เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
AUSTRIA SONATA แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับคลาสสิกSALMONBOOKS
02: ไฟลต์รวด 11 + 3 ชั่วโมง
  • หลังจากพยายามหาข้อมูลออสเตรียมาครึ่งวันแล้วเจอแต่ออสเตรเลีย ในที่สุดผมก็เจอรุ่นน้องในเฟซบุ๊คคนหนึ่งที่เคยไปเที่ยวออสเตรีย (แถมเธอได้ไปฟรีเพราะติดโครงการทัศนศึกษาอันเดียวกับที่พาผมไปเบอร์ลิน) และคุณน้องเธอยังเก็บ

    ไฟล์แพลนเที่ยวไว้ด้วย ผมจึงขอยืมมาก๊อปแอนด์อะแดปต์เสียเลย วะฮะฮ่า

    แต่ระหว่างที่มโนทริปออสเตรียไปเรื่อย ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ...กูต้องไปขอวีซ่าก่อนนี่หว่า

    เนื่องจากพาสปอร์ตของประเทศไทยนั้นมีอำนาจมากเหลือเกินนนน (โปรดเดาน้ำเสียงเอง) ใช้เข้าประเทศอื่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 63 ประเทศ (ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์เข้าได้ 140 และ 143 ประเทศ) แต่ไอ้ 63 ประเทศที่เข้าได้ดันเป็นประเทศลับแลอะไรไม่รู้เสียเยอะ ชาวไทยที่จะไปเที่ยวโซนยุโรปหรือสหรัฐฯ จึงต้องติดบ่วงกรรมขอวีซ่ากันต่อไป

    สำหรับออสเตรียนั้นใช้วีซ่าเชงเกน (Schengen เป็นวีซ่าร่วมของประเทศแถบยุโรป แต่บางประเทศก็ไม่ได้เข้าร่วม) ที่ชอบมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าขอยากนั่นนี่ แต่รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์บอกว่าสบายๆ เตรียมเอกสารไปให้ครบก็พอ หลังจากทำการบ้านมาอย่างดี ผมก็เดินเข้าศูนย์วีซ่าของออสเตรียอย่างมาดมั่น (อนึ่ง การขอวีซ่าเชงเกนนั้นให้ขอวีซ่ากับประเทศที่ไปอยู่นานสุด แต่ผมไปออสเตรียประเทศเดียว ก็เลยทำที่ศูนย์วีซ่าของออสเตรียได้เลย)

    และการไปขอวีซ่าก็ช่างน่าประทับใจจริงๆ...
  • เรื่องของเรื่องคือ ผมนัดทำวีซ่าไว้ตอน 10:45 น. ผมไปถึงศูนย์วีซ่าตรงเวลาเป๊ะ เจ้าหน้าที่ (ที่โคตรดุ) ก็บอกให้ไปนั่งรอเรียกชื่อข้างใน ระหว่างนั่งรอผมรู้สึกว่างเปล่ามาก เพราะเจ้าหน้าที่สั่งให้ปิดมือถือ หนังสืออะไรก็ไม่ได้พกติดตัวมา เลยได้แต่จ้องพื้นจ้องเพดานไปเรื่อย ทว่าผ่านไปเนิ่นนานจนจะได้เวลาพักเที่ยงอยู่แล้วก็ไม่มีใครเรียกชื่อผมสักที เลยตัดสินใจเดินไปถามเจ้าหน้าที่

    ผม: “โทษนะครับ คือมารอตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นมีใครเรียกชื่อผมเลยครับ”
    เจ้าหน้าที่: “ชื่ออะไรคะ”
    ผม: “คันฉัตรครับ”
    เจ้าหน้าที่: (เปิดกระดาษอะไรสักอย่างด้วยท่าทางหงุดหงิด) “ชื่อนี้เรียกผ่านไปแล้วนะคะ”
    ผม: “อ้าว มันจะผ่านไปได้ไงครับ ผมมาตรงเวลา นั่งอยู่ในนี้ตลอด นี่ปวดฉี่ยังไม่ยอมลุกไปไหนเลย”
    เจ้าหน้าที่: “อ๋อ เราเรียกคิวล่วงหน้าค่ะ”
    ผม: “...!@#$%#$^$@%#@$%#@$”

    สาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

    (เพลง กูไปฆ่าพ่อมึงเหรอ ของ Sepia ดังกระหึ่มเป็นซาวด์แทร็กประกอบชีวิตทันที)

    เจ้าหน้าที่บอกให้ผมกลับมาอีกทีหลังช่วงพักเที่ยง สุดท้ายกว่าจะได้ขอวีซ่าก็เสียเวลาทำมาหากินเบ็ดเสร็จไปสี่ชั่วโมงเต็ม แถมระหว่างที่รอผลก็จะมีข้อความจากทางศูนย์วีซ่าส่งมารายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ซึ่งมันก็ดีนะครับ ถ้าไม่ได้ส่งมาเป็นภาษาต่างดาว! กูอ่านไม่รู้เรื่อง! นี่มึงเกลียดกูมากใช่มั้ย! หรือว่าออสเตรียเปลี่ยนภาษาทางการจากเยอรมันเป็นภาษาดาวนาเม็กแล้วกูดันไม่รู้เรื่อง! ตอบ!

    อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ได้วีซ่ามาเรียบร้อยและก็ไม่ลืมที่จะเขียนคอมเพลนความอัดอั้นตันใจไปสองหน้ากระดาษ A4 พร้อมทั้งแคปเจอร์ข้อความภาษาต่างดาวส่งไปให้ด้วย (กลัวคอมเพลนก่อนได้วีซ่าแล้วจะซวย) ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการตอบกลับจากทางศูนย์วีซ่าแต่อย่างใด (อัพเดตล่าสุด กันยายน 2015) เอวัง
  • จัดการเรื่องวีซ่าแล้ว ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อแล้ว โรงแรมนั่นนี่ก็จองแล้ว แผนเที่ยว (ที่ลอกเขามา) ก็มีคร่าวๆ แล้ว ฟังดูชีวิตดี๊ดี~ (สำเนียงน้องไอซ์จากเรื่อง ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้) แต่ทว่าผมมีอุปสรรคยิ่งใหญ่รออยู่ คือ

    ยัง
    เขียน
    ต้นฉบับ
    Taipei Panic
    ไม่
    เสร็จ!

    (เล่มก่อนหน้านี้ของซีรีส์ แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ว่าด้วยการไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเล่มออสเตรียที่ท่านกำลังถืออยู่ แต่ถ้าได้อ่านก็ถือเป็นเรื่องดีๆของชีวิตครับ)

    การแบกงานไปทำระหว่างเที่ยวต่างประเทศไม่ใช่เรื่องน่าสนุก แต่ไอ้ความไม่สนุกนี้มันกำลังจะเกิดกับชีวิตผม ซ้ำร้ายก่อนเดินทาง ดันไม่สบายไข้ขึ้นบวกจู๊ดจู๊ด ซึ่งเป็นอาการเหมือนก่อนจะไปไทเปเลย ผมจึงวิเคราะห์ว่าตัวเองต้องเป็นโรคเครียดก่อนเที่ยวหรือ Precautionary Panic Disorder for Travelling Syndrome แน่ๆ (โรคอะไรของมึง) (ไม่รู้ กูมั่วขึ้นมา) (เออ เจริญ)

