อลันเดินตามเด็กรับใช้ไปยังบ้านสวน ทางเดินเล็ก ๆ ที่ดูแล้วคงไม่ค่อยมีใครเดินผ่านทางนี้สักเท่าไหร่ ทำให้มีหญ้าขึ้นแซมประปรายต้นไม้ใหญ่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบตามทางเดิน ต้นมะม่วงกำลังออกลูกเต็มต้นแซมด้วยต้นดาวกระจายซึ่งกำลังออกดอกสีเหลืงอมส้มกระจายเต็มต้นสมชื่อ ต้นตีนเป็ดก็แผ่ใบเต็มต้นร่มรื่นดูเหมือนเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่แสงแดดลอดกิ่งก้านลงมาแทบไม่ถึงพื้นดิน อลันเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนเริ่มสงสัยว่าตอนเด็ก ๆ อะไรพาให้เขาเดินมาไกลเช่นนี้มันอยู่ไกลกว่าที่คิด และบ้านหลังนั้นที่เขาอยากเห็นยังไม่ปรากฏตรงหน้าเลย
ร่างสูงเดินต่ออีกสักพัก เมื่อมองตรงไปข้างหน้าอลันเห็นพวงระย้าสีเหลืองของต้นคูนต้นใหญ่ เมื่อเลี้ยวซ้ายอ้อมต้นคูนไปเขาก็ได้เห็นบ้านหลังกะทัดรัด สีคล้ำ ไม้เริ่มพุงพังไปตามกาลเวลาปรากฏอยู่ตรงหน้าต้นมะลิปลูกล้อมบ้านเป็นพุ่มสวยเหมือนถูกดูแลอย่างดีขัดกับสภาพที่ทรุดโทรมของบ้าน ต้นไม้ใหญ่แผ่ใบเขียวรายล้อมบ้านของนี้ไว้ แม้ภาพที่อลันเห็นเบื้องหน้าจะเป็นหน้าบ้าน แต่อลันกลับรู้สึกมั่นใจว่าเป็นบ้านหลังเดียวกันกับในความฝัน อลันรู้สึกใจหายอย่างแปลกประหลาดเขารู้สึกว่าบ้านหลังนี้ดูเหงาและโดดเดี่ยวมากกว่าที่เห็นภายนอก แล้วอลันก็กำลังเดินตรงไปที่บ้านหลังนั้นโดยไม่รู้ตัว
“
เสียงเรียกของเด็กรับใช้ปลุกอลันออกจากภวังค์ เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดินเข้าหาบ้านหลังนั้น จนเมื่อเขาต้องหันหลังกลับไปมองเด็กรับใช้ที่ยืนห่างออกไปหลายก้าวส่งเสียงถามขึ้นมาอลันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เขายกมือขึ้นทาบอกตัวเองแล้วถอนหายใจหนักหน่วง อลันตัดสินใจจะเดินกลับไปหาแม่ ซึ่งรออยู่ที่เรือนใหญ่แต่อะไรบางอย่างยังคงคาใจเขาขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เขาต้องหันไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง แล้วอลันก็เปลี่ยนใจ
“
“
“
“
“
ความตั้งใจเดิมของอลันคือเขาอยากกลับแต่เขาทนไม่ไหวอยากเห็นที่นี่ให้มากขึ้นไปอีก จนเริ่มหาข้ออ้างให้กับตัวเอง
“
สายตาเป็นกังวลของเด็กรับใช้ไม่ทำให้อลันแปลกใจ เขาเข้าใจที่เด็กรับใช้ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักบ้านหลังนี้ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เมื่อเวลาเริ่มเย็นลงทุกอย่างยิ่งขัดแย้งกับที่เขาบอกว่าบ้านหลังนี้ดูสวยอย่างสิ้นเชิง อลันพยักหน้ารับจากนั้นก็เริ่มเดินไปที่หน้าบ้านหลังนั้น ร่างสูงมองสำรวจตัวบ้านแต่พยายามไม่มองลอดช่องหน้าต่างหรือซี่ไม้ผุพังที่ทำให้มองเห็นเข้าไปยังตัวบ้านได้ อลันเดินอ้อมตัวบ้านไป แล้วเขาก็พบศาลาหลังเล็กที่ดูทรุดโทรมไม่ต่างกัน แต่ต้นมะลิยังดูเขียวสดและออกดอกสีขาวนวลตาเหมือนในความฝันไม่มีผิด อลันหันมองรอบตัวแล้วเห็นว่าต้นมะลิต้นอื่นก็ดูเขียวสดราวกับได้รับการดูแลไม่ต่างกัน
บนศาลาหลังนั้นเป็นพื้นที่โล่งเต็มไปด้วยคราบฝุ่นและเศษไปไม้ ศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยม ถูกยกพื้นเล็กน้อย อลันเดินขึ้นไปบนศาลาเสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดลั่นขึ้นมาเมื่อลงน้ำหนักเท้าลงไป อลันเดินอย่างระมัดระวังไปยังมุมหนึ่งของศาลา แล้วหันไปมองด้านหน้ามันเป็นภาพเดียวกับในความฝันที่มองไปเห็นด้านหลังของบ้านที่ตั้งโดดเดี่ยวรายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่
