มาจะกล่าวบทไปถึง เจนีวา - เมืองหลวงของโลก กันเล็กน้อยพอให้ได้สาระนะเออ
เจนีวา หรือ เฌอแนฟว์ (เรียกแบบภาษาฝรั่งเศส โดยส่วนตัวแล้วชอบเรียกแบบนี้มาก ๆ มาตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลาย รู้สึกว่าพออ่านออกเสียงแล้วมันแกรนด์ ๆ สวย ๆ มากทีเดียว) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองลงมาจากซูริคค่ะ และเหตุที่เรียกว่าเป็น เมืองหลวงของโลก นั้นก็เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศกว่า 200 องค์กร เช่น UN UNHCR WTO และสภาชากาด
ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวกระจุ๊กกระจิ๊กอยู่รอบ ๆ เมือง ความเห็นส่วนตัวคือเราสามารถเดินเล่นชมทุกสิ่งได้ภายในวันเดียว ทุกที่อยู่ใกล้ ๆ เกือบหมดเลยนะเออ หรือถ้าขี้เกียจเดินก็สามารถนั่งรถบัสชมเมืองได้เช่นกันค่ะ
รูปร่างหน้าตาของบัตรโดยสารฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว
จะขึ้นรถ ลงเรือ ก็เบ็ดเสร็จอยู่ในบัตรเดียวเลย
ด้านหลังของบัตรมีช่องให้กรอกนามสกุล + เตรียมพกรูปถ่ายพาสสปอร์ตไปด้วยนะเออ
เพราะจะมีเจ้าหน้าที่แรนดอมเช็คอยู่ตลอดค่ะ
ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิค่ะ อากาศยังคงหนาวอยู่ แต่ท้องฟังเริ่มกลับมาสดใสด้วยแสงแดด และก็เริ่มมีสีสันของดอกไม้เข้ามาบอกลาความทึมเทาของฤดูหนาว
และแล้วเราก็เดินมาถึงถนนช้อปปิ้งหลักของเจนีวา นั่นก็คือ Rue de Rhône ค่ะ ถนนสายนี้นั้นรวบรวมช็อปไฮเอนด์แบรนด์ต่าง ๆ ไว้ในที่เดียว เรียกได้ว่าครบทุกอย่าง ทุกแบรนด์เลยจ้า แต่ด้วยความที่เรามาเยือนที่นี่ในวันอาทิตย์ ทุกอย่างเลยปิดเด้อ ทำได้แต่เพียงเมี่ยงมองดูดิสเพลหน้าร้านเท่านั้นจ้ะ (อย่างไรก็ตาม การซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่นี่นั้นก็...แพงมากจ้า เนื่องจากค่าครองชีพที่นี่สูงม๊ากมาก ราคาสินค้าจึงสูงตามไปด้วย แม้จะขอคืนภาษีก็ยังไม่คุ้มเด้อ หากมาเที่ยวเอง โปรดเก็บเงินของท่านไว้ไปละลายที่ฝรั่งเศสหรือเยอรมันจะดีกว่าค่ะ -- อนึ่ง หากท่านจะซื้อนาฬิกา ก็น่าจะมีของมีรุ่นที่อยากได้นะคะ)
และถนนช้อปปิ้งอีกสายหนึ่งที่ขายของไฮสตรีทแบรนด์ อยู่ขนานกันเลยคือ Rue du Marché ค่ะ และด้วยความยุโรปนั่นแหละหนา ทุกอย่างก็ปิดเช่นเดียวกันจ้ะ ขนาดซุปเปอร์มาร์เก็ตยังปิดเลยค่ะคุณขา การใช้ชีวิตในภาคพื้นทวีปนี้มันก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย ทุกอย่างเปิดช้า ปิดเร็ว วันอาทิตย์หยุดกันหมด เฮ้อ จุดนี้นั้นสู้บ้านเราไม่ได้นะจ๊ะ หิวเมื่อไรก็มีของกิน เซเว่นเปิดตลอด ตีสามยังสามารถซดหมี่เกี๊ยวและข้าวต้มริมทางพร้อมส้มตำได้
