เรื่องเรียนต่อของอลันผ่านไปได้ด้วยดี เขาได้การตอบรับจากมหาวิทยาลัยได้ที่หวังไว้ตลอดเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาอลันกดดันไม่น้อย แม้ว่ากรองแก้วแม่ผู้ใจดีของเขาจะบอกให้หยุดพักสักหนึ่งปีก่อนก็ได้ แล้วค่อยคิดเรื่องเรียนต่อ การย้ายมาอยู่ที่ไทยอย่างกะทันหันคงต้องการเวลาปรับตัวไม่น้อยแต่อลันไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเสียเปล่า เขาจึงตั้งใจสมัครเข้าเรียนต่อทันทีที่กลับถึงเมืองไทยและช่วงนี้ก็เป็นเวลารับนักศึกษาใหม่พอดี อลันไม่คิดจะปล่อยโอกาสนี้ไปแต่กว่าจะเปิดเรียนอลันก็มีเวลาอีกหลายเดือนให้ปรับตัว
ตั้งแต่เด็กหนุ่มไปเยี่ยมพิมพ์ประภาในวันนั้น เขากับแม่ก็ไม่ได้ไปที่บ้านกิตต์ภัทรกุลอีกเลย แต่พิมพ์ประภาจะเป็นฝ่ายมาหาแม่กับอลันที่บ้านหรือนัดทานข้าวนอกบ้านกันเสียมากกว่า อลันยังไม่ลืมบ้านสวนมะลิที่อยู่ใกล้บ้านน้าพิมพ์ และแน่นอนว่าเขายังไม่ลืมชายร่างเล็กที่เคยฝันถึง ดวงตาโศกที่เปียกฉ่ำไปด้วยน้ำตาใสๆ ยังติดอยู่ในใจอลันไปยอมเลือน เช่นเดียวกับความรู้สึกผิดที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในใจเมื่อนึกย้อนไปว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ทำให้เกิดน้ำตาเหล่านั้น
เกือบทุกคืนอลันจะฝันถึงบ้านสวนมะลิ ฝันเห็นบ้านสวนมะลิที่ยังไม่เก่าร้าง และบ่อยครั้งที่เขาจะนั่งอยู่ในศาลาสีขาวหลังน้อยเพียงลำพัง และคอยมองรอบตัวราวกับกำลังรอคอยใครสักคน แต่เขาก็ไม่เคยเจอใครคนนั้น บางคืนร่างสูงก็จะฝันว่าตนเองอยู่ในห้วงแห่งความว่างเปล่า รอบตัวมีแต่สีขาวสุดลูกหูลูกตา และเขาก็จะเดินวนเวียนอยู่ในที่แห่งนั้นไม่หยุด จนกระทั่งลืมตาตื่น แต่ไม่มีคืนไหนเลยที่เขาจะฝันถึงชายร่างเล็กที่น่าสงสารคนนั้นอีก
“อลัน วันนี้ว่างใช่ไหมแม่จะชวนลูกไปหาน้าพิมพ์” กรองแก้วถามลูกชายที่กำลังนั่งกินข้าวเช้าอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทย ลูกชายของเธอเตรียมตัวเรียนต่อมหาวิทยาลัยทันทีแม้เธอจะบอกให้เขาหยุดพักสักปีก็ได้ เธอไม่อยากให้ลูกชายกดดันตัวเองจนเกินไปกรองแก้วจะรู้ว่าที่ลูกชายของเธอรีบเรียนต่อทันทีเพราะเขาหวังจะเป็นที่พึ่งของเธอให้เร็วที่สุดแทนสามีที่จากไป เธอจึงรู้สึกภูมิใจในตัวอลันไม่น้อย และปล่อยให้อลันได้ทำตามใจของตัวเอง โดยให้ลูกชายได้รับรู้เธอพร้อมและอยู่ข้างๆ และสนับสนุนเขาทุกอย่าง
“ครับ ผมว่าง ไปเจอกันที่ไหนหรือครับ”
“ที่บ้านน้าพิมพ์จ้ะ น้าพิมพ์ชวนแม่ไปทำขนมอลันชอบกินวุ้นมะพร้าวใช่ไหมน้าพิมพ์บอกว่าเตรียมเนื้อมะพร้าวอ่อนไว้ให้ลูกด้วยนะจ๊ะ”
