เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
AUSTRIA SONATA แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับคลาสสิกSALMONBOOKS
01: ‘ออสเตรีย’ โว้ย! ไม่ใช่ ‘ออสเตรเลีย’
  • เมื่อผมพูดว่า “เออ เดือนตุลาฯ กูจะไปออสเตรียนะ” ปฏิกิริยาของคนรอบข้างก็เป็นดังนี้

    “ไอ้ประเทศที่มีจิงโจ้เยอะๆ ใช่มะ”
    “หมีโคอาลาที่นั่นน่ารักมากเลยแก”
    “เออดีๆ แต่ซิดนีย์คนไทยเยอะมากเลยนะ”

    ทุกครั้งผมก็ต้องตอบพวกมันว่า

    “ออสเตรียยยยโว้ย ไม่ใช่ออสเตรเลีย”

    แต่แม้จะทำให้เพื่อนๆ เข้าใจได้ว่าไปออสเตรีย (ที่ไม่ใช่ออสเตรเลีย) เรื่องก็ยังไม่จบเท่านั้น...

    “อ้อ ออสเตรียๆ ไปดูดนตรีคลาสสิกสินะ”
    “เปล่า”
    “ไปดูพวกตึก โบสถ์ไรงี้ใช่มะ เห็นเขาว่าสถาปัตยกรรม
    ที่นั่นสวย”
    “เปล่า”
    “...แล้วมึงไปทำห่าอะไร”
    “ไปตามรอยหนัง Before Sunrise
    “...............”

    นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นทริปออสเตรียของผม
  • คุณผู้อ่านเคยดูหนังชุด Before Trilogy ของผู้กำกับ Richard Linklater มั้ยครับ?

    หนังชุดนี้ประกอบไปด้วย Before Sunrise (1995) Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) เป็นหนังว่าด้วยความสัมพันธ์ในช่วงเวลา 18 ปีของชายหญิงนาม เจสซี่ กับ เซลีน

    ความเป็นตำนานของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่แต่ละภาคเข้าฉายห่างกันเก้าปีครับ ซึ่งเอาจริงๆ เขาก็กะสร้างแค่ภาคเดียวนั่นแหละ แต่หลังจากเล่นหนังภาคแรก Ethan Hawke กับ Julie Delpy สองพระนางก็เกิดอินในตัวละคร เลยคุยกับลิงก์เลเตอร์ว่าเรามาทำภาคสองกันเถอะ แต่ปรากฏว่านายทุนไม่ยอมให้ตังค์ (เพราะหนังทำกำไรได้ไม่มากเท่าไหร่) จนเวลาผ่านมาเก้าปีพวกเขาเลยตัดสินใจทำหนังด้วยงบประหยัดสุดๆ และเมื่อจะมีภาคสาม พวกเขาก็มีเหตุผลง่ายๆ ว่าไหนๆ ภาคหนึ่งกับสองก็ห่างเก้าปีแล้ว ภาคสามก็ตามสูตรนั้นไปเลยแล้วกัน (เออ ง่ายดี)

    ดังนั้นเวลาภาคต่อของหนังชุด Before Trilogy กลับมา แฟนๆ ก็จะเหวอว่า เฮ้ย นี่มึงยังทำหนังชุดนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย

    ความน่าสนใจของหนังตระกูลนี้อยู่ที่ตัวละครเติบโตไปตามเวลา เช่น ภาคแรกเล่าเรื่องในช่วงที่เจสซี่กับเซลีนยังเป็นนักศึกษา แล้วก็มาเจอกันตอนเที่ยวแบ็คแพ็ค ภาคสองเป็นตอนวัยสามสิบที่ทำงานทำการกันแล้ว และภาคสามก็เป็นช่วงที่พวกเขาอยู่ในวัยกลางคน เรียกได้ว่าเห็นนักแสดงตั้งแต่วัยแรกแย้มจนเข้าสู่วัยใกล้แง้มฝาโลง ดูครบสามภาคถึงกับปลงในสังขาร อยากละกายหยาบบรรลุหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากันไปเลย (นี่ถ้าจะมีภาคสี่ คงต้องชื่อ Before We Die)

