เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Blue woofer จากประสบการณ์ปลงAui Meesri
Chapter 1 : ทุกสิ่งใหม่
  •  “เรื่องราวนี้เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่อยากเดินทางแบบแปลกใหม่ แต่ไม่ว่าง เดี๋ยวกูพาไป ”
    ปล. ยาวหน่อยนะ ถ้าขี้เกียจอ่านก็ดูรูปเอา แต่อ่านหน่อยเถอะ ตั้งใจเขียน ขออภัยหากมีคำหยาบ

         ครั้งแรกเปิดซิง เดินทางคนเดียว เปลี่ยวใจมาก เสือกเลือกญี่ปุ่นด้วยนะ เอาจริงๆก็อยากลองเที่ยวแนวใหม่ๆดู ไปเจอเรื่องวูฟในเว็บ ถูกใจมากมึง คืออย่างแรกเลยประหยัดเงิน สำคัญมั้ยล่ะ? เออ! คนหาเช้ากินค่ำไงแต่อยากเที่ยว อย่างสองคือ ประสบการณ์ที่ได้รับตรงๆจากคนญี่ปุ่นที่มึงไม่รู้จักเขามาก่อน เขามาทำอาหาร มาสอนทำงาน มึงจะได้เห็นตั้งแต่ตื่นเช้าว่าเขาขี้แล้วกดชักโครกหมดมั้ย จนถึงตอนนอนว่าเขาหลับกรนเสียงดังรึเปล่า (จริงๆไม่ต้องเสือกเรื่องเขาขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าๆ)

    โอเค ก่อนจะไปถึงบ้านโฮสต์ กูขอเล่าความชิปหายเปิดเรื่องก่อนเลย พอลงสนามบินก็ต่อรถบัส
    พอถึงสถานีหลักคนเยอะมากๆต้องต่อรถไฟ ทีนี้ละมึง ป้ายทุกอย่างภาษาญี่ปุ่น ซื้อตั๋วยังไงไม่รู้
    สกิลญี่ปุ่นที่เรียนมาหายเกลี้ยง วุ้นแปลภาษาที่แดกแล้วอ๊วกออกตอนเมารถ  ได้แต่เดินวนไปวนมา 
    ดูว่าคนเขาซื้อยังไง เลือกแบบไหน ทำท่าชี้โน่นนี่แก้เขิน 

    จนคุณน้าท่านนึงแกคงรำคาญกูอะแหละ เข้ามาทักอังกฤษว่าจะไปไหนยังไง ก็เลยให้แกช่วยซื้อตั๋ว
    แกบอกว่าใช้บัตร iCOCA ได้นะไอ้หนุ่มมึงไม่รู้เหรอ เติมเงินไว้แล้วกดเข้าออกได้ไม่ต้องมารอซื้อหน้าตู้
    กูก็เชื่อแก เติมเงินไปหมื่นเยน (ไอ้เหี้ยมารู้ทีหลังมึงไม่ต้องเติมเยอะขนาดนั้น)
    พอได้บัตรมาก็เข้าไปรอรถไฟที่จะผ่านบ้านโฮสต์ รอนานแล้วไม่มาสักทีเลยไปถามนายสถานี
    เขาก็ใจดีเอาข้อมูลออกมาเช็ค เขียนเวลารถไฟมาพร้อมราคาให้เรียบร้อยแล้วบอกไปรออีกฝั่ง
    สรุปที่กูยืนมาตั้งนานเนี่ยคือยืนผิดฝั่ง? ...ไอ้ซั๊ส!(เสียงน้าค่อม) 

    พอรถไฟมาก็รีบขึ้นจนลืมสังเกตบางอย่าง คำว่า Limited Express ถ้าขึ้นแบบนี้มันไม่จอดทุกสถานี
    มันจะจอดแค่สถานีใหญ่ๆ ถ้าขึ้นต้องเสียค่าที่นั่งเพิ่ม เพราะไม่ได้ใช้ JR pass 
    กูเลยต้องเสียค่าโง่ไป 1,400 เยน แถมต้องลงสถานีปลายทางเพื่อต่อรถไฟแบบ Local ไปสถานีบ้านโฮสต์ เห้อ....ความยากลำบากในการตามหาบ้านโฮสต์ ซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนที่อากู๋ ในที่สุดกูก็มาถึง

