ด้วยความที่เราพักในโรงแรมที่อยู่ใกล้สนามบิน เราเลยต้องนั่งรถบัสเข้ามาในตัวเมืองจ้ะ ซึ่งทัศนียภาพสองข้างทางก็งดงาม ชวนทำให้เย็นใจ
สิ่งที่เราคิดถึงมากๆรองลงมาจากสายฝนก็คือสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้านี่แหละนะ ได้เห็นแล้วชื่นใจ ในบางเลโอเวอร์ที่เราไม่ได้เขียนเล่าให้อ่านกัน เราก็ชอบไปนั่งเงียบๆในสวนสาธารณะแหละ มันสบายใจดี แม้แต่เวลาที่เราทำไฟล์ทมากรุงเทพ ถ้าเราว่างหรือถ้าไฟล์ทมันเครียด เราก็ชอบไปเดินเอื่อยๆในสวนลุมนะ ปั่นเป็ดอะไรก็ว่าไป เป็นการใช้เวลาอยู่กับตัวเองแบบเงียบๆดี :)
รถบัสมาส่งเราในเมือง เดินมานิดนึงก็ถึง The Royal Palace หรือ Det Kongelige Slott ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนแว้บแรกที่เห็นก็หื้ออออ อยู่ในใจว่านี่คือ The Royal Palace หรือนี่ มีความเรียบง่ายมาก มินิมอลสุด ไม่อร้าอร่ามใดๆเลย เท่ ชอบ ถูกจริต
สามารถเข้าไปเยี่ยมชมด้านในได้นะจ๊ะ แต่ตอนนั้นก็ห้าโมงแล้ว ปิดแล้ว อดเลย
(แต่แสงแดดนี่ไม่ห้าโมงเล้ยยย เหมือนเที่ยงวันเป็นที่สุด)
King Charles John
รอบๆพระราชวังเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้ได้ สามารถเดินเล่น ปั่นจักรยาน หรือนอนอาบแดดได้แบบชิวๆ
มีทหารยามยืนประจำป้อมเท่านั้นแล
เราเดินเล่นตามแผนที่มาเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีจุดไหนที่อยากไปเป็นพิเศษ เหมือนอยู่ในช่วงที่เลิกเอาตัวไปแปะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเพื่อถ่ายรูปแล้วอะ ตอนนี้เราขอเอนจอยกับอากาศ แสงแดด และบรรยากาศรอบตัวบ้าง
มีรถไฟชมเมืองด้วยนะจ๊ะ น่ารักมากกกก
เห็นแดดจ้าแบบนี้ จริงๆแล้วลมเย็นเหมือนกันนะเออ
แต่ก็ไม่พลาดที่จะซื้อไอติมนะเออ ซัมเมอร์ทั้งทีก็ต้องกินหน่อยมะ
เราเดินเอื่อยๆ กินไอติมมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงบริเวณท่าเรือ Aker Brygge ซึ่งมีเรือเยอะแยะ ทั้งเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากไปล่องเรือชมบรรยากาศ เรือข้ามฟ้าไปเกาะแก่งอื่นๆ ตลอดจนเรือส่วนตัวก็มีท่าให้เทียบเรือเช่นกันจ้ะ
น้ำมะนาวจ้าา น้ำมะนาวเปรี้ยวอมหวาน เย็นชื่นใจจ้าาาา
ก็ตามสไตล์ฤดูร้อนในยุโรปนั่นแหละ มี food truck มาตั้ง มีเวทีดนตรีมาเล่น
บรรยากาศรอบๆท่าเรือเลยคึกคักมากทีเดียว มีทั้งหนุ่มสาวมาเดินกุมมือ แก๊งสเก็ตบอร์ด
ครอบครัวที่พาลูกมาเดินเล่นพร้อมน้องหมา และคุณลุงคุณป้าที่นั่งกินไอติมเงียบๆ :)
เวลากับท้องฟ้าดูไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไรเล้ย
นั่งรอโต๊ะของร้านอาหารกันนะจ๊ะ
พี่ชายคนนั้นดูหงอยเหงา ในมือของเขาปัดทินเดอร์
ไม่ใช่!