ทันใดนั้นอลันก็รู้สึกหนาวเข้าขั้วหัวใจ อากาศรอบตัวดูเย็นเยียบขึ้นอย่างกะทันหัน และเขาก็รู้สึกหน้ามืดหายใจลำบาก จนต้องเกาะขอบระเบียงไม้ไว้เป็นหลักยึด อลันหันมองรอบตัวอย่างระแวงเขารู้สึกขนลุก เมื่อรู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมองเขาอยู่ทั้งที่ในบริเวณนี้มีเขาเพียงคนเดียว และเด็กรับใช้ก็อยู่ห่างเกินมองเห็นอากาศรอบตัวดูเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่อยู่ในหน้าร้อน อลันเริ่มหายใจลำบากขึ้นเขารู้แล้วคิดว่าตัวเองคิดผิดที่อยากมาที่นี่
ร่างสูงหลับตาลงและพยายามเงยหน้าขึ้นเผื่อว่าจะหายใจได้สะดวกกว่าเดิม ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แล้วอลันก็สัมผัสถึงบางสิ่งที่เหมือนกับในความฝัน มันคือสัมผัสเย็นเฉียบของปลายนิ้วไล้ประคองแก้มและกรามของเขา สัมผัสนี้ช่างเหมือนในความฝัน ความคุ้นเคยและความเศร้าก่อเกิดในใจอย่างแปลกประหลาดเมื่อลืมตาขึ้นอลันคิดว่าเขาอาจได้พบกับดวงตาสีดำกลมโตคู่นั้นแต่เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า แล้วน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความรู้สึกอย่างไรก็เอ่อท้นและร่วงลงจากดวงตาของอลัน
“
ร่างสูงสะดุ้งจนตัวโยน แล้วกลับมาได้สติอีกครั้งเสียงตะโกนเรียกพร้อมกับเสียงวิ่งดังตึงตังเข้ามาในหู เด็กรับใช้ยืนอยู่หน้าทางเข้าศาลากำลังทำหน้าตาตื่นและท่าทางเป็นกังวล อลันกะพริบตาแล้วยกมือขึ้นจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แต่เขาพบว่าไม่มีน้ำตาสักหยด เขาจึงหันไปมองหน้าเด็กรับใช้อีกครั้ง
“
เด็กรับใช้ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าหลานชายของนายหญิงหายไปนานแล้ว เขาผิดเองที่ตาขาวนึกกลัวบ้านหลังนี้จนไม่กล้าเข้าไปใกล้ ขอยืนรออยู่ห่าง ๆ จนเวลาผ่านไปนานจนเริ่มสลัวแล้ว และไม่มีท่าทีว่าคุณอลันจะกลับมาเสียที เขาจึงข่มความกลัววิ่งเข้าไปตาม แต่พอเห็นคุณอลันยืนอยู่บนศาลา ยืนนิ่งจนน่ากลัว เรียกก็ไม่ตอบกลับจนเขาเริ่มกลัวและระแวงไปหมด นึกว่าหลานชายหน้าฝรั่งของนายหญิงถูกผีอำ
“
“
อลันไม่ทันมองรอบตัวเลยว่าแสงเริ่มจะหมดแล้ว เขาอยู่ที่นี่นานเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดอลันคิดว่าตัวเองอยู่ที่นี่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาคิดกับเวลาที่แท้จริงกลับตรงกันข้ามเวลาที่ใกล้ค่ำแล้วในตอนนี้ช่วยยืนยันได้ อลันไม่กล้าเสี่ยงที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว เขารีบเดินลงจากศาลา แล้วอลันกับเด็กรับใช้คนนั้นก็รีบเดินจ้ำออกไปจากบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เมื่ออลันเดินมาถึงใต้ต้นคูน เขาก็ชะงักกึกร่างสูงหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นโดยไม่รู้ตัว หรือที่จริงแล้วเขาอาจจะกำลังมองมองหาใครบางคนโดยที่ไม่รู้ตัวต่างหาก หลังจากหันไปมองเพียงเสี้ยวนาที อลันก็เบือนหน้ากลับรีบเดินกลับสู่เรือนใหญ่ที่มีแม่และน้าพิมพ์ยืนรออยู่