    เมือง Kushimoto ถึงสักทีโว้ย! เพียงก้าวเท้าลงสถานีได้ไม่นาน โฮสต์คุณแม่ก็ขับรถมารับ ตรงตามเวลานัดเป๊ะ!! เรื่องเวลาเรื่องใหญ่ เรื่องความไว ไม่ต้องสน ไม่พูดพล่ามทำเพลง คุณแม่วัยเกือบ 60ปีสับเกียร์ออกตัวแรงยิ่งกว่า ดอม โดมินิค โทเร็ตโต้ ไมล์วัดของรถพุ่งไปที่ 90 km/hrในขณะที่รถวิ่งผ่านป้ายจำกัดความเร็ว 60km/hr กูเลยให้ฉายาโฮสต์แกว่า “696 แห่งคุชิโมโตะ”  
    เหลืออย่างเดียวที่โฮสต์ยังไม่ได้ทำคือพากูดีฟลงภูเขา ฟล๊าาาาวววววววววว 

    พอมาถึงบ้านก็เริ่มได้กลิ่นญี่ปุ่นขนานแท้ สภาพบ้านภายนอกเป็นบ้านไม้สน ใครม่ายสนกูสน
    มารู้ทีหลังว่าบ้านหลังนี้อายุเกือบ 70 ปีแล้วจ้า ด้านหน้าปลูกดอกไม้น่ารัก ด้านข้างปลูกต้นไม้ พวกเชอรี่ด้านหลังเป็นสวนผัก และเล้าไก่ เหมือนบ้านในการ์ตูนเลยมึง น่ารักมาก ดูอบอุ่น
    บ้านนี้เลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งชื่อ โระคุ(แปลว่าเลขหก) เป็นหมาที่ดีดมาก
    เจอกันครั้งแรกแมร่งโดดใส่กูจนล้ม เลียหน้าเลียตา เลียไข่(อันนี้ไม่เกี่ยว)
    ยังไงก็ขอผูกมิตรไว้ก่อนเพราะต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน หวังว่าโระคุจังจะให้ความกรุณา

  • おじゃまします!โอะจามาชิมาสสสสส ขอรบกวนด้วยนะคร้าบ ภาษาญี่ปุ่นกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
    ประตูไม้ บานเลื่อนขนาดใหญ่ (หนักด้วย) ถูกเปิดออกพร้อมกับคำว่า โอโห!!!! นี่บ้าน?
    กูนึกภาพร้านกาแฟชิคๆคลูๆ ค่าเฟ่แถวพร้อมพงษ์ที่ตกแต่งสวยๆอ่ะ
    ได้อารณ์แจแปนสไตล์ ภายในบ้านมองผ่านๆเหมือนจะรกเพราะมีของค่อนข้างเยอะ 

    แต่ถ้ามองดีๆมันคืองานศิลป์ ทุกอย่างถูกจัดวางในที่เหมาะสมของมันอย่างมีระเบียบ 
    แถมยังมีเปียโนกับกีตาร์คลาสสิค !!! ไอ้สาด บ้านกูไม่เคยมีเลยดูตื่นเต้นมากไปหน่อย
    ยังมีภาพวาดสวยๆ ทั้งสีน้ำมัน สีน้ำ ภาพประกอบลายเส้นติดตามผนัง
    โฮสต์บอกว่าลูกชายแกวาดไว้ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว กูฟังแล้วก็อึ้งเลย
    กุมมือแกแล้วพูดแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วยสีหน้าเศร้าส้อย 
    โฮสต์บอกว่าเขาไปเรียนต่อในเมือง ยังไม่ตายโว้ย!! โถ่ววว หน้าแตกเลยกู

  • ส่วนที่ชอบที่สุดคงเป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ อยู่ติดกับครัว มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงยุคเก่า
    มีแผ่นเสียงคาดว่ายุค 80’s เต็มไปหมด พร้อมหนังสือมากมายเกือบจะเป็นห้องสมุดขนาดเล็กได้เลย
    เห้ย!! นี่มันเหมือนงานนิทรรศการศิลปะ ดนตรี เหมือนห้องหนังสือ ประวัติศาสตร์ครูดนตรีถูกรวบรวมไว้ให้ได้เสพสรร โอ้ย ฟินมาก กูก็พูดให้ดูเวอร์ๆเข้าไว้ เพราะอธิบายความรู้สึกว้าวไม่ออก 