อลันยิ้มรับในความใจดีของน้าพิมพ์ที่ถูกส่งมาถึงเขาเสมอ พิมพ์ประภารู้เสมอว่าเขาชอบอะไร ดูแลเอาใจใส่ และถ้าจะบอกว่าพิมพ์ประภารักและเอ็นดูเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่งก็คงจะไม่เกินไป เมื่อรู้ว่าตัวเองจะไปบ้านของน้าพิมพ์อีกครั้ง เด็กหนุ่มก็อดคิดถึงบ้านสวนมะลิไม่ได้ ตลอดทางที่นั่งรถไปบ้านน้าพิมพ์ อลันตั้งใจว่าจะไปที่บ้านหลังนั้นอีกสักครั้ง และพยายามหาเหตุผลเขาข้างตัวเองต่างๆ นานาว่าทำไมต้องไปสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งไปเยือนบ้านหลังนั้นไม่ได้สั่นคลอนความสงสัยของเขาให้หยุดลงเลยสักนิด
พิมพ์ประภารอสองแม่ลูกที่เธอรักใคร่อยู่ที่เฉลียงหน้าบ้าน และออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง เมื่อเด็กรับใช้มาบอกว่ากรองแก้วและอลันมาถึงแล้ว วันนี้พิมพ์ประภาตั้งใจชวนกรองแก้วมาทำขนมไทยเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเมื่อวานเด็กรับใช้บอกว่ามะพร้าวน้ำหอมในสวนหลังบ้านมีมากพอใช้ทำขนมสักถาดใหญ่พิมพ์ประภาจำได้ว่าอลัน ลูกชายของเพื่อนรักชอบกินวุ้นมะพร้าวมาก โดยเฉพาะถ้ามีเนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นชิ้นๆ ปนอยู่ในเนื้อวุ้นหอมหวานด้วยแล้ว เขาแทบจะกินคนเดียวได้หมดถาด
“สวัสดีจ้ะ แก้ว อลันด้วยนะลูกวันนี้น้าจะทำวุ้นมะพร้าวที่อลันชอบให้ถาดใหญ่เลยนะจ๊ะ” น้ำเสียงร่าเริงของพิมพ์ประภาทักทายสองแม่ลูก
“ขอบคุณครับน้าพิมพ์ ขอรบกวนด้วยนะครับ”อลันส่งยิ้มขอบคุณไปให้
“ขอให้อลันกินอย่างให้หมดแทนคำขอบคุณละกันจ้ะ”พิมพ์ประภาพูดจบก็เชิญกรองแก้วและอลันเข้าไปนั่งพักในบ้าน ระหว่างรอเด็กรับใช้เตรียมของสำหรับทำขนม
พิมพ์ประภาและกรองแก้วช่วยกันทำขนมอย่างคล่องแคล่วและเข้าขากันที่สุด ทีแรกอลันขอเข้าไปช่วยแม่และน้าพิมพ์ทำขนม แต่ท่าทางของเขาตอนที่ช่วยหยิบจับของคงดูงกๆ เงิ่นๆ เกินไปจนน้าพิมพ์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ และบอกให้หลายชายไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น ก่อนที่เขาจะทำแม้กระทั่งน้ำเชื่อมไหม้ อลันจึงแยกตัวออกมาจากในครัวแต่ไม่ได้ไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นอย่างที่น้าพิมพ์บอก
เด็กหนุ่มหันมองไปทางบ้านสวนมะลิหลังนั้นอีกครั้ง และคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสให้เขาได้กลับไปพิสูจน์สิ่งที่ติดค้างในใจว่า ทำไมในฝันของเขามักมีบ้านหลังนี้ปรากฏอยู่ และทำไมเขาถึงจำไม่เลยว่าตอนเด็กๆ เคยไปที่บ้านหลังนั้นมาก่อน และใครคนนั้นเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนั้นอย่างไร อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีเด็กรับใช้คอยตามเขาเลย เพราะเห็นว่าน้าพิมพ์ให้ความสนิทกับเขาเลยไม่มีใครมาคอยระแวงตามติดเวลาเขามาที่นี่ และตอนนี้เด็กรับใช้ก็กำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง เด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะรีบไปรีบกลับ และหวังว่าน้าพิมพ์จะไม่โกรธหากเขาจะไปบ้านสวนมะลินั่นอีกครั้งโดยไม่ขออนุญาต