    แต่ถึงร่างกายจะโทรมขนาดไหนก็ต้องลากสังขารไปเที่ยว (แหงสิ จ่ายไปตั้งหลายหมื่น!) ทริปนี้ผมเลือกใช้บริการสายการบิน EVA Air เพราะคณุ พี่ Takeshi Kaneshiro เป็นพรีเซนเตอร์ (นี่หรือเหตุผล...) ซึ่งจริงๆ ก็มีเหตุผลดีๆ รองรับอยู่บ้าง คือมันเป็นเที่ยวบินตรงและผมค่อนข้างชอบแอร์โฮสเตสของสายการบินเอเชียที่เป็นแนวพินอบพิเทา (ส่วนแอร์ฯ ฝรั่งจะนิ่งๆ ดุๆ)
  • ดังนั้น ก่อนขึ้นเครื่องผมจึงคาดหวังว่าจะเจอน้องแอร์ฯ ขาวหมวย พูดจานุ่มนวลไพเราะ เบาะที่นั่งนุ่มสบาย พร้อมกับหนังบนเครื่องที่มีให้เลือกชมมากมาย ทำให้การเดินทางข้ามทวีปไม่ใช่เรื่องทรหดจนเกินไป

    แต่พอเข้าไปในเกตรอขึ้นเครื่องปุ๊บ ผมก็ต้องพบกับความช็อคทันที

    ผู้โดยสารกว่า 80% เป็น-คน-จีน

    อย่างที่ทราบกันว่าผมกับนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้นมีความสัมพันธ์อันดีเหลือเกิน (ประชด) เจอกันทีไรหูแตกความดันขึ้นทุกที งานนี้พูดได้เลยว่า...ไอ้หยา ซี้เลี้ยวอ่าาาา

    แต่พอแอบมองพาสปอร์ตที่เขาถือๆ กันอยู่ก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นคนไต้หวันต่างหาก (EVA Air เป็นสายการบินของไต้หวันจ้ะ) ดังนั้นตอนขึ้นเครื่องจริงๆ ก็พบว่าบรรยากาศเงียบสนิทอย่างเวรี่สงบสุข ไม่มีการยึกยักวุ่นวาย ทุกคนนั่งตามที่นั่งตัวเองอย่างสงบเสงี่ยม ไม่มีการถือกล่องลังบ้าสมบัติจนต้องแย่งช่องใส่กระเป๋ากัน ไม่มีการตะโกนโหวกเหวกข้ามหัว ไม่มีเสียงขากถุย ไม่มีการทิ้งซากอารยธรรมไว้ในห้องน้ำ 

    ผมรักผู้โดยสารชาวไต้หวันจริงๆ ครับ T_T (ซึ้งใจจนร้องไห้)

    และความที่ไฟลต์นี้เป็นเที่ยวบินตรง 11 ชั่วโมง เพื่อนผมเลยแนะนำให้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปลี่ยนที่นั่งเป็นแบบ Premium Economy เพราะจะได้เบาะที่กว้างกว่า คือยอมจ่ายแพงขึ้นอีกหน่อย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นว่างั้นเถอะ
  • แต่ทว่าเครื่องลำที่ผมนั่งดันเป็นรุ่นที่ไม่มีที่นั่งแบบ Premium Economy ผมก็เลยต้องทนนั่งเบาะแคบๆ แถมที่นั่งข้างๆ ดันเป็นลุงฝรั่งตัวใหญที่ยึดที่วางแขนไปทั้งสองข้าง แล้วหน้าตาลุงก็มู้ดดี้เหมือนไม่ต้องการคุยกับมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น ผมจึงได้แต่จำยอมทำตัวลีบไปตลอดทาง...

    หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ 11 ชั่วโมง ผมก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา (Vienna International Airport) ด้วยอาการปวดหลังปวดเอวสุดๆ แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะทริปนี้ผมแพลนไว้ว่าจะเที่ยวสองเมืองคือ หนึ่ง—ซัลซ์บวร์ก (Salzburg) และสอง—เวียนนา (Vienna) ตามลำดับ

