรงนี้นั้นเราสามารถมองเห็นวิวสวย ๆ ของอ่าวแกรนด์ฮาร์เบอร์นั่นเอง ซึ่งเมื่อก่อนอ่าวนี้ก็เป็นที่จอดเรือสำเภาขนส่งสินค้า เรือรบต่าง ๆ เมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยนก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่ให้เป็นที่จอดเรือสำราญต่าง ๆ นั่นเอง


































































    ของจริงสวยมากกกกกกกกกก
    กล้องถ่ายรูปมาได้ไม่เท่าจริง ๆ จ้า























































































    Upper นั้นมีร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ไว้ค่อยให้บริการด้วยค่ะ
    สามารถสั่งเครื่องดื่มมานั่งชมวิว ดูพระอาทิตย์ตกได้นะเออ















    เหมือนหลุดมาอยู่ในเวสเทอรอสเลย
    ชอบมาก สวยมาก :)




















  • แพลนเดิมนั้นเราก็ว่าจะนั่งรถแท็กซี่ไปที่ Mdina ค่ะ เพื่อไปดูคิงส์แลนด์ดิ้งให้จงได้ แต่พอดูจากแผนที่แล้วก็ค่อนข้างไกลพอสมควร พอเริ่มตกเย็นแล้วเราจะชอบคิดว่ายุโรปจะไม่ปลอดภัยทุกที (อันที่จริงตอนไหนมันก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้นล่ะ แต่พอมันมืดแล้วรู้สึกว่ามันจะสุ่มเสี่ยงมากกว่า)


    เราเลยเปลี่ยนใจว่าอยากจะนั่งเรือข้ามฟากไปที่เมือง Sliema แทน เพื่อดูแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ลับลงทะเล แต่ฝันก็ต้องสลายเพราะเรือไม่มีรอบ (หรืออาจจะมีแต่เพื่อนที่ออกมาด้วยกันเริ่มงอแงแล้ว) เลยไปเดินเล่นรับลมกันแทนค่ะ


















































































    ถึงตรงท่าเรือข้ามฝั่งแล้ว บรรยากาศดีมากกกกกกกกก







































  • เดินเล่นริมน้ำซักพักเราก็เดินย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองใหม่เพราะจะหารถกลับโรงแรมแล้วค่ะ แม้ว่าฟ้ายังสว่างอยู่แต่เวลา ณ ขณะนั้นคือทุ่มนิด ๆ แล้วนะเออ
























    ลานด้านหน้าตรงประตูทางเข้าเมืองวัลเลตตา















































































    และนี่คือหนึ่งวันของเราในกรุงวัลเลตตา ประเทศมอลตาค่ะ


    ทริปหน้าจะเล่าเรื่องทริปเที่ยวที่ไหน
    โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ







    ลากันไปด้วยแสงสุดท้ายจากเวสเทอรอส




















    ด้วยรัก...จากมอลตา







    ด้วยรัก...จากทะเลทราย










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Marija10 (@nvdd94)
รูปสวยมาก ๆ เลยค่ะ อ่านแล้วอยากจะไปเที่ยวอีกครั้งเลย ; w ;