ร่างสูงของเด็กหนุ่มเดินไปตามทางที่เด็กรับใช้เคยพาไปยังบ้านร้างหลังนั้น เมื่อเดินมาถึงต้นคูนที่ดอกเหลืองบานสะพรั่งได้ร่วงหล่นไปจนหมดต้นแล้ว เขาก็หยุดอลันเริ่มไม่แน่ใจและอยากเดินกลับเรือนใหญ่ เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอย่างครั้งที่แล้ว ครั้งก่อนนั้นเมื่ออลันเดินขึ้นไปบนศาลาสีขาวหลังเก่า สติของเขาก็เหมือนจะดับวูบไปกลางอากาศ ถ้าไม่ได้เด็กรับใช้ของน้าพิมพ์มาเรียก เขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอีกนานเท่าไหร่ หรือจะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรือไม่
เมื่อกำลังจะหันหลังกลับไปยังเรือนใหญ่ เสียงๆ หนึ่งก็แว่วดังขึ้นมา เสียงนั้นฟังดูแหบแห้งและแผ่วเบาจนจับใจความอะไรไม่ได้บางทีอาจเป็นแค่เสียงลมพัดหวีดหวิวขึ้นมา อลันไม่รู้เลยว่าเสียงนั้นดังมาจากทางไหนกันแน่ แต่เสียงนั้นราวกับกำลังล่อลวงเขาไม่หยุด อลันพยายามหันมองหาต้นตอของเสียง และความสงสัยนำให้อลันเดินเข้าหาบ้านหลังเก่าโดยไม่รู้ตัว จนมาหยุดยืนที่ต้นมะลิหน้าบ้าน กลิ่นหอมหวานโชยมาถูกจมูกทำให้อลันรู้สึกตัว พร้อมกันนั้นเสียงที่ได้ยินก็เงียบหายไป บ้านร้างดูเป็นมิตรขึ้นกว่าวันนั้น แสงแดดที่ส่องลงยังตัวบ้านช่วยทำให้เห็นร่องรอยของการถูกละเลยจนทรุดโทรมได้ดี แต่กลับช่วยลดความน่ากลัวและอึมครึมได้ด้วย
อลันไม่อยากมองสำรวจบ้านมากนัก จึงหันไปมองต้นมะลิที่ออกดอกสะพรั่งราวกับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เขาเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบดอกสีขาวนวลอย่างเบามือ แล้วเสียงนั้นก็ดังแว่วขึ้นมาอีกเด็กหนุ่มตกใจผละตัวออกจากต้นมะลิ แล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ทางเส้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อมต่อไปยังศาลาสีขาวหลังน้อยที่ตั้งอยู่หลังบ้าน ซึ่งทรุดโทรมไปตามกาลเวลาไม่ต่างตัวบ้านนัก
“อลัน”
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว เมื่อครั้งนี้เขาเชื่อว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เอ่ยชื่อของเขาอย่างแน่นอน ใจของอลันเต้นรัวจนรู้สึกเจ็บ แต่อลันรู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจากความกลัว แต่เกิดจากความรู้สึกแบบใด เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เสียงนั้นดูคุ้นเคยราวกับเคยได้ยินจากไหนมาก่อน อลันช่างใจกำลังจะเดินกลับไปบ้านน้าพิมพ์แต่เสียงๆ นั้นกลับดังขึ้นมาอีก
“อลัน อย่าไปเลย”
อลันหันกลับไปมองบ้านร้างนั้นอีกครั้งในฉับพลันอลันก็นึกออก “คุณ…คุณจำผมไม่ได้หรือ” เสียงและสีหน้าของชายร่างเล็กในความฝันปรากฏขึ้นมาในห้องความคิด