หลังจากเดินซอกแซกตามตรอกซอกซอย เกาะกระจกดูนั่นนี่ เราก็เดินข้ามถนนมาที่สวน Jardin Anglais (แปลความได้ว่าสวนอังกฤษ) ซึ่งมีแลนด์มาร์กสำคัญคือนาฬิกาดอกไม้
นาฬิกาดอกไม้ L'horloge fleurie เป็นต้นแบบของนาฬิกาดอกไม้ของทั้งประเทศค่ะ ถ้าเราไปเที่ยวสวนต่าง ๆ ในสวิสเซอร์แลนด์ก็จะเจอนาฬิกาแบบนี้นี่แหละฮะ และเขาก็จะเปลี่ยนดอกไม้วนปลูกไปตามฤดูด้วยนะเออ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนาฬิกาดอกไม้ เราก็จะพบกับอนุสาวรีย์ Monument National ที่เป็นอนุสรณ์แห่งการรวมชาติของเจนีวาและสวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1814
ท่าเรือ Genève Jardin Anglais
และเมื่อเราเดินมาถึงตรงริม ทะเลสาบเจนีวา ซึ่งเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เราก็จะพบกับ The Geneva Water Fountain หรือชื่อในภาษาฝรั่งเศสคือ Jet d'Eau ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเจนีวาจ้ะ
ความจริงที่ได้ทราบมาก็คือ เขาไม่ได้ต้องการให้เจ้า Jet d'Eau นี้เป็นแลนด์มาร์กอะไรหรอก เพราะจุดมุ่งหมายคือสร้างขึ้นเพื่อลดแรงดันน้ำในทะเลสาบเท่านั้น แต่เผอิญว่าเจ้าน้ำพุนี่ดันพุ่งขึ้นไปสูงมาก ๆ แล้วมันพุ่งขึ้นสูงแบบเดี่ยว ๆ โดดเด่นตัดกับภูมิทัศน์โดยรอบ เลยกลายเป็นจุดที่คนให้ความสนใจมาถ่ายรูปและกลายเป็นหนึ่งในจุดที่ทุกคนต้องมาชมนั่นเอง
จริง ๆ ทริปนี้ของเราก็จะจบลงเท่านี้แหละค่ะ เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกอย่างปิดทำการกันหมด จะไปพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ได้ จะไปช้อปปิ้งก็ไม่มีอะไรเปิด ถ้าหมดจากการเดินเล่นในโซนนี้ของเมืองก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เหลือแต่นั่งรถบัสไปตรงองค์การสหประชาชาติเท่านั้นแล
เราเลยกะว่าจะไปหาชีสฟองดูว์ทานเป็นอาหารกลางวัน แต่แล้วสายตาก็ไปป๊ะกับป้ายตรงท่าเรือว่ามีบริการล่องเรือชมทะเลสาปเจนีวาพร้อมอาหารกลางวัน เลยตกลงปลงใจไปซื้อตั๋วมาค่ะ (ค่าตั๋วเรือ 39 CHF รวมเซ็ตอาหารกลางวันอีก 65 CHF ก็...คิดว่าไหน ๆ ก็มาแล้วอะเน้ออออ จัดไปฮะ!)
ร้านอาหาร Le Savoie ที่เก๋ไก่อยู่บนเรือเจ้าค่ะ
ระหว่างที่เรารอเรือออกจากท่าก็มีเวลาให้เดินเล่นกุ๊กกิ๊กชมเมืองประมาณชั่วโมงนิด ๆ เราก็เลยไปเดินดูร้านรวงต่าง ๆ ใน Rue de Rhône และปิดท้ายด้วยการนั่งจิบช็อคโกแลตร้อนแก้หนาวค่ะ
วินัยและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
แสดงให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตและคุณภาพประชากรที่แท้
พาน้องหมามาเดินเล่นก็ต้องเก็บกวาดนะจ๊ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in