เราไปถึงโรงแรมที่พักประมาณบ่ายสาม ซึ่งก็ตามสไตล์คนสู้ชีวิตนั่นแหละฮะ ไม่ได้นอนก่อนบินยังไง ทำงานหนักเดินวนไปในเคบินแค่ไหน ยังคงเป็นทีมแลนด์แล้วออกเลยไม่เสื่อมคลาย ไม่คิดแคร์สังขารร่างใดใดทั้งสิ้น พอจัดแจงเปลี่ยนชุด เปลี่ยนสีลิปสติกแล้วก็โดดขึ้นรถเลยทันที
จากที่เราทำการค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำเกมออฟโทรนนั้นก็พบว่า จุดที่เราอยากไปม๊ากมากที่สุด คือซีนที่แดนี่แต่งงานกับคาร์ลโดรโก ที่มีชื่อว่า Azure Window นั้น สะพานหินมันพังไปแล้วจ้า สะเทือนใจมาก เลยเปลี่ยนเป้าหมายว่าจะไปเดินเล่นชมบรรยากาศของ King's Landing แทน ซึ่งฉากประตูเมืองนั้นก็อยู่ในเมือง Mdina ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของมอลตานั่นเอง เมืองนี้มีชื่อเล่นอีกชื่อนึงว่า เมืองแห่งความเงียบ Slicent City
ส่วนตัวแล้วเราอยากไป Mdina มาก ๆ เพราะนั่นล่ะ อยากไปเห็นคิงส์แลนด์ดิ้งของแท้ต้นตำรับ แต่สมาชิกเพื่อนผู้ร่วมทริปของเรานั้นอยากไปเมือง Valletta มากกว่า ซึ่งเมืองนี้คือเมืองหลวงปัจจุบันของประเทศมอลตานั่นเอง (ก็คงเหมือนกับคนที่มาเมืองไทยครั้งแรก ก็อาจจะยากมาเที่ยวที่กรุงเทพก่อนที่จะไปอยุธยาหรือสุโขทัยละมั้ง แต่เราอยากไปเมืองเก่าก่อนนี่นา ฮืออออ)
เอาวะ Valletta ก็ Valletta !
สำหรับการเดินทางในมอลตานั้น นักท่องเที่ยวสามารถเช่ารถยนต์ นั่งรถบัส หรือใช้บริการแท็กซี่ก็ได้ค่ะ โดยค่าบริการของแท็กซี่นั้นจะเป็น fix rate คิดตามระยะทาง ไม่มีมิเตอร์นะเออ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ที่เราโบกตามท้องถนนทั่วไปหรือแท็กซี่ที่เราให้โรงแรมโทรเรียกเข้ามาจะคิดค่าบริการเท่ากันค่ะ :)
มา ล้อมวงเข้ามาฟังเรื่องราวของประเทศมอลตากันซักเล็กน้อย :)
มอลตานี้นั้น นับว่าเป็นไข่มุกแห่งเมอร์ดิเตอร์เรเนียนค่ะ และที่เรียกว่าไข่มุกนี้ก็ไม่ได้มาเพราะความสวยงามของทัศนียภาพแต่เพียงอย่างเดียวนะเออ แต่ที่นี้นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์และเป็นป้อมปราการสำคัญทางทะเลของยุโรปเลยก็ว่าได้ ทุกคนใคร่อยากจับจองเป็นเจ้าของกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกโจรสลัด เติร์ก ฝรั่งเศส อังกฤษ และเรียกได้ว่าเป็นจุดรวมพลของเหล่าอัศวินอีกด้วย แถมยังเป็นจุดรวมของอารยธรรมที่สำคัญต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็น ฟินิเซียน โรมัน กรีก อาหรับ ซิซิเลียน แอฟริกา ตลอดจนฝรั่งเศส และอังกฤษ (ที่มายึดเขาในภายหลัง)
ยัง ยังไม่จบเด้อ นอกจากความงามของท้องทะเลสีคราม ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมแล้ว มอลตานี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลกอีกด้วยเจ้าค่าาาา
Saint John's Co-Cathedral
และสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เราได้มาชมในเมืองวัลเลตตาแห่งนี้นั้นก็คือ มหาวิหารเซนต์จอห์น Saint John's Co-Cathedral นั่นเอง ซึ่งวิหารแห่งนี้ก็ได้สร้างขึ้นโดย กลุ่มอัศวินเซนต์จอห์นแห่งเยรูซาเล็ม เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้อุปถัมภ์อัศวินทั้งหลายในการทำสงครามศาสนานั่นเอง
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ต้นกำเนิดของอัศวินกลุ่มนี้ก็มาจากกลุ่มนักบวชที่ทำหน้าที่รักษาพยาบาลเหล่าผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละ พอถูกฝั่งออตโตมันโจมตีเยอะเข้าก็เปลี่ยนจากพรีสสายฮีลมาเป็นสายตีแทน ซึ่งก็ประกอบด้วยคนจากชนชั้นสูงต่าง ๆ ในยุโรป มีเครื่องหมายประจำกลุ่มคือ กางเขนแปดแฉก
สงครามศาสนาดำเนินไปเรื่อย ๆ ฝั่งออตโตมัน (อิสลาม) ก็รุกคืบมาเรื่อย ๆ เพราะความเจนพื้นที่ ชินกับสภาพอากาศ เหล่าอัศวินผู้กล้าก็ล่าถอยมาปักหลักกันอยู่บนเกาะหนึ่งในกรีซ
ต่อมากษัตริย์แห่งสเปนก็ได้จัดสรรพื้นที่ดินแดนบนเกาะมอลตานี้ให้แก่กลุ่มอัศวิน เพราะว่าตรงนี้นั้นเป็นเมืองที่มียุทธศาสตร์ทางทะเลดีเยี่ยม เหมาะแก่การเดินเรือและการป้องกันข้าศึกทางทะเล
พอสงครามศาสนามันเริ่มจะไม่ใช่เรื่องศาสนาล้วน ๆ แล้ว มันกลายมาเป็นเรื่องของการขยายอำนาจของอาณาจักร ทางฝั่งออตโตมันก็เล็งแล้วว่า เฮ้ยยย เกาะนี้นี่มันแจ๋วว่ะ ก็เลยบุกโจมตีมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมารบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ปิดล้อมดันป้อมปราการไปได้เยอะแยะ ฝ่ายอัศวินเซนต์จอห์นก็สู้ไม่ถอย ไล่คิลอีกฝ่ายจนต้องล่าถอยไปในที่สุด ซึ่งการทำสงครามกันในครั้งนี้นั้น ทางประวัติศาสตร์เขาก็ได้มองว่าเนี่ย เหตุการณ์ครั้งนี้มันเป็นการต่อสู้กันที่มากกว่าการสู้รบระหว่างอัศวินกับพวกเติร์ก แต่เป็นการต่อสู้กันระหว่างตะวันตกและตะวันออก ระหว่างอิสลามกับคริสเตียนที่แท้!
ค่าเข้าชมวิหาร 10 ยูโร รับฟรีทันที Audio Guide!
นี่แค่พื้นวิหารเท่านั้น
อะร้าอร่ามสมกับความบาโรคเป็นที่สุด
แสดงถึงความมีอำนาจของศาสนาคริสต์และการปกครองในยุคนั้นโดยแท้
มีชั้นลอย สามารถเดินขึ้นมาชมวิหารในมุมสูงได้นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in