ร่างสูงกำลังรีบเดินลงจากศาลา โดยไม่หันกลับมามองเพียงสักนิด ทำให้ดวงตาสีดำสนิทของใครคนหนึ่งหนึ่งมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม แม้จะพยายามกล้ำกลืนลงอกแต่มันช่างยากเย็น เขาควรทำใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ปาฏิหาริย์บางอย่างทำให้ใครคนนั้นที่เขาเคยรักใคร่กลับมาปรากฏตัวให้เจ้าของนัยย์ตาคู่สวยได้พบเจออีกครั้ง แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่เขามีความหวังอยู่ลึก ๆ ว่าคนที่เขารักจะกลับมาทำให้คำสัญญาที่เคยให้ไว้กลายเป็นจริง
“
อลันเดินตามเด็กรับใช้หนุ่มกลับมายังเรือนใหญ่ แม่ของเขารออยู่ที่หน้าบ้านสีหน้าของแม่คลายกังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นเขากลับมา ตอนนี้ฟ้ามืดสลัวมากแล้ว อลันกลับมาช้ากว่าที่บอกไว้กับน้าพิมพ์ เขายังรู้สึกแปลก ๆ กับบ้านหลังนั้นไม่หาย ระหว่างที่กำลังเดินกลับเขาเริ่มคิดปะติดปะต่อว่าคนที่เขาเห็นในความฝันจะต้องเป็นคนเดียวกับในรูปถ่าย และชายคนนั้นก็อาจจะเป็นเจ้าของบ้านร้างหลังนั้นด้วยเขาอาจจะไปทำอะไรที่ไม่ควรเข้า เจ้าของบ้านอาจจะโกรธเลยแกล้งเขาเล่น แต่อลันก็ยังสงสัยอีกว่าทำไมไม่มีใครรู้จักชายในภาพคนนั้น ถ้าหากว่าชายคนนั้นเป็นใครสักคนในครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวของน้าพิมพ์มากกว่าที่คิดล่ะ
ทุกอย่างยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของอลันแต่ทุกอย่างล้วนเป็นข้อสงสัยที่ไม่มีคำตอบแน่ชัดให้เขาเลย
“
“
“
“
อลันเดินตามแม่เข้าไปยังส่วนห้องรับประทานอาหาร พลวรรธน์ซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะหันมามองอลันแล้วเผยยิ้ม พลวรรธน์หรือลุงพลเป็นชายสูงวัยที่ดูใจดี เป็นมิตรและมีความน่าเกรงขามอวลอยู่รอบตัวในขณะเดียวกันอลันมักรู้สึกถึงความน่านับถือในตัวลุงพลทุกครั้งที่ได้เจอกัน และการได้เจอลุงพลในวันนี้ก็ทำให้เขารู้สึกคิดถึงพ่อของเขาด้วยเช่นกัน เมื่ออลันรู้สึกได้ว่าทั้งพ่อและลุงพลต่างมีรอยยิ้มใจดีทุกครั้งที่ได้เจอกัน
“
“
อลันยิ้มรับอย่างเคย อลันถือว่านั้นเป็นคำชมที่มีค่าต่อเขามาก และเขาดีใจที่ทั้งลุงพลและน้าพิมพ์ต่างให้กำลังใจเขาไม่ได้มีท่าทีสงสารจนน่าอึดอัดที่เขากับแม่สูญเสียพ่อไปเหมือนคนอื่น ๆ ระหว่างรับประทานอาหารที่แม่และน้าพิมพ์ช่วยกันลงมือทำ ทั้งลุงพล น้าพิมพ์และแม่ต่างก็ชวนกันคุยพอทำให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายขึ้น อลันนั่งฟังแล้วตอบรับบทสนทนาเป็นครั้งคราวจนอลันรู้สึกดีขึ้นจากการพบเจอเหตุประหลาดจากบ้านสวนมะลินั่น
“
อลันพยายามนึกถึงพี่ชณ หรือชณชนกลูกชายคนเดียวของพิมพ์ประภาและพลวรรธน์อลันจำได้ว่าเขาเคยพบและพูดคุยกับพี่ชณบ้างเป็นครั้งคราว จึงพอจะจำหน้าได้
“
“
“
อลันพอจำได้อีกว่าพี่ชณเป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งของเขาชณชนกในความทรงจำของอลันดูเป็นผู้ใหญ่มาก เป็นคนเก่งและให้ความรู้สึกน่านับถือคล้าย ๆ กับพลวรรธน์สมกับเป็นลูกชายที่ครอบครัวภูมิใจ
แม่และอลันขอตัวกลับบ้านหลังจากเข้าเวลา