    ความพิเศษอีกอย่างของหนังชุด Before Trilogy คือแม้จะเป็นหนังสัญชาติอเมริกัน แต่มันไม่เคยถ่ายทำในสหรัฐอเมริกาเลย หนังแต่ละภาคถ่ายทำในประเทศโซนยุโรป นั่นคือ เวียนนา (ออสเตรีย) ปารีส (ฝรั่งเศส) และคาร์ดามีลี (กรีซ) ตามลำดับ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลเหมือนกัน

    ลิงก์เลเตอร์บอกว่าที่ภาคแรกเขาจับตัวละครไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เพราะเวลาท่องเที่ยวเราจะเปิดรับประสบการณ์แปลกใหม่มากกว่าปกติ ภาคสองถ่ายที่ปารีสก็เพราะนางเอกในเรื่องเป็นคนฝรั่งเศส ส่วนภาคสาม พระเอกนางเอกไปพักตากอากาศ เลยเลือกถ่ายทำที่หมู่เกาะในกรีซที่ดู ‘ทัวริสต์’ สุดๆ
  • การตามรอยโลเคชั่นของหนังชุด Before Trilogy ของผมจึงเป็นอะไรที่ป๊อปมาก (อย่างน้อยก็ป๊อปกว่าการตามหาทุ่งอีเธอร์ใน All About Lily Chou-Chou แน่ๆ) เพราะหนังชุดนี้แสนจะโด่งดัง แถมยังเป็นหนังที่ตัวละครพูดภาษาอังกฤษด้วย มันเลยเข้าถึงคนได้ในวงกว้าง แฟนหนังก็ไปตามรอยกันมาจนพรุนแล้ว ถึงขนาดว่ามีคนทำแผนที่ไว้อย่างละเอียด มีพิกัดลละติจูดลองจิจูดเสร็จสรรพ (ดีมาก กูไม่ต้องเดินหลงแบบตอนทุ่งอีเธอร์แล้ว)

    เกริ่นมายืดยาวขนาดนี้ ผู้อ่านคงคิดว่าผมต้องคลั่งไคล้หนังชุดนี้มากแน่ๆ

    อืม...เปล่าครับ (อ้าว)

    โอเค อธิบายให้ละเอียดหน่อย คือชอบก็ชอบอยู่หรอก แต่ไม่ได้ชอบทุกภาค อย่างภาคแรก Before Sunrise ซึ่งเป็นภาคแรก ผมจะอินน้อยสุด เพราะมันเป็นเรื่องวัยรุ่นหนุ่มสาวมุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง แบบว่าหนุ่มสาวเจอกันบนรถไฟ คุยกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตัดสินใจลงรถไฟไปเที่ยวด้วยกันแล้ว เพ้อเจ้อสิ้นดี ชีวิตจริงมึงถูกหลอกไปฆ่าหมกป่าแหงๆ แถมไอ้ผมก็ไม่ได้ดูตอนที่มันเข้าฉายใหม่ๆ มาดูตอนอายุปาเข้าไปจะสามสิบ ผ่านชีวิตกร้านโลกมาขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่อิน แต่สองภาคหลังที่มันเล่าเรื่องในวัยที่โตขึ้น (หรือแก่นั่นเอง) ก็เริ่มอินเป็นพิเศษ เพราะหนังมันจริงมาก ไม่ได้เพ้อฝันอะไรกันแล้ว