เมื่อเดินผ่านโซนร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆมาแล้ว เราก็จะถึงตึก Astrup Fearnley Museum of Modern Art ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ที่น่าเข้ามากกกกกกกก แน่นอนว่าหกโมงจะครึ่งแล้ว เขาปิดเด้อ เสียใจ ทำได้แต่เพียงยืนเกาะกระจกร้านขายของที่ระลึกและอยากพุ่งตัวเข้าไปซื้อถุงผ้า และเดินเล่นชมบรรยากาศริมน้ำรอบๆเท่านั้นเอง
แค่เห็นตัวอาคารภายนอกก็ประทับใจแล้วคุณเอ๊ย
เห็นตึกที่งามแล้วดิฉันมีความสุข
ไม่รู้ว่าเคยบอกไปแล้วรึยังนะ
คือเรามีความคิดว่าสถาปัตยกรรมเป็นเครื่องมือที่ช่วย shape คนในสังคมได้อีกทางหนึ่งอะ
นอกเหนือจากกฎหมายที่ใช้บังคังให้คนอยู่ในกรอบมีระเบียบ
แบบสถาปัตยกรรมที่ดี ฟังก์ชั่นครบ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนโดยรวมมันดีอะ
มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น และความงามมันช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้สุนทรีย์
พอจะนึกภาพออกไหม
มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ไม่พอ สภาพแวดล้อมรอบตัวมันต้องเอื้อด้วย
เพื่อให้คนเกิดจิตสำนึกในเรื่องสาธารณะอะ
คือทุกอย่างมันเป็นเหมือนวงกลมที่ซ้อนทับกันไปหมด
ทั้งการศึกษา ระบบการวางผังเมือง กฎหมาย ระบบการคมนาคมต่างๆ
การมีคุณภาพชีวิตที่ดีมันคือเรื่องพื้นฐานนะ
เป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีพึงได้ ที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วย
(ซึ่งพอกลับไทยไปทีไรก็ต้องแอบถอนหายใจ บีทีเอสเจ๊งเงี้ย ฝนตกแล้วน้ำท่วมเงี้ย)
โอเค ชักไปไกลแล้ว แต่นั่นแหละ
สิ่งที่อยากจะบอกคือเรารู้สึกถึงคุณภาพชีวิตที่แตกต่างอะ
ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง
ประเทศไทยของเราจะกระจายความเจริญสู่เมืองอื่นๆ
คนจะได้ไม่มากระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองใหญ่
และมีระบบคมนาคมที่ครอบคลุม รวดเร็ว ว่องไวเสียที
(ไม่เอาแล้วนะที่บอกว่าให้สร้างถนนก่อนรถไฟความเร็วสูง)
และก็หวังว่าสักวันหนึ่ง
ภาษีที่จ่ายไปทั้งทางตรงและทางอ้อม
จะถูกเอามาใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควรเสียที
จะมีวันนั้นไหมนะ...
(เขียนแบบนี้แล้วข้าพเจ้าจะได้กลับประเทศมั้ยวะเนี่ย)
นี่คือห้องน้ำที่แผงตัวอย่างเงียบเชียบกลมกลืน
นี่คือน้ำในคลอง ย้ำว่าน้ำในคลอง ที่ไหลออกสู่ทะเล
ใสสะอาดมาก ลงไปว่ายได้ ลูกเด็กเล็กแดงเล่นน้ำกันเต็มไปหม๊ด
ไม่เหมือนคลองแสนแสบที่น้ำกระเซ็นมาโดนแขนแล้วรู้สึกแสบผิวตะหงิดๆ
คาดว่าถ้าเอามือจุ่มลงไปแล้วยกขึ้นมาคือมือหายไปแล้ว โฮ
เอนจอยแสงอาทิตย์ส่องกันไป
ข้างๆพิพิธภัณฑ์ก็มีสวน Tjuvholmen skulpturpark (อย่าถามว่าอ่านออกเสียงยังไง)
ซึ่งก็มีรูปปั้นวางเรียงราย ชิ้นที่ได้รับความสนใจจากชาวประชามากที่สุดก็คือ
รูปปั้นน้องนม
ผิด ไม่ใช่! รูปปั้น Eyes นี้นี่เองงงงงง
ความรู้คู่เลโอเวอร์:
อันนี้เป็นเรื่องราวแรนดอมที่อยากจะเล่า อยากจะเขียนขึ้นมาเฉยๆ แต่ไม่รู้จะเขียนตอนไหนก็เล่ามันตอนนี้ละกัน อะ ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าซูชิหน้าแซลมอนนั้น ใครกันที่เป็นคนคิด
ติ๊กต่อกกกก หมดเวลาาาาาา
ความจริงแล้วกลุ่มก้อนมนุษย์ที่เป็นผู้คิดค้นแซลมอนซูชิไม่ใช่ชาวอาทิตย์อุทัยแต่อย่างใด แต่เป็นชาวนอร์เวเจี้ยนนี่เองงงงงงง (แน่ล่ะ ญี่ปุ่นไม่มีแซลมอนนี่ ไม่ใช่ปลาพื้นเมืองนะเออ) ขอขอบคุณพี่น้องชาวนอร์เวย์เจี้ยนไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้ะ ที่ริเริ่มเอาแซลมอนไปวางบนข้าวให้เราได้กินกันในทุกวันนี้ เย่เย่เย่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in