    กูชอบที่นี่ว่ะ!! เลือกไม่ผิดเลยจริงๆ
    เวลามาพักบ้านคนอื่นหลายๆวันแบบนี้สิ่งสำคัญสุดที่มึงต้องสำรวจก็คือ "ห้องน้ำ"
    กูเดินตรงไปยังห้องน้ำ บริเวณใต้บันไดถูกออกแบบให้เป็นห้องเก็บของตรงข้ามเป็นห้องน้ำ
    ในห้องน้ำมีเพียงโถเล็กๆ และผ้าไหมพรมลายกระต่ายถักคลุมฝาชักโครกเพื่ออุ่นตูดยามเช้า
    น่ารักมากมึง มันดูสงบเวลานั่งขี้นานๆ มองลอดกระจกออกไปเห็นวิวถนน 

    แต่เดี่ยวนะ! แล้วอาบน้ำที่ไหน?
    เห้ย! คงไม่ได้อาบนอกบ้านนะ กูหันไปถามโฮสต์เรื่องที่อาบน้ำด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย
    โฮสต์เลื่อนบานประตูไม้บานใหญ่ขนาดสองคนแบกด้วยแขนข้างเดียว(โฮสต์กูแข็งแรงมาก)
    ก็พบว่าด้านหลังเป็นอีกห้องที่มีอ่างอาบน้ำ !! รอดแล้วจ้า
    เราเรียกมันว่า “โอะฟุรุ” ห้องอาบน้ำแบบโบราณ อ่างไม้และพื้นไม้สำหรับปูนั่ง
    สภาพผ่านการใช้งานมายาวนาน หอมกลิ่นไม้สน ผสมกลิ่นตะไคร่
    ช่างกลมกล่อมรูจมูกเสียจริง หลังจากนี้ชีวิตกูมีประสบการณ์มากมายกับอ่าง
    เดี่ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง

    こっち、こっち โคะจิ ๆ ทางนี้ๆ
    โฮสต์แม่เรียกไปดูห้องพัก ห้องนอนขนาดนอนได้สองคนกำลังดี ปูเสื่อทาทามิไว้พร้อม
    มีประตูกระดาษแบบญี่ปุ่นบานใหญ่เปิดรับลมได้ดี พอตกกลางคืนก็หนาวจับใจ
    ฟูกผืนใหญ่และผ้าห่มถูกกองไว้ และอีกส่วนอยู่ในตู้ เหมือนห้องนอนโนบิตะเลยมึง
    กูคาดหวังให้เปิดตู้ออกแล้วเจอโดเรม่อน แต่กลายเป็นโต๊ะบูชาพระแทน สาธุ .....