    แต่จะตามโลเคชั่นทั้งที ให้ข้ามไปปารีสเพื่อ Before Sunset เลยก็กระไรอยู่ ผมจึงตัดสินใจตามโลเคชั่นแบบเรียงตามในหนัง (เหตุผลการไปเที่ยวของผมแต่ละครั้งก็สิ้นคิดแบบนี้แหละ คิดว่าผู้อ่านคงเริ่มชินกันแล้ว) ส่วนออสเตรียก็อยากไปอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัย ไม่ได้โจรชุมโหดสัสแบบพวกฝรั่งเศสหรืออิตาลี น่าจะเหมาะกับละอ่อนยุโรปอย่างเรา
  • ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับออสเตรียเท่าไหร่นอกจากเป็นประเทศบ้านเกิดของ Wolfgang Amadeus Mozart ลองถามเพื่อนรอบตัวก็ไม่มีใครเคยไป ส่วนใหญ่ไปกันแต่อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ครั้นไปเดินหาไกด์บุ๊คตามร้านหนังสือก็แทบไม่มีเล่มไหนเกี่ยวกับออสเตรียแบบเนื้อๆ เน้นๆ มีแต่ทัวร์ยุโรปเก้าประเทศในสองสัปดาห์ ซึ่งผมไม่สามารถเที่ยวยาวขนาดนั้นได้ เพราะใช้วิธีมารหนีเที่ยวตอนมหาวิทยาลัยสอบมิดเทอม (อันเป็นช่วงที่อาจารย์พิเศษไม่มีสอน) (เผื่อลืมไปแล้ว ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ ติดตามได้ใน เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ ขายของซะเลย) เลยมีเวลาแค่สัปดาห์เดียว

    ในเมื่อเพื่อนก็ไม่เคยไป ไกด์บุ๊คก็พึ่งพาไม่ได้ ผมเลยลองกูเกิลด้วยการพิมพ์ว่า ‘ออสเตรีย’ และสิ่งที่พบคือ...

    “เที่ยวบินราคาถูกไปยังออสเตรเลีย”
    “จะไปออสเตรเลียรบกวนช่วยแนะนำเรื่องสายการบินด้วยค่ะ”
    “ทัวร์ออสเตรเลีย 10 สถานที่ท่องเที่ยวออสเตรเลียสุดเจ๋งแดนจิงโจ้”
    “เรียนมหาวิทยาลัยออสเตรเลียไม่แพง”
    .
    .
    .
    นี่กูเปลี่ยนไปเที่ยวออสเตรเลียจะง่ายกว่ามั้ยเนี่ย!
  • CLASSIC MOMENTS:
    แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี


    ผู้อ่านหลายท่านอาจเข้าใจว่าการไปออสเตรียคือการไปยุโรปครั้งแรกของผม ซึ่งจะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ (ผู้อ่านคงคิดว่านี่มึงเขียนอะไรยืดเยื้อเพื่อให้กินพื้นที่ต้นฉบับใช่มั้ย)

    อันที่จริงแล้วเมื่อปี 2012 ผมเคยไปเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีมาแล้ว แต่คราวนั้นเป็นโครงการทัศนศึกษากับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นยุคก่อนที่ผมจะเขียนซีรีส์ แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ผู้อ่านเลยอาจไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่ (ก็พูดไปเลยสิว่าตอนนั้นมึงยังเป็นใครก็ไม่รู้ สุดแสนจะโนบอดี้และโนโปรไฟล์ ไม่มีใครเขาสนใจมึงหรอก)

    ด้วยความที่มันเป็นการทัศนศึกษา ผมจึงไม่ต้องจัดการอะไรเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเรื่องวีซ่า โปรแกรมเที่ยว หรือเงิน ตอนนั้นคุณชายสุดๆ แค่เดินตามเขาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดิ้นรนผจญภัยฝ่าวิบากกรรมอะไรมากมาย

    แต่การไปออสเตรียครั้งนี้คือการไปด้วยตัวเอง (แถมยังเพิ่มความลำบากด้วยการไปคนเดียว) ต้องจัดการเรื่องเองทั้งหมด จ่ายเงินเอง หาข้อมูลเอง ลุยเอง งงเอง

    ดังนั้น ผมขอถือว่าทริปนี้เป็นการไปยุโรป ‘ด้วยตัวเอง’ ครั้งแรกก็แล้วกันนะครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in