ร่างสูงก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ เขายังใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก ยังพอเวลากว่าแม่และน้าพิมพ์จะทำขนมเสร็จ อลันจึงเดินไปยังทางข้างตัวบ้านซึ่งพาไปยังศาลาหลังน้อยศาลาสีขาวยังดูเงียบเหงาเหมือนที่เคยเห็นครั้งก่อน และต้นมะลิที่รายล้อมศาลาก็ยังดูสวยสดอย่างน่าประหลาดเหมือนครั้งก่อนเช่นกัน อลันเดินขึ้นไปบนศาลา และร้องเรียก
“คุณอยู่ที่นี่ไหมครับ”
รอบด้านยังเงียบไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียดสีกันของใบไม้และกิ่งก้าน เมื่อถูกลมพัดผ่านสายลมโชยเข้ามาพร้อมหอบกลิ่นหวานของมะลิมาปะทะใบหน้า ทำให้อลันรู้สึกสดชื่นขึ้นถ้าบ้านหลังนี้ได้รับการดูแลอย่างดีคงน่าอยู่ไม่น้อย บ้านขนาดกะทัดรัดอยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ คงพอดี ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่และศาลาหลังบ้านยังอยู่ใกล้แม่น้ำสายเล็ก ทำให้เย็นสบายแต่น่าเสียดายที่บ้านหลังนี้คงไม่ได้อวดโฉมให้ใครเห็นมากนัก เพราะตั้งอยู่ลึกเข้ามาอย่างโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลานาน
“คุณอยากให้ผมทำบุญให้หรือครับ”
ความเงียบและเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มร้อนใจและงุ่นง่าน เมื่อนึกว่าเขาอาจจะกำลังได้รู้คำตอบของเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขา แต่มาตอนนี้ทุกอย่างก็ดูไม่คืบหน้าขึ้นเลย อลันนึกหงุดหงิดและเดินลงจากศาลาหลังน้อยกลับไปบ้านน้าพิมพ์ เมื่อพบว่าตัวเองใช้เวลานานอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว และไม่ได้บอกใครไว้เลยว่าจะมาที่บ้านสวนมะลินี้
เท้าของร่างสูงกำลังจะก้าวออกจากศาลา แต่ร่างกายของของเขาพลันอ่อนแรงจนต้องเกาะเสาไว้และนั่งลงโดยเร็ว เบื้องหน้าของเขามืดดำไปหมด แม้จะยังลืมตาอยู่แต่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด และยังรู้สึกหายใจไม่สะดวกอีกด้วย อลันเริ่มหอบหายใจและเอนตัวลงนอนกับพื้นศาลาอย่างควบคุมตัวเอง ไม่ได้สองมือจับอยู่บนอกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ปากของอลันกำลังจะตะโกนขอความช่วยเหลือ แม้จะรู้ว่าคงไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเลย
สัมผัสเย็นเยียบสัมผัสลงบนริมฝีปากและไล้ไปที่ข้างแก้ม อลันคลายจากอาการหอบหายใจเหล่านั้นเป็นปลิดทิ้ง แต่ยังควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้สัมผัสเย็นเฉียบนั้นยังคงอ้อยอิ่งอยู่แถวแนวแก้ม แล้วสติของอลันก็ดับวูบไป
“คุณอลันเชิญทางนี้ครับ”
ร่างสูงเดินตามบริกรไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร เพื่อนของเขากำลังนั่งรออยู่ในร้านก่อนแล้วดวงตาสีฟ้าใสมีแววถือดีอยู่ในนั้นไม่น้อย พยายามปกปิดความไม่พอใจที่กำลังรุมเร้าอากาศร้อนของเมืองไทยทำให้เขาหัวเสียได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อต้องฝ่าความร้อนของแดดจ้าตอนเที่ยงวันออกมายังร้านอาหารที่อยู่ห่างออกจากบริษัทไปไม่น้อย และเพื่อนของเขาก็ดูจะรู้ใจไม่น้อยว่าอลันไม่ถูกกับความร้อนเท่าไหร่นักจึงมีเครื่องดื่มเย็นๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะทันทีที่อลันนั่งลง
“ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่าแกร้อนแต่อย่าร้อนตามอากาศสิ ร้านนี้บรรยากาศดี อาหารก็อร่อยมาก แกต้องชอบแน่ๆ”
“เอาเถอะ ฉันก็ไม่เคยกินอาหารร้านนี้แกสั่งอาหารเองเลย” ร่างสูงตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอางั้นหรือแกกินอาหารไทยได้หลายอย่างแล้วหรือ”
“ฉันอยู่เมืองไทยมาเกือบปีแล้ว ต่อให้ไม่ชอบแต่ก็ชินเสียแล้ว สั่งมาเถอะ”
“นั่นสิ พูดได้คล่องขนาดนี้แล้วเรื่องอาหารก็คงไม่กินยากเหมือนแต่ก่อนแล้วเนอะ”
อลันหันมองออกไปนอกร้านและยกมือขึ้นดึงเนกไทออกหลวมๆ พลางเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปด้านบน ทำเอาสาวๆ กลุ่มใหญ่ซึ่งนั่งห่างออกไปสองสามโต๊ะอดยิ้มเขินกับท่าทางเจ้าเสน่ห์โดยไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นไม่ได้เจ้าตัวก็ดูจะรู้ตัวว่าเป็นจุดสนใจของคนในร้าน แต่เขาไม่ยี่หระแม้แต่น้อยหนำซ้ำอลันยังรู้สึกดีที่สาวๆ มองเขาอย่างชื่นชมและผู้ชายมองด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา
“เลิกโปรยเสน่ห์สักครู่เถอะครับ กระผมมีคน ๆหนึ่งจะแนะนำให้รู้จัก” ก้องกิตากรร้องทักแกมประชดเมื่อเห็นผู้คนในร้านต่างให้ความสนใจกับเพื่อนฝรั่งหน้าตาดีคนนี้ “
“ใครกัน” อลันถาม
“นางรำที่แกชมว่าสวยจนมองตาค้างในงานฉลองวันเกิดของคุณยศพัฒน์กิตติ์ภัทรกุล เมื่อสัปดาห์ก่อนนั่นไง” ก้องกิตากรแกล้งยื่นหน้ามากระซิบใกล้ๆ และทำหน้าเจ้าเล่ห์
ชายหนุ่มพลันนึกถึงนางรำหน้าหวานคนนั้นขึ้นมาในทันที เขาเห็นนางรำคนหนึ่งรำอวยพรในงานวันเกิดของคุณยศพัฒน์หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่เขาดูแลอยู่ และยังจำใบหน้าหวานซึ้งนั้นได้อย่างแม่นยำ ความหวานปนเศร้าของสาวคนนั้นติดตรึงในใจเขามาหลายวัน แล้วจนถึงขั้นเอ่ยปากว่าอยากรู้จักกับก้องกิตากรไปเมื่อสองวันก่อน แต่วันนี้ก้องกิตากรกลับมาบอกว่าจะพาสาวคนนั้นมาให้เขารู้จัก
“แกรู้จักเธอหรือ”
“เธอไหน”ก้องกิตากรกลับทำท่างงงวย
“นางรำคนนั้นไง” อลันเริ่มขัดใจในท่าทางของเพื่อน
“อ๋อ! เธอที่เป็นนางรำคนนั้นเป็นเพื่อนของฉันเอง เห็นแกบอกอยากรู้จัก วันนี้เลยกะนัดให้มาเจอกันเซอร์ไพรส์ไง”ก้องกิตากรบอกพลางกลั้นขำอย่างมีเลศนัย
“งั้นหรือ” อลันผิดหวังเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจมากกว่านั้น ต่อให้เขาไม่ได้เจอนางรำคนนั้นก็ยังมีสาวอื่นให้เจออีกมาก
“ตอนนี้ไม่ได้เจอ แต่ถ้ายังอยากเจอฉันพาแกไปเจอได้นะ เย็นนี้ฉันว่าจะไปเยี่ยมเธอพอดี แวะไปเยี่ยมสักครู่แกกับฉันก็ออกไปท่องราตรีกันต่อ วันนี้วันศุกร์เสียด้วยผ่อนคลายหลังเลิกงานหน่อยเป็นไร คุณเจ้าของบริษัทใหญ่”