    ผู้อ่านคงคุ้นเคยกับกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรียกันอยู่แล้ว แต่คงสงสัยว่าแล้วไอ้ซัลซ์บวร์กนี่คืออะไร มาได้ไง และทำไมต้องไป ก็ขอสารภาพว่าผมลอกแผนการเที่ยวจากรุ่นน้องมาเลยครับ เห็นเขาไปซัลซ์บวร์กก่อนแล้วค่อยไปเวียนนา ก็เอาตามนั้นเลย จบครับ

    ผัวะ! (เสียง บ.ก. ทำร้ายนักเขียน)

    โอเค อธิบายแบบเป็นเรื่องเป็นราว ซัลซ์บวร์กเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของออสเตรีย ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ส่วนเหตุที่ไปซัลซ์บวร์กก่อน ก็เพราะสนามบินหลักอยู่ที่เวียนนา ถ้าเอาเวียนนาไว้ครึ่งหลังของทริป ขากลับจะได้ขึ้นเครื่องง่ายๆ ไม่ต้องเหนื่อยมากนั่นเอง (รู้ตัวดีว่าช่วงท้ายของทริปคงพลังหมดหลอดไปแล้ว)

    เมื่อผมวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวซัลซ์บวร์กก่อน นั่นก็หมายความว่าหลังลงจากเครื่องแล้ว ผมต้องนั่งรถไฟด่วนจากเวียนนาไปซัลซ์บวร์กทันที ซึ่งต่อให้ด่วนเท่าไหร่ก็ใช้เวลาราวสามชั่วโมง พอเอาไปบวกกับที่ดั้นด้นมาจากกรุงเทพฯ อีก 11 ชั่วโมง ก็เท่ากับว่าผมใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 14 ชั่วโมงเองจ้าาาา

    นี่กูมาเที่ยวหรือมาบำเพ็ญตบะ

    ชีวิตดี๊ดี~ (กัดฟันพูด)
  • CLASSIC MOMENTS:
    แผนท่องเที่ยวออสเตรีย


    นอกจากเวียนนากับซัลซ์บวร์กแล้ว อีกสองเมืองในออสเตรียที่คนนิยมไปเที่ยวกันคือ ฮัลล์สตัท (Hallstatt) เมืองติดทะเลสาบ ล้อมด้วยภูเขา ทิวทัศน์สวยเหมือนอยู่ในโปสการ์ด (ฝรั่งชอบเล่นมุกว่าเป็นเมืองที่คนเอาภาพมาทำเป็นสกรีนเซฟเวอร์ในคอมพิวเตอร์) ส่วนอีกเมืองคือ อินส์บรูค (Innsbruck) เมืองในหุบเขาที่คนนิยมนั่งกระเช้าขึ้นไปชมวิว หรือไปชมพิพิธภัณฑ์ของ Swarovski บริษัทคริสตัลชื่อดัง

    จริงๆ ถ้าผมจะไปให้ครบทั้งสี่เมืองเลยก็พอไหว อาศัยสกิลชะโงกทัวร์หน่อยก็คงได้ แต่ที่ผมเลือกแค่เวียนนากับซัลซ์บวร์กก็เพราะเหตุผลที่ง่ายมากเลยครับ… ขี้เกียจย้ายที่นอน และไม่อยากรื้อกระเป๋าเข้าๆ ออกๆ เอาง่ายๆ แค่นึกว่าต้องเก็บพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า สายชาร์จมือถือ สายชาร์จโน้ตบุ๊ค และบรรดาปลั๊กต่อทุกวี่วันก็กลุ้มใจตายแล้ว

    นอกจากนี้ถ้ามีเวลา มีเรี่ยวแรง (และมีเงิน) ก็สามารถข้ามจากออสเตรียไปประเทศที่มีพรมแดนติดกันได้อีก ที่คนฮิตๆ ไปกันคือ เมืองปราก (Prague) ของสาธารณ-รัฐเช็ก กับมิวนิก (Munich) ของเยอรมนี แต่ทริปนี้ผมไม่มีเวลามากพอ เลยต้องขอบายการไปแวะที่ไหน อยู่มันในออสเตรียนี่แหละครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in