ในขณะเดียวกัน บ้านสวนมะลิถูกความมืดเข้าปกคลุมหน้าบ้านหลังนั้นมีรูปร่างเลือนรางของคน ๆ หนึ่งกลับเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ มือเรียวทาบทับอยู่บนอกข้างซ้ายของตัวเองรับฟังเสียงหัวใจที่ไม่มีอยู่จริงเต้นอย่างผะแผ่วราวกับกำลังจะสลาย น้ำตาเอ่อคลอขึ้นในดวงตาจนภาพด้านหน้าพร่าเลือน เขามองออกยังหน้าบ้านสายตามองตรงไปยังต้นคูนที่กำลังออกดอกเหลืองสะพรั่ง ใครคนนั้นที่เขารอคอยเดินจากไปทางนั้นอีกครั้งแล้วถูกบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นจนหายไปจากสายตา ในใจของเขาสั่นเทิ่มอย่างรุนแรงเมื่อต้องเห็นภาพคนที่เขารักเดินจากไปอีกครั้ง
เด็กหนุ่มกำลังฝันอีกครั้งเขาหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน แม้จะยังคงเลิกคิดถึงคนในความฝันและบ้านร้างหลังนั้นไม่ได้ ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับบ้านแต่ความอ่อนเพลียจากการเดินทาง และเรื่องที่เจอในวันนี้กลับจู่โจมให้เขาต้องพักผ่อน แต่ตอนนี้อลันรู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ เพราะเขาแน่ใจว่าตัวเองกำลังลืมตาอยู่ แต่เบื้องหน้าเขาคือสีขาวโพลนทั้งหมดไม่สิ่งอื่นปะปนอยู่ในความว่างเปล่าสีขาวนั้นเลย
ร่างสูงเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แต่ทางที่เดินดูไม่มีที่สิ้นสุด หันมองซ้าย มองขวาหรือหันหลังกลับยังทางที่เดินจากมาก็ไม่รู้ว่าเริ่มเดินมาจากตรงไหน และเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่รู้จะเจอกับอะไรหรือไม่ แต่อลันก็หยุดลังเลได้เพียงไม่นาน และตัดสินใจเดินต่อไป
อลันเดินจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างเหมือนภาพที่ฉายซ้ำวนไปวนมาเมื่อเดินไปสักพัก เขาก็หยุดลังเลว่าควรเดินต่อไปไหม หันมองรอบตัวหนึ่งรอบและเดินต่อไป เป็นนี้อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเสียงสะอื้นฉุดให้เขาออกจากวังวนนั้น เด็กหนุ่มหันมองตามเสียงสะอื้นไห้ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆราวกับคนที่กำลังร้องไห้กำลังเข้ามาใกล้เขามากขึ้นทุกทีแล้วเสียงสะอื้นนั้นก็หยุดอยู่ด้านหลังของอลัน
ร่างของชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อลัน เขาคนนั้นก้มหน้าร้องไห้ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนแล้วร่างเล็กตรงหน้าอลันก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น ร่างของคนนั้นซึ่งสูงเพียงปลายจมูกของอลันดูเล็กลงไปอีกหลายเท่าเมื่อเขานั่งกอดเข่าก้มหน้าซุกซ่อนรอยน้ำตาไม่ให้เขาเห็น
ในใจของอลันเกิดความสงสารขึ้นมาอย่างมากล้น จนทำให้เขานั่งลงไปโอบกอดปลอบใจคนตรงหน้าหายจากความเศร้าแต่อลันก็ไม่ได้ทำ เด็กหนุ่มกำลังจะเดินไปด้านหน้าของชายคนนั้นเขาอยากพูดคุยให้รู้ว่าชายตรงหน้ากำลังเศร้าเรื่องอะไร บางทีอาจมีอะไรให้เขาช่วยได้ แม้จะไม่รู้ว่าเขาคือใคร และคงไม่รู้จักกัน แต่อลันกลับสะดุดเข้ากับต้นมะลิพุ่มเล็กที่อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เสียงสะอื้นที่เจ้าของพยายามกักเก็บไว้ยังเล็ดลอดออกมาไม่ขาดสาย อลันหยุดอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นแล้ว และกำลังจะเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนสีน้ำผึ้งให้เขาเงยหน้าขึ้นมามองกัน แต่เจ้าตัวราวกับจะล่วงรู้ความคิดของเด็กหนุ่ม ชายคนนั้นจึงเงยหน้าช้า ๆ ขึ้นจากหัวเข่ามาสบตากับอลัน