อลันไม่คิดจะปฏิเสธคำชวนของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
หลังเลิกงานก้องกิตากรแวะไปรับอลันที่บริษัท เพื่อจะไปเยี่ยมเพื่อนนางรำที่ไม่สบาย เพื่อนฝรั่งตัวโตของเขาไม่เสียเวลาลังเลต่อคำชักชวนของเขาเลยแม้แต่น้อย อลันออกมารอเขาที่หน้าบริษัททั้งที่เขามาเร็วกว่าที่นัดกันไว้ครึ่งชั่วโมง ดูท่าคงสนใจนางรำหน้าหวานมากกว่าที่เขาคิด เขาแทบรอไม่ไหวแล้วว่า ถ้าเพื่อนฝรั่งของเขารู้เข้าว่า นางรำหน้าหวานไม่ใช่นางรำธรรมดาขึ้นมาจะเป็นอย่างไรถึงเวลานั้นเขาขอให้ตัวเองมีสติพอจะไม่ระเบิดหัวเราะออกมาจนน่าเกลียด หรือขออย่าให้เจ้าเพื่อนฝรั่งตัวโตของเขาโมโหจนเลิกเป็นเพื่อนกัน
รถยุโรปคันใหญ่ของก้องกิตากรแล่นผ่านประตูรั้วของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่อลันจำได้ว่าเป็นบ้านของตระกูลกิตติ์ภัทรกุลที่เขาได้มาร่วมงานวันเกิดของหุ้นส่วนรายใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รถแล่นผ่านบ้านหลังนั้นแล้วขับต่อไปตามทางที่ทอดยาวเข้าในทางเล็กๆ จนอลันเริ่มไม่แน่ใจว่าบ้านอยู่ลึกลับแบบนี้ด้วยหรือ
ไม่นานนักเบื้องหน้าก็เป็นบ้านสีขาวหลังน้อยตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ราวกับปกป้องบ้านหลังน้อยนี้ให้รอดพ้นจากสายตาของผู้คน รถของก้องกิตากรจอดสนิทที่หน้าบ้านสีขาวหลังนั้น อลันลงมาจากรถและหันมองรอบตัว ทุกอย่างดูเงียบเชียบจนเขาแทบไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้เลย
“จะรออยู่ที่รถหรือเข้าไปเยี่ยมด้วย”
“มาด้วยขนาดนี้แล้ว ถ้าเจ้าของบ้านไม่ถือสาฉันก็ขอเข้าไปด้วยแล้วกัน” อลันตอบแกมประชดเพราะจุดประสงค์ที่มาด้วย เพราะคิดอยากเจอนางรำคนนั้นอีก แต่เพื่อนกลับมาถามว่าจะนั่งรออยู่บนรถไหมเสียนี่!
“ฮ่า ๆ แค่หยอกเล่นนา ทำหงุดหงิดเดี๋ยวสาวหนีนะ เจ้าของบ้านใจดีไม่ว่าหรอก ตามมาสิ”
“หึ! เดินนำไปเสียทีสิคุณชายก้อง”
“ครับ ๆ คุณอลัน”
ก้องกิตากรเดินขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านหลังเล็กนั้นอย่างคุ้นเคย เหมือนสนิทกับเจ้าของบ้านมากและคงเคยมาที่นี่บ่อยครั้งแล้ว อลันเพิ่งสังเกตว่าบ้านหลังนี้สีขาวแทบทั้งหลัง มีเพียงเชิงชายที่มีสีเขียวไข่กาเท่านั้น บ้านหลังเล็กๆ แต่น่าอยู่ไม่เบาและยังร่มรื่นเย็นสบาย เพราะหลังบ้านเป็นแม่น้ำสายน้อยและล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่
“ธา! ธาอยู่ไหม! เราก้องนะ” ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของบ้านเลยก้องกิตากรร้องเรียกอยู่ครู่หนึ่งจนตัดสินใจถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน โดยให้อลันรออยู่หน้าประตูก่อน
ก้องกิตตากรเดินเข้าไปในบ้านแล้ว อลันจึงผละออกมาที่เฉลียงหน้าบ้านตัวบ้านที่ยกพื้นไว้ไม่สูงนัก ช่วยให้รอบด้านดูปลอดโปร่งอลันมองด้านล่าง และเห็นต้นมะลิที่ถูกดูแลอย่างดีปลูกอยู่รอบบ้านเสียงก้องกิตากรเงียบไปแล้ว อลันกำลังจะเดินกลับไปหาเพื่อน แต่ได้ยินเสียงซอกแซกดังแว่วเข้ามาเสียก่อน