  • เอาล่ะ! ทีนี้ขอแนะนำทำเนียมการอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นของบ้านนี้หน่อย
    1.  ถ้าเราเป็นแขกเขาจะให้เราลงแช่ก่อน 
    2. กูม่ใช่แขก เป็นคนไทย (มุกเหี้ยไรเนี่ย) มาอยู่หลายวันจึงถือว่าเป็นคนในครอบครัว ดังนั้น เขาจะเรียงจากเพศชายก่อน แล้วก็เรียงลำดับอายุมากกว่าลงอ่างก่อน กูเลยได้อาบลำดับที่สอง
    3. น้ำร้อนไม่ได้มาจากไฟฟ้าต้องต้มผ่านเตาฟืนจากนอกบ้านแล้วให้ความร้อนผ่านเข้ามาจนได้อุณหภูมิที่พอเหมาะซึ่งคืองานที่กูต้องรับผิดชอบ ส่วนโฮสต์คุณพ่อจะอยู่ฝ่ายควบคุมอุณหภูมิ ทำงานเป็นทีมมาก
    4. ก่อนลงอ่าง ให้ล้างตัว ถูสบู่ให้สะอาดโดยใช้น้ำจากฝักบัวแล้วค่อยลงไปแช่ในอ่าง (มึงจะอาบน้ำจากฝักบัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้านอนเลยก็ไม่มีใครว่านะ)
    5. พอแช่แล้วสักพัก จะต้องขึ้นมาล้างตัวอีกรอบแล้วลงไปแช่ใหม่ เพราะแช่น้ำร้อนนานเดี๋ยวมึงตาย
    6. น้ำที่แช่วันนี้ จะไม่ปล่อยทิ้ง แต่จะต้มใหม่อีกครั้งในวันถัดไป สรุป 2 วันเปลี่ยนน้ำเพื่อประหยัด และเพื่อความเข้มข้น (นึกถึงน้ำซุป)
    7. ถ้าแช่เสร็จคนสุดท้ายให้เอาฝาไม้มาปิดอ่างไว้ด้วย
    ถ้าทุกคนเข้าใจแล้ว ก็ปฏิบัติภาระกิจได้เลย ไป๊!!!
    ทุกวันหลังจากลิกงานทำสวน กูต้องมานั่งยัดฟืนเข้าเตาไปเรื่อยๆ
    จนกว่าจะได้ยินเสียงพ่อตะโกนว่า "OK ! "กว่าจะได้อุณหภูมิที่เหมาะสม ต้องยัดฟืนจนหน้าดำ 
    เออลืมบอก การก่อไฟจะใช้น้ำมันก๊าดในการจุดชนวน พอหมุนตรงวาล์ว ไฟจะพุ่งออกมา
    วันแรกของกูคือหมุนเยอะไป ไฟท้วมเตาเลยไอ้เหี้ย โฮสต์ต้องมาช่วยดับ 
    จากวูฟเฟอร์กลายเป็นคนวางเพลิงฮ่าๆๆ เกือบวอดทั้งหลังแล้วมั้ยล่ะ

    วันแรกของกูกับอ่างอาบน้ำจึงมีความทรงจำที่ลืมไม่ลง
    ยัดฟืนมาตั้งนาน จะแช่ให้สบายตัวไปเลย!! ออนเซ็นแรกของทริปญี่ปุ่น
    เมื่อเปลื้องผ้าให้ผิวกายกระทบไอน้ำ หย่อนเท้าข้างแรกสัมผัสกับน้ำ เท่านั้นแหละ
    เชี่ย!!! ร้อน!!! พอดีของคุณพ่อ? นี่เรียกน้ำเดือดรึเปล่าว่ะ กูว่าเอาไข่มาต้มยังได้อ่ะ
    นั่นแหละครับ เรื่องของอ่างอาบน้ำ ทุกวันนี้กูก็ยังไม่เข้าใจกับคำว่า “อุณหภูมิที่พอดี”

    เอ้าๆ ! เสร็จแล้วตามแม่มานะ จะพาไปดูไร่
    เสียงโฮสต์แม่ดังมาจากหน้าบ้านพร้อมเสียงเร่งเครื่องรถมินิแคป ที่สตาร์ทเครื่องไว้พร้อมออกเดินทาง
    ฮั่นแน่!! ชอบเร่งเครื่องก็ไม่บอก ได้คร้าฟ จะไปเดี๋ยวนี้ละคร้าฟฟฟ
    การเป็นนิฮงจินชาวไร่ของผม ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว....ลุย!!! 

    สรุปข้อคิดจากประสบการณ์ที่ควรปลง
    • สถานีรถไฟคนเยอะมาก ไม่รู้อะไรให้ถามเจ้าหน้าที่ได้เลยอย่าเสือกทำเป็นรู้
    • ก่อนขึ้นรถไฟสังเกตดีๆว่าถูกสาย ถูกชนิด จะได้ไม่เสียเงินเพิ่ม
    • ญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีอ่างอาบน้ำทุกบ้าน แล้วคำว่า น้ำร้อน สำหรับเราคือน้ำร้อนจริงๆ ไม่ได้อุ่น 


    ฝากติดตาม กดไลท์ กดแชร์ กดตะไคร้ ใบมะกรูด อะไรก็ได้ครับฮ่าๆ
    เรื่องราวยังมีอีกมากมาย มาดูกันว่าชีวิตของการเป็นวูฟที่ญี่ปุ่นจะเป็นยังไง 
    มีความชิบหายอะไรอีกบ้าง รอติดตามตอนต่อไปจ้าาาาา 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Teerapat Morya (@fb1425830920806)
ติดตามค้าบ