ดวงตากลมโตสีดำสนิทมีแววเศร้าสร้อยแฝงลึกอยู่ในนั้นกำลังแดงก่ำและเปียกฉ่ำไปด้วยน้ำตาแก้มทั้งสองข้างอาบไปด้วยน้ำตาไม่ต่างกัน แม้กระทั่งปากอิ่มก็ยังแดงช้ำ เพราะเจ้าของขบกัดมันเพื่อกั้นเสียงสะอื้น ดวงตาโศกคู่นั้นมองอลันอย่างตกใจ และอลันก็ตกใจไม่ต่างกันเมื่อเขาจำได้ว่าชายคนนี้ช่างเหมือนกับคนในรูปพิธีแต่งงานคุณปู่ของน้าพิมพ์ ชายร่างเล็กผู้นั่งอยู่ริมสุดของภาพครอบครัว
“
“
“
“
ร่างเล็กเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากรับฟัง และพยายามกล้ำกลืนความผิดหวังเข้าไปในอก แต่น้ำตากลับไหลลงมายืนยันความเสียใจที่เกิดขึ้นไม่หยุด อลันผวาลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าชายร่างเล็ก เด็กหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้าหวังเช็ดน้ำตาให้ชายตรงหน้า จู่ ๆ อลันก็รู้สึกผิดที่ทำให้คนตรงหน้าต้องร้องไห้ หยดน้ำตาที่รินไหลทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนในอกรู้สึกวูบไหว อลันอดแปลกไม่ได้เมื่อเขารู้สึกคุ้นเคยกับน้ำตาพวกนี้ราวกับว่าเขาเคยเห็นคนคนนี้ร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“
ทันทีที่มือของอลันสัมผัสกับผิวแก้มคนตรงหน้า ภาพทุกอย่างก็ดับวูบความมืดเข้ามาแทนที่ อลันรู้สึกเหมือนรอบตัวไร้อากาศ เขาทุรนทุรายหายใจไม่ออกจนต้องยกมือขึ้นจับลำคอตัวเองแน่น และอ้าปากหอบหายใจ แต่ก็ยังไม่มีอากาศได้ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายแม้แต่น้อย จนเข้าคิดว่าเขากำลังจะตายก่อนสติของอลันจะหายไปพร้อมกันนั้น เขาก็นึกเสียใจที่ตัวเองเช็ดน้ำตาให้ชายคนนั้นไม่ทัน
อลันผวาตื่นขึ้นมาพร้อมน้ำตาเหมือนเมื่อวาน เขาหอบหายใจพลางยกมือขึ้นจับลำคอตัวเองอย่างตื่นตระหนก เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วจริง ๆ และนึกดีใจมากที่ตื่นขึ้นมาภาพของชายร่างเล็กที่กำลังร้องไห้ยังติดตรึงอยู่ในหัวของเขาไม่หาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าแล้วนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงของเขาบอกแบบนั้น อลันคิดว่าเขาคงไม่อาจข่มตาหลับลงได้อีกแล้วจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปด้านล่าง แม่ของเขาก็ตื่นแล้วเช่นกัน กรองแก้วกำลังนั่งดูรายการข่าวเช้าทางโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น อลันเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับแม่ เขาล้มตัวลงนอนหนุนตักแม่โดยที่ไม่พูดอะไร สายตาของร่างสูงจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์อย่างเหม่อลอย เนื้อหาของรายการข่าวไม่สามารถทะลุผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขาได้เลยแม้แต่นิดเพราะร่องรอยของความฝันเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มไม่ยอมหยุด
อลันไม่อยากฝันแบบนี้อีกแล้วในความฝันมีแต่ความเศร้า เสียใจ และอึดอัด เขาชอบความรู้สึกเหล่านั้นและพยายามจะลืมให้หมด ลืมหน้าชายคนนั้นที่เอาแต่ร้องไห้ ลืมเรื่องเกี่ยวกับบ้านสวนมะลิที่น่ากลัว ลืมความรู้สึกผิดที่ไม่รู้ที่มา
ราวกับชายในความฝันจะตอบรับคำของอลันเมื่อในคืนต่อ ๆ มา อลันก็ไม่ฝันถึงชายร่างเล็กที่น่าสงสารคนนั้นอีกเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in