บางทีเจ้าของบ้านอาจอยู่นอกบ้านก็ได้ และคงไม่ไปไหนไกล เพราะบ้านไม่ได้ปิดล็อกไว้ ร่างสูงของหนุ่มต่างชาติเดินลงจากบ้านมา เขาเดินเลาะไปตามทางที่ปลูกต้นมะลิไว้และเริ่มได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างเจือด้วยเสียงสะอื้นบางเบาอลันไม่นึกกลัว และทำใจกล้าเดินตามหาเสียงนั้น แม้จะดูไม่มีมารยาทที่มาเดินรอบบ้านของคนที่ไม่รู้จักกันตามใจชอบ แต่ถ้าเกิดเหตุไม่ดีอะไรขึ้นอย่างน้อยเขาก็ถือว่าได้ทำดี
แล้วอลันก็ได้เจอกับเจ้าของเสียงประหลาดนั้น ร่างๆ หนึ่งนั่งซุกอยู่ระหว่างต้นมะลิพุ่มเตี้ย ราวกับหวังว่ามันซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็นได้ ใครคนนั้นกำลังนั่งกอดเข่าแล้วซุกหน้าลงกับแขนปิดบังใบหน้าไว้ ร่างที่เล็กอยู่แล้วเมื่อเทียบกับร่างสูงใหญ่ของเขาดูเล็กลงไปมาก เมื่อเจ้าตัวกอดตัวเองเอาไว้แน่นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงฟังดูขาดห้วงเพราะกำลังกลั้นเสียงสะอื้นไว้อย่างสุดกำลัง จนทั้งตัวสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร
ความรู้สึกสงสารไม่ได้เกิดขึ้นในใจของอลันบ่อยนัก แต่กับคนตรงหน้าที่ยังเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เขากลับรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูกร่างสูงเอื้อมไปจับไหล่ของคนตรงหน้า ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกและหันมองอลันดวงตากลมโตเปียกปอนไปด้วยน้ำตาและบอบช้ำ เพราะร้องไห้อย่างหนักเบิกกว้างอย่างตกใจริมฝีปากสั่นระริกที่ก่อนหน้านี้คงเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้นจนบวมช้ำตอนนี้กำลังเผยอน้อยๆ ราวกับทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นใบหน้าใกล้ๆ อย่างเต็มตาอลันก็จำได้แล้วว่า คนนี้คือนางรำที่เขาอยากเจอมาตลอดหลายวันนี้ เขาตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าเขาคิดผิด ถึงจะเป็นนางรำ แต่ก็เป็นผู้ชายร่างตรงหน้าจะตัวเล็กและบอบบางกว่าผู้ชายทั่วไปที่อลันเคยเจอก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขนาดอ้อนแอ้นจนเหมือนผู้หญิง เขาหัวเสียไม่น้อยที่ติดตากับท่ารำอ่อนช้อยและใบหน้าที่ถูกแต่งเติมสีสันจนหวานซึ้ง สวยสะพรั่งแบบนั้นจนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาวสวย แม้จะผิดหวังและขัดใจ แต่อลันกลับพบว่าในใจของเขายังหลงเหลือความสนใจในตัวของชายคนนี้ไม่น้อยกว่าเดิมเลย
“คุณ… คุณเป็นใคร”เสียงแหบแห้งที่ผ่านการร้องไห้อย่างหนักร้องถามขึ้น พลางขยับตัวหนีและสอดส่ายสายตามองรอบตัวอย่างระแวง
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมเป็นเพื่อนของ…”
“อ้าว! ไอ้ธาอยู่นี่เอง”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in